ภาคที่ 2 บทที่ 102 ผลลัพธ์ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 102 ผลลัพธ์ (2)

แม้เขาจะไม่อยากตาย

แม้จะสู้สุดกำลัง

แต่ที่น่าเศร้าคือหม่าเหรินเจ๋อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉือไคฮวง แม้กระทั่งจะเป็นตอนที่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บและมีพลังเต็มเปี่ยมก็ตาม

ฉือไคฮวงเองก็มีขั้นพลังด่านสู่พิสดาร อีกทั้งยังเป็นทหารผ่านศึกที่อยู่ขีดสุดของด่านสู่พิสดารมาระยะหนึ่งแล้ว

ส่วนหม่าเหรินเจ๋อเป็นนักฆ่า ไม่สันทัดเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดแบบสุดตัว ดังนั้นแม้ร่างกายยังอยู่ในสภาพดีก็ยังไม่อาจสู้ฉือไคฮวงได้ ยามบาดเจ็บหนักยิ่งไม่อาจสู้ได้

ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกหากเขาจะพ่ายแพ้ไป หรือไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก

หลังจากถูกฝ่ามือฉือไคฮวงเข้าไป หม่าเหรินเจ๋อก็ลอยละลิ่วกระเด็นไป ก่อนร่างจะตกลงกระแทกพื้นคล้ายว่าวสายขาด ไม่อาจลุกขึ้นยืน

เยว่หลงซาเดินตรงไปหาเขา “หม่าเหรินเจ๋อ เจ้าก็มีชะตาเช่นนี้ ตอนที่เจ้าสังหารพ่อข้า เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะมาถึง ?”

หม่าเหรินเจ๋อหัวเราะเสียงเย็น ร่างนอนแผ่อยู่บนพื้น “ข้าสังหารคนมานักต่อนัก จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นลูกสาวของสวะตัวไหน ดูท่าเจ้าจะฉลาดไม่น้อยที่ไม่ถูกข้าหาตัวพบ ไม่เช่นนั้นข้าคงได้จับตัวเจ้ามาชื่นชมแล้วค่อยขายให้หอคณิกาสักที่ไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะยังมีหน้าตามาเอ่ยวาจาเช่นนี้หรือไม่ ?”

“แก !” เยว่หลงซาเริ่มโกรธ นางกำลังจะซัดพลังออกไป หากแต่ฉือไคฮวงรั้งนางไว้ “อย่าตกหลุมพรางมัน แม้ฝ่ามือข้าจะรุนแรง แต่มันก็ยังไม่ถึงคราวตาย มันคิดจะลวงให้เจ้าโกรธ ล่อเจ้าเข้าไปแล้วจับตัวเจ้าเป็นตัวประกัน”

“บัดซบ !” หม่าเหรินเจ๋อเดือดดาลนัก กลลวงสุดท้ายของเขาถูกมองออก สุดท้ายเขาจึงกระโจนขึ้น ร่างสลายกลายเป็นควันแล้วพุ่งเข้าใส่เยว่หลงซาและซูเฉิน

การจับตัวซูเฉินหรือเยว่หลงซานับเป็นทางรอดเดียวของเขา

ฉือไคฮวงถอนหายใจออกมา “ต่อหน้าข้า เล่ห์กลกระจอกเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นอะไร ซูเฉิน เจ้าตั้งใจดูให้ดี นี่คือสุเมรุสูญ”

พูจบเขาก็แบฝ่ามือออก ค่อย ๆ ประทับฝ่ามือนั้นลงบนอากาศ

ซูเฉินไม่กล้าแม้กะพริบตา เขาเปิดใช้ความสามารถนัยน์ตามองเห็นพลังต้นกำเนิดจนถึงขีดสุด

หายากนักที่ฉือไคฮวงจะสอนทักษะต้นกำเนิดที่สมบูรณ์แล้วเช่นนี้ ปกติแล้วอีกฝ่ายจะหวังให้เขาได้ลองลงมือทำเองเสียมากกว่า

ฝ่ามือกระแทกออกไป ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบคล้ายกับจะหยุดชะงัก อากาศคล้ายจะควบรวมเป็นกันจนดูหนืด สายลมหยุดพัดผ่าน การหายใจเริ่มยากเย็น กระทั่งหมอกอำพรางยังดูช้าลง คล้ายกับเมฆหนาแน่นที่ไม่อาจแยกย้าย คล้ายรอยหมึกป้ายบนแผ่นภาพ

ภายใต้อำนาจของวิชาสุเมรุสูญ หมอกอำพรางของหม่าเหรินเจ๋อก็ช้าลงทันที แม้ซูเฉินจะอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ฉื่อ แต่ก็คล้ายกับห่างกันสุดขอบฟ้า

ฉือไคฮวงเอ่ยขึ้น “นี่คือหัตถ์วิโมกข์ มันหยิบยืมพลังจากพลังงานสูญที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง”

เขาเงื้อมือออกไป หยิบยืมพลังจากพลังงานสูญ หมอกอำพรางดำค่อย ๆ รวมตัวกันจนเผยเป็นร่างหม่าเหรินเจ๋อ ฉือไคฮวงใช้พลังต้นกำเนิดอันแข็งแกร่งในร่างตนบีบให้หม่าเหรินเจ๋อคืนร่าง นับเป็นตัวอย่างที่คล้ายกับถอดมาจากตำรา ว่าด้วยเรื่องการใช้พลังในร่างตนข่มอีกฝ่ายอย่างแท้จริง อีกฝ่ายถูกรังแกเช่นนี้เป็นเพราะไม่มีพลังจะต้านทาน

“ไม่ ! ข้าไม่เชื่อ !!!” หม่าเหรินเจ๋อร้องตะโกนเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายเสียสติ หมอกอำพรางทั้งบิดไปมาทั้งหมุนเวียนวน คล้ายกับพยายามหลบหนีจากการควบคุมของฉือไคฮวง

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลบหัตถ์วิโมกข์ไปได้

ฉือไคฮวงค่อย ๆ กำมือ เขาตั้งใจแสดงให้ซูเฉินมองให้เด่นชัด และตั้งใจทำให้หม่าเหรินเจ๋อทรมานกว่าเดิม

ภายใต้อำนาจพลังของหัตถ์วิโมกข์ หมอกอำพรางเริ่มรวมตัวกันจนกลายเป็นร่างคน สุดท้ายหม่าเหรินเจ๋อก็ถูกบีบออกจากหมอกอำพราง ปรากฏร่างขึ้นอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ความเจ็บปวดนั้นทบเท่าทวีคูณจากครั้งที่ถูกวิชาดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ของอาสิบเอ็ด

อวัยวะภายในเขาถูกหัตถ์วิโมกข์บีบจนเคลื่อน หนังชั้นหนึ่งของเขาละลายหายไปแล้ว ตอนนี้อีกชั้นหนึ่งกำลังถูกทำให้หายไปเช่นกัน

นับว่าตอนนี้เขาถูกลอกหนังไปถึงสองครั้ง เครื่องในผิดรูป เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการของอารามนิรันดร์ในเมืองฉางผาน อีกทั้งยังเป็นนักฆ่าที่มีค่าหัว ชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก แต่กลับต้องทรมานอย่างขื่นขมเช่นนี้

ทันใดนั้นเลือดก็พลันซึมออกมาจากทุกจุดบนร่าง คล้ายกับภายในจะระเบิดออก เปล่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

กระทั่งฉือไคฮวงก็ยังไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย เขาก็ถอนใจแล้วดึงมือตนกลับมา “ครั้งนี้เขาไร้เรี่ยวแรงเข้าจริง ๆ แล้ว เจ้าลงมือเถอะ…… ช่วยให้เขาพ้นจากความทรมาน”

เยว่หลงซาพลันฉายแววตายินดี “เป็นสิ่งที่สาสมกับบาปที่ก่อไว้แล้ว ข้าไม่อยากจบชีวิตมันให้เร็วนัก”

ซูเฉินเดินเข้าไปวางมือบนไหล่เยว่หลงซา “ข้าเข้าใจความคิดเจ้า แต่เจ้าไม่ควรใช้ความโกรธตัดสิน ทรมานคนไม่ใช่เรื่องดี แม้มันจะเป็นคนชั่วช้าสามานย์เพียงไหน เจ้าก็ไม่ควรทรมานมันแล้วเกิดความสะใจสมใจ”

เยว่หลงซาใจสะท้านไปเล็กน้อย ก่อนนางจะพยักหน้ารับ “ขอบใจเจ้าที่เตือนข้า ข้าเข้าใจแล้ว”

นางก้าวเข้าไป มองหน้าหม่าเหรินเจ๋อที่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด นางสะบัดมือคราหนึ่ง แสงจันทร์คมกริบก็ซักไปยังคอหม่าเหรินเจ๋อ

หัวคนกระเด็นไปไกล

เสียงร้องโหยหวนหยุดลงในพลัน

————————————

หลังจากสังหารหม่าเหรินเจ๋อแล้ว เรื่องราวจึงได้จบลงเสียที

นอกจากฉือไคฮวง ซูเฉิน และเยว่หลงซาแล้ว จูเซียนเหยาเองก็เป็นคนที่รอดชีวิตกลับมา

อีกคนหนึ่งคือหงหมิง

หงหมิงโชคดีนักที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่อาสิบเอ็ดกำลัจะลงมือสังหารเขา ซูเฉินก็ห้ามอาสิบเอ็ดไว้ และแม้หงหมิงจะพยายามหนีไปตอนที่อาสิบเอ็ดและหม่าเหรินเจ๋อกำลังประมือกันอยู่ แต่เป็น ฉือไคฮวงที่จับตัวเขาไว้ได้

“แล้วเจ้าคิดจะจัดการกับสองคนนี้อย่างไร ?” ฉือไคฮวงถามซูเฉิน

แม้ซูเฉินจะเป็นศิษย์ของเขา ฉือไคฮวงก็ยังเคารพการตัดสินใจของซูเฉินในเรื่องเหล่านี้

ซูเฉินตอบทันวควัน “จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ควรเอากลับไปให้หมด ข้ามีวิธีใช้ประโยชน์จากพวกเขา”

ฉือไคฮวงทำสีหน้า ‘ข้าว่าแล้ว’ ก่อนจะเริ่มลากร่างไร้ชีวิตทั้งหลายมารวมกัน ด้วยศพเหล่านี้ไม่มีชีวิตสถิตอยู่อีกต่อไป จึงสามารถเก็บไว้ในแหวนกักเก็บได้

แต่ตอนที่กำลังจะเก็บร่างอีกร่างเข้าแหวน ฉือไคฮวงก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ “คนผู้นี้ยังมีชีวิตนี่”

“ใครหรือ ?” ซูเฉินเดินเข้าไปดู พบว่าเป็นเจิ้งปาซาน

สตรีผู้นี้ถูกอาสิบเอ็ดซัดพลังเข้าที่หัว อย่างไรก็สมควรจะตายไปแล้ว แต่พวกเขากลับพบว่านางยังคงมีลมหายใจอยู่แม้จะหมดสติไปก็ตาม

เมื่อซูเฉินเห็นว่าเจิ้งปาซานยังไม่ตาย เขาก็เผยรอยยิ้มยินดี “นางมีทักษะต้นกำเนิดฟื้นฟูที่น่าสนใจนัก ดีแล้วที่นางยังไม่ตาย ข้ายังใช้นางทำการทดลองได้”

“ซูเฉิน เจ้าคิดจะนำพวกเขาทุกคนกลับไปทำการศึกษาทดลองหมดเลยหรือ ?” ฉือไคฮวงถาม

“อืม นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก อีกทั้ง……” ซูเฉินลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นมีชื่อ ไม่เพียงเพราะสายเลือดที่ช่วยเสริมกำลังความแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะมีทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดที่มีพลังโจมตีรุนแรงกว่าคนอื่น ๆ ที่มีขั้นพลังเทียบเท่ากันด้วย ดังนั้นหากต้องการก้าวผ่านข้อจำกัดทางสายเลือดแล้ว ไม่เพียงต้องใช้วิธีที่ทำให้สามารถทะลวงผ่านด่านได้ แต่ยังต้องใช้ทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่ทรงพลังกว่าทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดร่วมด้วย”

“ในด่านก่อเกิดลมปราณสู่ด่านกลั่นโลหิตนั้น เราค้นพบหนทางทะลวงผ่านด่านโดยไร้สายเลือดได้แล้ว ดังนั้นต่อไปเราต้องค้นหาวิถีทางที่จะแก้ปัญหาเรื่องทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือด”

“เจ้าคงไม่เผยมันออกสู่ใต้หล้าหรอกกระมัง ?”

ซูเฉินหัวเราะเห็นฟันสีคล้ายมุก “วันใดวันหนึ่งข้าอาจจะเผยแพร่มันออกไปก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าคิดจะใช้มันเป็นไพ่ตายของข้า…… เพราะอย่างไรข้าก็พึ่งพาท่านให้จัดการทุกเรื่องแทนข้าไม่ได้”

“จัดการทุกเรื่องแทนเจ้า ?” ฉือไคฮวงถอนใจ “แผนการครั้งนี้ข้าไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนัก เพียงแค่มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น”

“ดูท่านเข้าสิท่านผู้อาวุโส ปฏิบัติกับข้าเยี่ยงคนนอก”

“หึ พูดถึงเรื่องคนนอก ดูท่าเจ้าจะยังไม่ได้อธิบายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับอารามนิรันดร์ให้ข้าฟังเลยกระมัง ?”

“…… ข้าคิดว่าท่านจะไม่ถามข้าเรื่องนั้นเสียอีก”

“หึ ข้ารอให้เจ้าบอกข้ามาตามตรงต่างหาก”

“ดูท่าข้าคงคิดว่าความรู้สึกนึกคิดของเรานั้นเหมือนกันไปเองอยู่ฝ่ายเดียว”

“……”