ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 147 คิดไม่ถึงอย่างยิ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กวนเฟยไป๋คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะแนะนำให้ตีไปตรงๆ เช่นนี้ ตนเองก็คิดได้ว่าวิธีการรบเช่นนี้ข้อดีอยู่แห่งใด

โก่วหานสือมิได้ใส่ใจเขา มองเหลียงปั้นหูพลางเอ่ย “ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาใช้กระบวนท่าจริงหรือว่ากระบวนท่าปลอม เพราะว่าพวกเราจะไม่เห็นกระบวนท่าแล้วทะลวง เจ้ากับเขาให้แลกกระบวนท่ากันตรงๆ”

กวนเฟยไป๋ชำนาญวิชากระบี่ เขาชัดเจนว่าสิ่งใดที่เรียกกว่าแลกกระบวนท่า สุดท้ายแล้วก็เป็นบาดเจ็บแลกบาดเจ็บ ในใจครุ่นคิดศิษย์พี่เหลียงปั้นหูชัดเจนว่าแข็งแกร่งกว่าเจ้าเด็กถังซานสือลิ่ว เพราะเหตุใดจะต้องใช้วิธีที่ทั้งสองจะต้องพ่ายแพ้ได้รับบาดเจ็บด้วยเล่า

โก่วหานสือจ้องมองเหลียงปั้นหูก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด ทราบดีว่าพวกศิษย์น้องไม่เข้าใจ จึงเอ่ยอธิบายเงียบนิ่ง “ถังถังสู้เจ้าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เฉินฉางเซิงต้องการช่วยเขาให้ชนะ อีกทั้งเจ้าแข็งแกร่งกว่าถังถัง ไม่จำเป็นต้องเดินบนหนทางที่แปลกพิสดาร ก็คือต้องใช้วิธีที่ง่ายที่สุดจนถึงขนาดที่ว่าโง่เง่าที่สุด เพื่อเอาชนะที่ปกติธรรมดาที่สุด”

เขายันกายลุกขึ้น รับเอาผ้าเช็ดหน้าที่ชีเจียนส่งให้มาเช็ดหน้าให้สะอาด มองไปยังถังซานสือลิ่วที่หางคิ้วยกขึ้นสูงยิ่งขึ้นอยู่ข้างป่าไม้ เอ่ยต่อ “เพราะเหตุใดต้องโจมตีโดยตรง เพราะว่าเจ้าเด็กคนนี้คลุ้มคลั่งเกินไป หากใช้กระบวนท่าแลกกระบวนท่าจะเป็นการแลกการบาดเจ็บ แต่ก็เป็นการแลกเปลี่ยนน้อยที่สุดที่จะเอาชนะเขาได้”

เหลียงปั้นหูครุ่นคิด กล่าวตอบ “ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจแล้ว”

ประตูของหอชำระธุลีค่อยๆ เปิดขึ้น จงฮุ่ยหนุ่มน้อยหนอนหนังสือของสำนักต้นไหวเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนได้อย่างง่ายดาย เมื่อเดินออกมาสิ่งที่ทำให้เขาไม่ยินดีก็คือ สายตาของพวกผู้เข้าสอบด้านนอกหอยังไม่เคลื่อนไหวมามองตน ยังคงมองไปยังทิศทางทั้งสองแห่งนั้น จนถึงขนาดว่าคึกคักครื้นเครงมากกว่าก่อนหน้าด้วยซ้ำไป เพราะว่าเหลียงปั้นหูกับถังซานสือลิ่วได้ยืดตัวลุกขึ้นแล้ว

ลำดับขั้นตอนผ่านไปไม่มาก หลังจากเหลียงปั้นหูกับถังซานสือลิ่วทำความเคารพนักบวชพระราชวังหลีผู้นั้น จากนั้นจึงเดินเข้าหอชำระธุลีติดๆ กัน

มองประตูไม้ที่ปิดสนิท ท่าทางของพวกผู้เข้าสอบใจจดใจจ่อเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ

การสอบใหญ่รอบที่สองในขณะนี้ดำเนินไปสิบกว่าสนามแล้ว นอกจากสนามระหว่างเจ๋อซิ่วหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่ากับซูม่ออวี๋ ก็เป็นสนามนี้ที่ผู้ต่อสู้ทั้งสองมีพลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุด การต่อสู้สนามนี้ถึงขนาดว่าผู้คนให้ความสนใจมากกว่าเจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี๋เสียอีก เหตุเพราะทุกคนต่างทราบดี นอกจากเหลียงปั้นหูกับถังซานสือลิ่วที่เข้าร่วมแข่งขันสนามนี้ ยังมีคนอีกสองคนด้วย

คนทั้งสองนั้นมิได้ลงสนามด้วย ทว่าเปรียบดังพวกเขาได้ลงสนามไปด้วย ก็เหมือนกับคืนสุดท้ายในการชุมนุมไม้เลื้อย

มีคนบนโลกใบนี้ สามารถผ่านความรู้รวมถึงพลังความสามารถในการคิด ผ่านการชี้แนะแล้วเปลี่ยนสถานการณ์การต่อสู้โดยตรง คนประเภทนี้เมื่อเป็นแนวหน้าสกัดกั้นเผ่ามารก็เป็นที่ปรึกษาทางด้านทหาร อาจารย์ หรือว่าผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในสำนักจำนวนมาก มีเพียงแค่พรรคกระบี่หลีซานกับสำนักฝึกหลวงสองแห่งนี้เท่านั้น เป็นนักเรียนของสำนักทั้งสองที่แสดงบทบาทเช่นนี้

การสอบใหญ่ในวันนี้ อาจารย์ของทุกสำนักทุกพรรคล้วนไม่สามารถเข้าไปในสนามได้ มีคนจำนวนมากที่อิจฉาผู้เข้าสอบของพรรคกระบี่หลีซานกับสำนักฝึกหลวง เป็นเพราะว่าพวกเขามีโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงที่สามารถชี้แนะในสนามได้ คนทั้งสองต่างก็มีความสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้มากมาย ซ้ำยังสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวจำนวนมากได้

เวลาผ่านไปเชื่องช้า ในหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนยังคงเงียบเชียบ

ท่าทางของเฉินฉางเซิงมิได้เปลี่ยน มือทั้งสองยิ่งนานยิ่งกำเข้าหากันแน่น รู้สึกยิ่งไม่ดี เพราะว่าเงียบเกินไป

ทันใดนั้น ท้องฟ้าสีครามปรากฏแสงสีแดงเพลิงเส้นหนึ่ง สีนี้มาจากแสงกระบี่ที่ทอดออกมาจากในหอชำระธุลี มองแล้วอบอุ่นอย่างยิ่ง ทว่าด้านหลังของความอบอุ่นกลับแฝงไปด้วยภยันตรายที่คุโชนรุนแรง

แสงสีแดงเต็มท้องฟ้า งดงามจนมองไม่หมด

สามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ย เก็บเมฆสนธยา!

ด้านนอกหอมีเสียงแตกตื่นทั้งผืน พลังกระบี่ของถังซานสือลิ่ว คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงเขตห้ามของตำหนักฝึกฝนไปได้ ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าของหอชำระธุลี สะท้อนเข้าไปในตาของทุกคน!

โก่วหานสือแหงนหน้าขึ้นมองแสงยามอรุณ เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด พบว่าการพัฒนาของถังซานสือลิ่วเมื่อมาอยู่ในสำนักฝึกหลวงไม่กี่วันนี้ แท้จริงแล้วยิ่งใหญ่กว่าที่ผู้คนต่างคาดคิดไว้

ท่าทางของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา เพราะว่าตามที่ได้วางแผนก่อนหน้านี้ วันนี้ไม่ควรจะมีสีแดงเต็มท้องฟ้า

หรือว่า เป็นเพราะถังซานสือลิ่วคลุ้มคลั่งแล้ว แต่นี่หมายถึงอะไร เหลียงปั้นหูที่เวลานี้ยังคงเงียบสนิทไม่เอ่ยสิ่งใด สุดท้ายแล้วบีบบังคับให้เขาคลุ้มคลั่งก่อน เหลียงปั้นหูที่เหมือนกับแฝงไปด้วยพลังที่เหลืออยู่ อีกทั้งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด คาดไม่ถึงสามารถทำให้ถังซานสือลิ่วไม่อาจใช้เพลงกระบี่สิบกว่ากระบวนท่าติดต่อกัน!

ด้านนอกหอได้มีเสียงตกตะลึงกับเสียงชื่นชมดังขึ้น

สีแดงเต็มท้องฟ้าพลันกลายเป็นสว่างไร้ที่เปรียบ ลำคลองสายเล็กๆ ถูกทาบทับส่องแสงสว่างไสว ริมลำคลองคล้ายกับว่ามีต้นก่วมแดงจำนวนนับไม่ถ้วน

แขวนดวงสุริยัน! ตามมาด้วย ลำธารใบไม้แดง!

พลังกระบี่ของถังซานสือลิ่ว คาดไม่ถึงว่าจะส่องสะท้อนทาบทับได้ไกลถึงเพียงนี้ เพียงพอที่จะกระทบถึงสภาพด้านนอกหอ เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยที่ยังไม่ถึงขั้นทะลวงอเวจี ก็เพียงพอให้เขาภาคภูมิใจ

อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเฉินฉางเซิงยิ่งนานยิ่งหนักอึ้ง

เพราะว่าจนกระทั่งถึงเวลานี้ เขายังไม่เห็นกระบี่ของเหลียงปั้นหู ผู้คนที่อยู่ในสนามทั้งหมดต่างก็ไม่เห็น

ทันใดนั้น แสงสุริยันพลันหยุดชะงัก ต้นก่วมแดงหายไปไร้ร่องรอย พลังกระบี่ที่อ่อนโยน เบาบางอย่างยิ่งสายหนึ่ง ได้พัดล่องลอยออกมาจากด้านบนของหอชำระธุลี

พลังกระบี่ดุจสายน้ำ ก็เหมือนกับน้ำใส น้ำทะเลสาบที่ใสสะอาดจำนวนมาก ได้ชำระล้างท้องฟ้าหนึ่งรอบ

ไม่ว่าจะเป็นแสงสุริยันหรือว่าเป็นพระอาทิตย์ตกดินและต้นก่วมแดง ทั้งหมดล้วนถูกล้างจนสะอาดทั้งสิ้น เพื่อจะเตือนผู้คนว่าสีก่อนหน้าเหล่านั้นต่างก็มิใช่เรื่องจริง ถูกคนใช้กระบี่วาดออกไป ในเมื่อเป็นภาพที่ใช้สีย้อม เพียงแค่เป็นสีย้อม ก็สามารถถูกน้ำชะล้างออกไป ขอเพียงแค่ให้น้ำเหล่านั้นมีมากพอ ใสสะอาดมากพอ

สายน้ำใสครึ่งทะเลสาบ ชะล้างได้อย่างเพียงพอ ยิ่งได้ชะล้างศาสตราวุธ ยังสามารถชะล้างท้องฟ้าให้สะอาดสะอ้าน ปรากฏเป็นท้องฟ้าสีครามดังเดิม

ด้านนอกหอชำระธุลี มีผู้สมัครนับไม่ถ้วนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มิได้ตื่นตะลึง แต่กลับเงียบนิ่งไร้เสียง

ไม่ว่าเป็นท้องฟ้ายามสุริยันหรือว่าเป็นน้ำทะเลสาบที่ชะล้างท้องฟ้า ต่างเป็นพลังกระบี่ของหนุ่มน้อยทั้งสองที่สะท้อนออกมาในโลกใบเล็ก

ช่างแข็งแกร่งจริงๆ

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ กลับไปสงบนิ่งอีกครา จ้องมองไปยังโก่วหานสือที่อยู่ริมลำคลองไกลออกไป พยักหน้าเป็นความหมายเคารพ

โก่วหานสือก็พยักหน้าทำความเคารพ

ประตูใหญ่ของหอชำระธุลีเปิดขึ้น เหลียงปั้นหูเดินออกมา ถังซานสือลิ่วก็เดินตามมาข้างหลังก้าวหนึ่ง

คงจะเป็นหนึ่งก้าวที่ยังห่างชั้นกัน

ร่างกายของคนทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บ บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยร่องรอยกระบี่ชัดเจน

ผู้คุมสอบสายตามองด้วยความชื่นชมคนทั้งสอง พลางเอ่ยว่า “พรรคกระบี่หลีซาน เหลียงปั้นหูชนะ”

เหลียงปั้นหูกับถังซานสือลิ่วประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นเดินลงบันได มุ่งไปยังด้านข้างลำคลองกับข้างป่าไม้ของแต่ละคน

ถังซานสือลิ่วอ่อนระโหยโรยแรง อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเอ่ยสิ่งใด

เขาเดินไปยังด้านข้างป่าไม้ นั่งลงยังพื้น พิงไปต้นหยาง ปิดตาทั้งสองลง

เมื่อเฉินฉางเซิงป้อนยาให้เขา เขาก็ทำได้เพียงอ้าปาก ยังคงไม่ยินยอมลืมตาขึ้น

เซวียนหยวนผ้อเดินไปยังข้างกายของเขา นั่งยองๆ มองเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยขนเคราขึ้นใหม่ฉายแววกังวลใจ พลางเอ่ยถาม “เจ้าพูดอะไรบ้าง”

ถังซานสือลิ่วปิดตาลง ไม่สนใจเขา

เซวียนหยวนผ้อรู้สึกร้อนใจ มองไปยังเฉินฉางเซิงพลางเอ่ย “เขาคงไม่เป็นอะไรนะ”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “คงเป็นเพราะถูกเหลียงปั้นหูทำให้บาดเจ็บหนักเล็กน้อย ต้องการพักผ่อน พวกเราไม่ต้องรบกวนเขาหรอก”

เรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ล้วนก็เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาหนุ่มน้อยด้วยแล้ว เมื่อมีคนจำนวนมากเป็นห่วงเจ้า เจ้าก็จะปฏิเสธความห่วงใยนี้ ไม่อยากจะสนใจฝ่ายตรงข้าม ซ้ำยังเมื่อคนที่ห่วงใยเจ้าเตรียมจะจากไป เจ้าก็จะเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่สงบ

ถังซานสือลิ่วเบิกตาขึ้น จ้องมองเฉินฉางเซิงเอ่ยโกรธจัด “อะไรที่เรียกว่าบาดเจ็บหนักเล็กน้อย ข้าได้รับบาดเจ็บตรงไหน”

ลั่วลั่วชี้เสื้อผ้าที่ถูกกระบี่ทำให้เป็นรอยขาด และยังชี้ไปยังบนใบหน้าที่มีเส้นรอยโลหิตบางๆ

“นี่เรียกว่าหนักรึ เจ้าไม่เห็นเจ้าเด็กเหลียงปั้นหู เท้าเกือบจะโดนข้าฟันขาดเสียแล้ว!”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกทั้งโกรธทั้งอับอาย พลางเอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่ง่วงนอน! ข้าก็แค่อยากจะพิงต้นไม้สักครู่! พวกเจ้าอย่ามารบกวนข้าได้ไหม!”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ เขาจึงหลับตาลงอีกครา

เฉินฉางเซิงทราบดีว่าเจ้าเด็กคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาหยิ่งทระนงจิตใจสูงส่ง ผลลัพธ์การต่อสู้ของการสอบใหญ่รอบที่สองก็พ่ายแพ้แล้ว ก็คงจะไม่สบายใจอย่างยิ่ง

แต่เขาไม่อาจจ้องมองเจ้าเด็กคนนี้ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ เขาคิดมาตลอดว่าเช่นนี้เป็นการสิ้นเปลืองพลังชีวิต ไม่ได้มีความหมายใดๆ

ความรู้สึกทางลบทั้งหมด ต่างก็คงถูกตีพ่ายแพ้หรือไม่ก็ถูกละทิ้งเพียงชั่วครู่

“เจ้าขาดเงินหรือไม่” เขาจ้องมองถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม

ถังซานสือลิ่วหลับตา แสยะยิ้มกล่าวตอบ “เจ้าเคยเจอผู้ใดที่มีเงินมากกว่าข้าหรือไม่”

เฉินฉางเซิงจึงเอ่ยถามอีก “คะแนนสอบความรู้ก็คงจะดี รวมกันแล้วสามารถเข้าไปอยู่สามอันดับแรกได้หรือไม่”

ดวงตาถังซานสือลิ่วจ้องมองเขา เอ่ยถาม “เข้าไปอยู่สามอันดับแรกก็คงจะไม่ใช่ปัญหา ปัญหาก็คือเจ้าถามคำถามนี้ทำไม”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “สามารถเข้าไปอยู่สามอันดับแรก ก็สามารถชมคัมภีร์สวรรค์ อีกทั้งเจ้ายังไม่ขาดเงิน บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ชื่นชอบเจ้า เช่นนั้นเจ้ายังปรารถนาอะไรอีกเล่า”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าปัญหานี้คล้ายกับว่าชี้แนะคำตอบไปรางๆ ครุ่นคิดเป็นเวลายาวนาน จากนั้นจึงหยั่งเชิงถามด้วยความไม่มั่นใจ “ประกาศแรกอันดับแรก?”

เฉินฉางเซิงเอ่ยด้วยทัศนคติที่ดี “นั่นเป็นของข้า”

ถังซานสือลิ่วด่าเยาะเย้ย “เจ้านี่ไม่ต้องการหน้าเสียจริงๆ”

เวลานี้เขาถึงมั่นใจ เฉินฉางเซิงมิใช่ว่าเตรียมที่จะให้บทเรียนในชีวิตแก่ตน เพียงแค่อยากจะปลอบใจตน อีกทั้งยังได้ผลจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากหลับตาแสร้งเป็นนอนหลับ

“พูดมาๆ” ลั่วลั่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยออกมา

ถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งเป็นเวลานาน สุดท้ายจึงเอ่ย “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ เหลียงปั้นหูจะตีได้โง่เง่าเช่นนี้”

ลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อไม่เข้าใจ แต่เฉินฉางเซิงเข้าใจดี

เดิมทีพละกำลังของเหลียงปั้นหูก็เป็นต่อถังซานสือลิ่ว ถังซานสือลิ่วกับเฉินฉางเซิงทำได้เพียงแค่ใช้หนทางที่สามารถเอาชนะได้ ลองใช้วิธีที่คิดไม่ถึง ทำให้การสอบใหญ่ตื่นตะลึง

อย่างไรก็ตามพวกเขากลับคาดไม่ถึง เหลียงปั้นหูจะใช้วิธีที่ง่ายดายที่สุดมาโต้ตอบ คิดไม่ถึง? ไม่ เขามิได้คิดสิ่งใดเลย

“แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยพานพบวิธีต่อสู้ที่โง่เง่าไม่น่ามองเช่นนี้มาก่อน”

หลังจากถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยต่อ “เพลงกระบี่ที่เจ้าคิดแทนข้าเหล่านั้น เดิมทีเขามิได้คิดจะทะลวงหรือใช้พลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้ มองแล้วโง่เง่าอย่างยิ่ง ไม่มีความประณีตงดงามแม้แต่น้อย…แต่ข้าต้องยอมรับ นี่ใช้ได้จริงๆ กระบวนท่าสิบกว่ากระบวนท่าก่อนหน้านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าไม่อาจต่อเนื่องกัน ตัดๆ ขาดๆ ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบาย สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสใช้สามกระบวนท่าแปลกๆ แต่อย่างใด ข้าเพียงแต่ใช้สามกระบวนท่าเวิ่นสุ่ยเข้าไปสู้”

“เขาจับได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงแพ้”

เฉินฉางเซิงสามารถคิดได้ ผู้เข้าร่วมการสอบใหญ่ทั้งหมดก็คิดได้ กลวิธีการต่อสู้ของเหลียงปั้นหูจะต้องใช้ปัญญาของโก่วหานสืออย่างแน่นอน

ถ้าหากเอ่ยไปถึงการชุมนุมไม้เลื้อย เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือนับว่าเสมอกัน เช่นนั้นในการต่อสู้ของถังซานสือลิ่วกับเหลียงปั้นหูในวันนี้ เขาได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

เขาเอ่ยกับถังซานสือลิ่ว “ขออภัย”

ถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ เอ่ยว่า “นี่มิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้า เจ้าไม่ต้องขอโทษ ถ้าหากข้าแข็งแกร่งกว่าเหลียงปั้นหู เช่นนั้นแล้วก็คงเป็นโก่วหานสือที่จะต้องปวดหัว เจ้าก็สามารถทะลวงเขาได้โดยมิได้สะทกสะท้าน แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะพลังของข้าไม่แกร่งพอ พูดแล้ว เป็นข้าที่ทำให้เจ้าปวดหัว ข้าควรจะเป็นคนเอ่ยขอโทษ”

เซวียนหยวนผ้ออยู่ข้างๆ เอ่ยถามซื่อๆ “พวกเจ้าคุยอะไรกันข้าฟังไม่เห็นเข้าใจ”

“เช่นนั้นก็จะพูดอะไรให้เจ้าเข้าใจเสียหน่อย”

ถังซานสือลิ่วยิ้มออกมา จากนั้นจ้องมองเฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างสงบ “แพ้มาสองสนามแล้ว ไม่อาจแพ้ได้อีกแล้ว”

เมื่อพวกเขาสนทนากัน การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ได้เสร็จสิ้นไปแล้วสองสนาม

ใกล้จะถึงเวลาที่เฉินฉางเซิงจะต้องเข้าสู่การประลอง

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด หลังจากนั้นเอ่ยว่า “สนามนี้ข้าเอาชนะได้”

เอ่ยประโยคนี้จบ เขายันกายลุกขึ้น เดินไปยังหอชำระธุลี