ภาคที่ 2 บทที่ 100 เดิมพัน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 100 เดิมพัน

เมื่อหม่าเหรินเจ๋อพุ่งเข้ามา อาสิบเอ็ดก็ถอยไปทันที

เขาถอยมาทางซูเฉินก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าตัวซูเฉินไว้

อาสิบเอ็ดนั้นฉลาดเฉลียวไม่น้อย ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ก็รู้ได้ว่าปมของปัญหาคือซูเฉิน หากคว้าตัวซูเฉินไว้ได้ก็น่าจะบีบให้หม่าเหรินเจ๋อยั้งมือไว้ได้

ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสคว้าตัวซูเฉินไว้ก่อน

แต่ยามเขาเคลื่อนกาย ซูเฉินเองก็เคลื่อนกายเช่นกัน

ราวกับคาดการณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว ซูเฉินหยิบของชิ้นหนึ่งออกมา

เป็นม้วนคัมภีร์

เขาฉีกมันออกเพื่อเปิดผนึก

แสงสีทองเริ่มส่องล้อมไปทั้งกาย

กรงเล็บอาสิบเอ็ดไม่อาจทะลวงผ่านเกราะทองนี้ได้

“เกราะหมื่นชีพ ? หรูหราจริง !” อาสิบเอ็ดคำรามต่ำ

ซูเฉินตระเตรียมมาเป็นอย่างดี ถึงขั้นที่นำคัมภีร์ป้องกันติดตัวมาด้วย

ซูเฉินทำทีเป็นให้ความร่วมมือแต่โดยดี ดังนั้นตระกูลจูจึงได้ไม่ค้นตัวเขา เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ซูเฉินเลือกที่จะหลอกตระกูลจูแทนที่จะเลือกข่มขู่อีกฝ่าย เขาเองก็ต้องเก็บกำลังไว้ใช้ต่อสู้เช่นกัน

เมื่ออาสิบเอ็ดลงมือไร้ผล หม่าเหรินเจ๋อจึงพุ่งเข้ามา ส่งหมัดไร้เสียงออกมาหมัดหนึ่ง ดูแล้วไม่รุนแรงมากนัก แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยไอสังหารหนาแน่น มุ่งตรงไปยังใบหน้าอาสิบเอ็ด

กระแสพลังสีแดงพุ่งทะยานขึ้นมาโต้หมัดนั้นไว้

ในขณะที่ทั้งสองต่อสู้พัวพันกันอยู่นั่นเอง ซูเฉินพลันหัวเราะเสียงทะมึนใส่จูเซียนเหยา

น้ำเสียงของเขาซ่อนความนัยไว้ จูเซียนเหยาสัมผัสได้ถึงกับสั่นกลัว “เจ้า……”

“รอต่อไปไม่ได้อะไร” ซูเฉินโจมตีใส่นาง พุ่งเข้าใส่จูเซียนเหยาพร้อมกับปล่อยหมัด

จูเซียนเหยาโต้กลับแม้จะยังตกตะลึงอยู่ ฝ่ามือจิ้งจอกแดงส่งพลังปราณสีแดงรุนแรงออกไป แต่ซูเฉินไม่สนใจมัน ฝ่าฝ่ามือนางเข้ามาไม่ล่าถอย

ฝ่ามือจิ้งจอกแดงเข้าปะทะเกราะหมื่นชีพของเขา สิ้นพลังไปในพลันเมื่อถูกเกราะ

เกราะหมื่นชีพสามารถป้องกันการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร แล้วผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณธรรมดาจะทำลายมันได้หรือ ?

ที่ซูเฉินลงมือโจมตีในตอนนี้เป็นเพราะเขาต้องการจัดการอีกฝ่ายในขณะที่ยังใช้งานเกราะได้นั่นเอง

เขาสะบัดฝ่ามือผ่านอากาศอย่างเฉียบคม เสียงฟ้าลั่นสนั่นดังสะเทือนดิน ก่อนจะสับฝ่ามือไปทางจูเซียนเหยา

จูเซียนเหยารีบล่าถอยไปด้วยความตกใจ ฝ่ามือนางคล้ายกับจะปิดแผ่นฟ้ายามนางจ้องตาซูเฉินอย่างยั่วยวน เป็นวิชาลวงจิตตระกูลจู !

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ คนส่วนมากจากหกตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่างก็มีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังสูงกว่านางวิชาสะกดจิตของนางจึงไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้นางมี่จังหวะใช้มันกับซูเฉิน แม้เกราะหมื่นชีพจะทรงพลังนัก แต่ก็ไม่อาจป้องกันวิชาโจมตีจิตได้ จูเซียนเหยาจึงมุ่งป้องกันตนไม่ปล่อยการโจมตี มุ่งพลังทั้งหมดไปกับการโจมตีจิต

ฟ้าว !

แสงลวงจิตกลั่นรวมตัวกันแล้วพุ่งซัดออกไป

ซูเฉินชะงักค้างไปในพลัน

แต่จูเซียนเหยาเพิ่งถอนหายใจโล่งอกได้ไม่เท่าไร ซูเฉินก็พลันพุ่งเข้ามาใหม่คล้ายกับสายฟ้าฟาด คว้าคอนางไว้แล้วกระแทกลงกับพื้น

“ไม่ !” อาสิบเอ็ดร้องขึ้นเสียงโกรธ กัดฟันทนพลังซัดจากหม่าเหรินเจ๋อแล้วซัดพลังใส่ซูเฉิน

เคราะห์ร้ายที่เกราะหมื่นชีพยังคงใช้การได้อยู่ ทำให้ซูเฉินป้องกันพลังซัดนั้นได้ ซูเฉินกำคอจูเซียนเหยากดลงกับพื้นไปแล้ว ใบหน้างามงดถูกกดจรดพื้น ปรากฏรอยขนาดใหญ่ขึ้น

จูเซียนเหยาร้องครางออกมา ซูเฉินคว้าคอนางกลับขึ้นมากำแน่น จากนั้นฟาดร่างไปยังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล แรงกระแทกรุนแรงกระทั่งจูเซียนเหยารู้สึกเครื่องในกระเทือน พริบตาหลังจากนั้น ซูเฉินก็ปล่อยหมัดอัดเข้าที่กลางท้องนาง

หมัดแล้วหมัดเล่า

หมัดกระหน่ำครั้งนี้ทำให้ใจที่คิดอยากสู้ของจูเซียนเหยาพลันเลือนหายไป นางไม่อาจปัดป้องได้ ได้แต่งอตัวอ่อนเปลี้ย

ซูเฉินปล่อยนางแล้วเอ่ยเสียงเย็นขึ้นในที่สุด “ขออภัยด้วย เมตตาศัตรูเท่ากับโหดร้ายต่อตนเอง แม้เจ้าจะงดงามนัก แต่ข้าไม่อาจยั้งมือให้เจ้าได้”

จูเซียนเหยาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตากร้าว “เหตุใดจึงสามารถต้านวิชาสะกดจิตข้าได้ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ?”

ซูเฉินหยิบขวดยาขึ้นมา “โอสถปลุกวิญญาณ ดื่มแล้วเพิ่มพลังจิตได้ อีกทั้งยังเพิ่มพลังป้องกันจิตได้อีกด้วย ตั้งแต่ที่ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากจิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจู ข้าก็ดื่มมันทุกครั้งก่อนพบเจ้า ถึงยาจะมีราคาแพงแต่ก็เห็นได้ชัดว่าคุ้มค่านัก”

โอสถปลุกวิญญาณ ?

จูเซียนเหยาไม่คิดว่าเขาจะใช้ยาเช่นนี้ นางจึงชะงักค้างไปชั่วขณะ

ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน การต่อสู้ระหว่างหม่าเหรินเจ๋อและอาสิบเอ็ดก็มาถึงจุดเดือด

ตูม !

อาสิบเอ็ดซัดกระแสพลังสีแดงออกไปอย่างบ้าคลั่ง มันล้อมรอบกายหม่าเหรินเจ๋อไว้ หม่าเหรินเจ๋อพลันเปลี่ยนเป็นควันดำก่อนจางหายไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ยืนอยู่เบื้องหลังอาสิบเอ็ด ส่งหมัดหนึ่งออกไป นิ้วกลางยื่นออกมาเล็กน้อย ก่อนจะซัดหมัดเล็งไปที่ท้ายทอยอาสิบเอ็ด

ท่านี้คือสว่านทะลวงเกราะ

หม่าเหรินเจ๋อเป็นนักฆ่า ปกติจะต้องซ่อนตัวแล้วโจมตีเป้าหมายจากในความมืด แต่หากเป็นการต่อสู้ระยะประชิด จางเทียนเยว่ยังนับว่าแข็งแกร่งกว่าเขาได้ ฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงอาสิบเอ็ด แต่เขาเหนือกว่าจางเทียนเยว่ในเรื่องของความรุนแรงในการโจมตีนัก

สว่านทะลวงเกราะเป็นวิชาลอบสังหารที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด หากศัตรูโดนวิชาเข้าจะสามารถทะลวงผ่านเกราะป้องกันจากร่างอีกฝ่าย ทะลวงพลังซัดเข้าร่างได้โดยตรง นับว่าเป็นวิชาที่เหมาะสำหรับใช้สังหารคู่ต่อสู้ที่มีร่างใหญ่เป็นยิ่งนัก

เยว่อูตี้เองก็ถูกสังหารโดยสว่านทะลวงเกราะ

หากการต่อสู้นี้เกิดเร็วขึ้นกว่านี้สักเล็กน้อย อาสิบเอ็ดก็คงมีหลากหลายวิธีในการรับมือกับการโจมตีนี้ได้

การรีบกระโจนหลบโดยเร็วคือวิธีที่เรียบง่ายที่สุด หากแต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงไม่อาจเคลื่อนกายได้ดั่งใจ สุดท้ายไม่อาจหลบการโจมตีได้ หรือเขาอาจใช้หยาดโลหิตจิ้งจอกแดงบีบให้ศัตรูถอยไปแล้วหาโอกาสโต้กลับได้

แต่ด้วยก่อนหน้าเขาใช้พลังไปมากเกินควร ดังนั้นจึงไม่เหลือพลังไว้ใช้วิชาอีก หรือแท้จริงแล้วก็อาจใช้วิชาเกราะป้องกันร่างกายได้ ด้วยสว่านทะลวงเกราะทะลวงได้เพียงเกราะร่างกาย ไม่อาจเจาะเกราะอื่น ๆ ได้ ดังนั้นจึงเหมาะเป็นวิชาที่ใช้ในการลอบสังหารมากกว่าการต่อสู้จริง แต่ปราณดาบของจงฉือซื่อยังคงหมุนเวียนทำลายร่างอาสิบเอ็ด ดังนั้นเขาจึงไร้กำลัง ความเร็วในการใช้วิชาเกราะจึงลดลงด้วย

ดังนั้นเมื่อต้องรับมือกับการโจมตีนี้ เขาจึงไม่อาจหาหนทางปัดป้องมันได้เลย

เมื่อเห็นว่าท่าสังหารตนใกล้จะปะทะร่างอีกฝ่ายเต็มที หม่าเหรินเจ๋อก็เผยรอยยิ้มเหี้ยม ในเวลาเดียวกันนั้นใบหน้าอาสิบเอ็ดพลันฉายแววสิ้นหวังเมื่อได้เห็นจูเซียนเหยาถูกจับกุมตัวอยู่

เขาพลันกู่ร้องเสียงลั่นขึ้น แทนที่จะกระโดดหลบการโจมตี เขากลับหันมาซัดท่าดัชนีออกไปแทน

ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ !

เมื่อซัดท่านิ้วออกไปแล้ว กำลังของอาสิบเอ็ดก็ทะยานขึ้นสูงในฉับพลัน

พริบตานั้น คลื่นหยาดโลหิตจากจิ้งจอกแดงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง กระจายเล่นสีไปทั่วท้องฟ้า

ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์นั้นคล้ายกับเสาค้ำสวรรค์ ยามมันซัดลงมาใส่หม่าเหรินเจ๋อก็สะเทือนถึงชั้นฟ้า

ตูม !

สว่านทะลวงเกราะทะลวงร่างอาสิบเอ็ด ทิ้งรอยแผลเป็นรูใหญ่ไว้บนร่างอีกรู หม่าเหรินเจ๋อเองก็ถูกดัชนีจิ้งจอกสวรรค์เข้าไปเต็ม ๆ ร่างกระเด็นลอยไป เป็นอีกครั้งที่ร่างเขาพลันสลายหายไปเหลือเพียงหมอกดำ

นี่คือ หมอกอำพราง วิชาโปรดที่เขามัดใช้ลบล้างพลังโจมตี ในการต่อสู้ถึงชีวิตหลาย ๆ ครา เขาก็ได้วิชาหมอกอำพรางช่วยให้เขาหลบหนีจากสถานการณ์เลวร้ายได้

ถึงกระนั้น หมอกอำพรางก็ยังไม่อาจลบล้างดัชนีจิ้งจอกสวรรค์อันทรงพลังได้ทั้งหมด ท่าดัชนีมีกำลังมหาศาลดั่งมหาสมุทรซัดคลื่นใหญ่ หมอกอำพรางจึงลบล้างการโจมตีได้เพียงบางส่วนเท่านั้น กระแสพลังสีแดงที่เหลือยังคงพุ่งเขามาแล้วกระจายไปรอบทิศ

แย่แล้ว !

พริบตานั้น กระทั่งซูเฉินยังรู้สึกกลัว เขาคว้าจูเซียนเหยาหมอบลงไปกับพื้นพร้อมกัน โชคดีที่เกราะหมื่นชีพยังใช้การได้ ช่วยปัดป้องคลื่นพลังจากการโจมตีให้ได้

ในที่สุดคลื่นพลังบ้าคลั่งก็เริ่มจางลง เกราะหมื่นชีพเองก็สลายหายไปเช่นกัน

ความน่าเกรงขามของการโจมตีเมื่อครู่ถึงขั้นทำซูเฉินเปลี่ยนสีหน้าไป

“อ๊ากกกก !”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนขึ้นด้วยความเจ็บปวด

คือเสียงหม่าเหรินเจ๋อ

หมอกดำลอยคลุ้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนร่างหม่าเหรินเจ๋อ

หากแต่เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ทั่วทั้งร่างชุ่มไปด้วยเลือด รูทวารทั้งหลายบนร่างมีแต่โลหิตหลั่งไหล กลายเป็นมนุษย์อาบโลหิตน่าขวัญผวา

เมื่อสังเกตดูดี ๆ ผิวหนังของหม่าเหรินเจ๋อนั้นละลายหายไปแล้ว ใบหน้าก็ผิดรูปอีกทั้งยังโชกเลือด มีเลือดซึมผ่านออกมาไม่หยุด

หม่าเหรินเจ๋อก้มหน้าลงมองร่างและแขนตนเอง เมื่อเห็นว่าผิวหนังบนร่างตนค่อย ๆ ละลายไปก็แหงนหน้าขึ้นร้องโหยหวน “ไม่ !!”

ไม่ไกลออกไปนัก อาสิบเอ็ดยังคงยืนอยู่ แขนข้างหนึ่งยังชี้นิ้วหนึ่งออกไป แต่กลับไร้การเคลื่อนไหวใดอีก

ลมเบาหอบหนึ่งพัดผ่านมา

ร่างของอาสิบเอ็ดค่อย ๆ สลายกลายเป็นเถ้าธุลี ลอยหายไปตามลม

“อาสิบเอ็ด !” จูเซียนเหยาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด