ภาคที่ 2 บทที่ 101 ผลลัพธ์ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 101 ผลลัพธ์ (1)

อาสิบเอ็ดตายแล้ว

ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ทั้งเย่อหยิ่ง ปราดเปรียว หาใครเทียม ผู้ที่สังหารผู้เชี่ยวชาญเกือบห้าสิบชีวิตจากหกตระกูลสายเลือดชั้นสูงสิ้นใจแล้ว

จูเซียนเหยายกมือขึ้นปิดปาก ไม่อาจเข้าใจในภาพที่ได้เห็นตรงหน้า

เมื่อหม่าเหรินเจ๋อเห็นดังนั้น เขาก็ฝืนกลั้นความเจ็บปวดแล้วร้องขึ้น “ตายหรือ ? ไอ้สวะนั่นมันจะตายไปทั้งเช่นนั้นได้อย่างไร ? มันทำข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ แค่ตายยังเป็นโทษที่น้อยเกินควร ! โชคดีที่พวกแกยังรอด !”

เขาหันมาตวัดสายตามองซูเฉินและจูเซียนเหยาด้วยความอาฆาต นัยน์ตาเต็มไปด้วยไฟแค้นและความเกลียดชัง

เขาค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามาทางซูเฉิน “ไอ้เด็กบัดซบ ! เป็นเพราะแกข้าถึงได้เป็นเช่นนี้ วันนี้ล่ะข้าจะเอาชีวิตเจ้า ! ตายเสีย !”

ณ ตอนนี้ ไฟแค้นภายในร่างเขาลุกโชนไม่อาจดับ จนเขาไม่สนสิ่งที่เรียกว่า ‘ภารกิจ’ อีกต่อไป ในใจเขาอยากทำเพียงทรมานซูเฉินจนตายคามือ จึงจะดับไฟแค้นในใจได้

เขาสาบานกับตนว่าจะทรมานมันให้ถึงที่สุด บีบบังคับให้มันต้องเสียใจที่กล้าทำเรื่องโง่ ๆ เช่นวางแผนลอบกัดเขา

ส่วนจูเซียนเหยา นางเด็กนั่นงดงามนัก เขาหายดีเมื่อไรจะเชยชมนางเสียให้สมใจ

หากแต่ใบหน้าดุร้ายของเขาไม่ทำให้ซูเฉินหวาดกลัวแต่อย่างไร เพียงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะพูดเช่นนั้น เพราะอย่างไรท่านมันก็เป็นคนประเภทนั้นอยู่แล้ว แต่ท่านคิดว่าข้าจะซื่อจนวางให้ท่านเป็นหมากตัวสำคัญที่สุดจริงหรือ ?”

อะไรนะ ?

หม่าเหรินเจ๋อชะงักไป

ซูเฉินกางแขนออก “ไม่ใช่เช่นนั้นหรือไร ? หากข้าคิดฉวยประโยชน์จากการปะทะกันของพวกท่าน ข้ออ้างคือทั้งสองฝ่ายต้องทำลายกันให้สิ้นซาก ไม่เช่นนั้นก็เป็นหากฝั่งใดชนะข้าย่อมได้ผลประโยชน์ อย่างแรกพึ่งดวงเพียงอย่างเดียว อีกทั้งคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมกันย่อมลังเลที่จะประมือ มีเพียงต้องเห็นความต่างของพลังได้ชัดเท่านั้นฝ่ายหนึ่งจึงจะเริ่มลงมือ หมายความว่าข้ออ้างแรกย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนอย่างหลังต้องใช้พลังอยู่พอสมควร หมายความหว่าทั้งจากทั้งสองฝ่ายปะทะกันเสร็จสิ้น ก็ได้เวลาฝ่ายที่สามลงมือ”

“ลงมือ ? เจ้าน่ะหรือ ?” หม่าเหรินเจ๋อหัวเราะเสียงเย็น

“ข้าย่อมไม่ได้เอ่ยถึงตนเอง ข้าเพียงเอ่ยว่าหากคิดอยากเป็นคนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สุดท้าย ข้าจำเป็นต้องมีพลังพอจะเก็บกวาดผลลัพธ์ที่ออกมา และคนที่จะมารับหน้าที่นั้น…… ย่อมไม่ใช่ท่าน” ซูเฉินพูดจบก็เดินออกไป

เมื่อซูเฉินขยับร่าง ก็เผยให้เห็นชายชราที่ยืนหลังตรงอยู่ด้านหลัง

ฉือไคฮวง !

“ฉือไคฮวง ?” เมื่อหม่าเหรินเจ๋อเห็นฉือไคฮวงปรากฏตัวขึ้นเขาก็ชะงักค้างไป “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”

ฉือไคฮวงใช้นัยน์ตาสีขุ่นมองหน้าหม่าเหรินเจ๋อ “ข้าอยู่ที่นี่มันแปลกมากหรือ ? หากข้าไม่อยู่น่าจะแปลกกว่ากระมัง”

เขากับซูเฉินสร้างตำราเปิดพลังไคฮวงขึ้นมาด้วยกัน เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นย่อมพัวพันไม่เพียงแต่กับซูเฉินคนเดียว

เหตุผลที่เขาอยากให้ซูเฉินรับมือกับตำราเองเป็นเพราะฉือไคฮวงต้องการทดสอบศิษย์ อีกทั้งหากซูเฉินเป็นคนออกหน้า แล้วฉือไคฮวงซ่อนกายไว้จนกว่าจะถึงตอนจบ อีกฝ่ายก็จะระวังตนลดลงด้วย

แม้ทุกคนจะรู้ว่าฉือไคฮวงมีตัวตนอยู่และเตรียมการเผยตนอยู่ อาทิเช่น อาสิบเอ็ดที่เดินทางมาในครั้งนี้เพื่อรับมือกับฉือไคฮวง การที่เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมาแล้วคนอื่น ๆ ไม่ถามถึงย่อมหมายความว่าคนอื่น ๆ ได้มองข้ามเขาไปแล้ว

การพูดคุยทั้งหลายทำผ่านซูเฉินทั้งสิ้น ดังนั้นความสนใจจึงมุ่งไปเพียงที่ตัวเขา ดังนั้นจึงยากที่จะแบ่งความสนใจไปถึงฉือไคฮวงได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ อาสิบเอ็ดที่เดิมทีมาเพื่อรับมือกับฉือไคฮวงจึงต้องประมือกับหกตระกูลสายเลือดชั้นสูง หลังจากนั้นหม่าเหรินเจ๋อที่ควรระมัดระวังตนก็ต้องมาประมือกับอาสิบเอ็ด

ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของฉือไคฮวง แต่ด้วยความเงียบเชียบของอีกฝ่ายจึงทำให้ถูกมองข้ามไปก็เท่านั้น

ที่พวกเขาไม่รู้คือฉือไคฮวงนั้นซุ่มคอยอยู่อย่างเงียบเชียบมาโดยตลอด

ในฐานะไม้ค้ำสถานการณ์ของซูเฉิน หน้าที่ของเขาคือการปรากฏกายในจังหวะสำคัญ

หากแผนการของซูเฉินล้มเหลว ฉือไคฮวงก็จะปรากฏตัวขึ้นและช่วยเหลือซูเฉิน ก่อนจะพาหนีไป

หากแผนการของซูเฉินสเร็จ ฉือไคฮวงก็จะรับหน้าที่จัดการเศษซากที่หลงเหลือ

หม่าเหรินเจ๋อเข้าใจเรื่องนี้ในที่สุด

เขาหันมองซูเฉิน เอ่ยขึ้นเสียงตะลึง “เจ้า…… คิดสังหารข้าหรือ ?”

เรื่องที่ซูเฉินวางแผนล่อให้เขาต้องประมือกับอีกฝ่ายเช่นนี้เป็นตัวบ่งบอกว่าซูเฉินเตรียมการคิดสังหารเขาตั้งแต่ต้น

ซูเฉินพยักหน้า “ข้าเกลียดความคิดของท่าน เกลียดคนเช่นท่าน ท่านต้องการยาหรือ ? ย่อมได้ ข้ามอบยาได้ แต่หากต้องมอบยาแล้ว ย่อมต้องมีคนตาย !”

“มอบยาได้ ย่อมต้องมีคนตาย……” หม่าเหรินเจ๋อทวนคำซูเฉิน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจความคิดของซูเฉิน

เด็กหนุ่มคิดจะใช้ชะตาของหม่าเหรินเจ๋อเพื่อเป็นการเตือนอารามนิรันดร์ หากยังคิดจะร่วมมือกับซูเฉิน ให้เขาปรุงยาให้ ทั้งสองฝ่ายต้องกลับไปทำการแลกเปลี่ยนดังเดิมเสียก่อน

พูดแล้วฉือไคฮวงก็เริ่มลงมือ

หม่าเหรินเจ๋อจ้องซูเฉินอย่างดุร้าย “เจ้าคิดจะเอาชนะข้าได้งั้นหรือ ? ข้าหนังเหนียวไม่ใช่น้อยนะ”

ว่าแล้วก็ยกมือหนึ่งขึ้นฟ้า สายฟ้าฟาดวงเวียนคล้ายน้ำวนปกคลุมฝ่ามือ ก่อนเขาจะกระแทกฝ่ามือนั้นลงกับพื้น วิชานี้เป็นวิชาที่เขาใช้หลบหนีออกมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นเมื่อก่อนหน้า

แต่แม้เขาจะกระแทกกระแสพลังสายฟ้าลงกับพื้นแล้วแต่ร่างกายยังคงอยู่ที่เดิม แสงจากสายฟ้าจางลงเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่เคลื่อนกาย

“เป็นไปได้อย่างไร ?” หม่าเหรินเจ๋อชะงักค้างไป

ซูเฉินยิ้มบาง “สงสัยใช่หรือไม่ว่าเหตุใดจึงไม่อาจใช้วิชาหลบหนีดั่งสายฟ้าได้ ? หากข้าใช้เจ้านี่ย่อมไม่น่าแปลกใจ”

เขาหยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเอียงมันไปมา

“ยากลายหิน ?” หม่าเหรินเจ๋อร้องขึ้น

แม้วิชาหลบหนีดั่งสายฟ้าหม่าเหรินเจ๋อจะมีคำว่า ‘สายฟ้า’ อยู่ แต่มันคือวิชาเกราะประเภทดิน เขาเรียกมันว่า ‘วิชาหลบหนีดั่งสายฟ้า’ เพื่อหลอกคนอื่นเท่านั้น หากศัตรูคิดโต้กลับเพราะคิดว่าเป็นวิชาที่ใช้พลังจากสายฟ้าแล้วก็จะพบว่าเปล่าประโยชน์สิ้นดี

แต่ซูเฉินรู้ความจริงข้อนี้

เขาเพียงใช้ยากลายหินขวดหนึ่ง ทำให้พื้นดินโดยรอบแข็งดั่งหินเพื่อป้องกันไม่ให้หม่าเหรินเจ๋อใช้ผืนพิภพหลบหนีไปได้

หมอกอำพรางและวิชาหลบหนีดั่งสายฟ้าเป็นสองวิชาหลบหนีที่ดีที่สุดของหม่าเหรินเจ๋อ อย่างแรกเหมาะกับใช้หลบวิชาโจมตี อย่างหลังเหมาะกับการใช้หลีกหนีจากการต่อสู้

เมื่อไม่อาจใช้วิชาหลบหนีดั่งสายฟ้าได้ เขาจึงไร้ทางหนีอีก อีกทั้งเขาบาดเจ็บหนักเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะฉือไคฮวงได้

หม่าเหรินเจ๋อเริ่มกลัวในที่สุด เขาร้องตะโกนขึ้น “ปล่อยข้า !”

หากแต่กลับได้รับคำตอบเป็นฝ่ามือสะเทือนผืนดินจากฉือไคฮวง

“ไม่ ซูเฉิน ! หากสังหารข้าก็นับว่าเจ้าหยามเกียรติอารามนิรันดร์ พวกเขาย่อมไม่ยอมรับ ต้องไม่ยอมรับแน่ !” หม่าเหรินเจ๋อร้องเสียงแสบแก้วหู พยายามป้องกันฝ่ามือจากฉือไคฮวงสุดกำลัง

ซูเฉินค่อย ๆ ตอบ “ไม่ต้องห่วง ข้าไว้หน้าอารามนิรันดร์อยู่แล้ว…… คนที่สังหารท่านย่อมไม่ใช่ข้า”

พูดจบก็มีเงาร่างคนอีกคนปรากฏขึ้นข้าง ๆ ซูเฉิน

ชุมคลุมสีขาวพลิ้วไสวไปตามแรงลม

เยว่หลงซา