ภาคที่ 2 บทที่ 99 ปิดปาก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 99 ปิดปาก

จนถึงตอนนี้ เหลือเพียงหงหมิงอยู่คนเดียวเท่านั้น

เขานอนอยู่ที่พื้น ไม่อาจเคลื่อนกาย หอบหายใจเอาอากาศเข้าร่างอย่างสิ้นท่า

เมื่อหงหมิงเห็นอาสิบเอ็ดเดินมาทางตน เขาก็ส่ายหัว “ไม่ อย่าฆ่าข้าเลย !”

“เจ้าทำข้าบาดเจ็บหนักเช่นนี้ ยังจะอยากมีชีวิตอยู่อีกหรือ ?” อาสิบเอ็ดเอ่ยเสียงเหี้ยม

เขายกมือขึ้น เตรียมซัดพลังใส่หงหมิง

ในตอนที่กำลังจะออกกระบวนท่านั้นเอง ซูเฉินก็พลันเอ่ย “ไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อยเล่า ?”

“ว่าไงนะ ?” อาสิบเอ็ดหันมามองซูเฉิน นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหาร “เจ้าหนู ยังกล้าเปิดปากพูดอีกหรือ ?”

หากไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กนี่ เขาจะเสียคนไปมากมายเช่นนี้หรือ ? กระทั่งจูเยี่ยนเหนียงยังเอาชีวิตไม่รอด ตัวเขาเองก็บาดเจ็บหนัก

หลุมขนาดใหญ่น่ากลัวบนหลังเขาเป็นฝีมือหงหมิง ในตอนที่ปราณดาบของจงฉือซื่อทะลวงเข้าร่าง อาสิบเอ็ดก็หมดโอกาสขับปราณดาบออกจากร่าง ดังนั้นจึงรับมือกับมันได้ยากนัก ด้วยมันยังคงโคจรเวียนวน สร้างอาการบาดเจ็บภายในไม่หยุด

นอกจากนี้ ฝ่ามือของเจียงเทาและพิษไม้เขียวของจางเทียนเยว่ก็รุนแรงไม่น้อย หากแยกกันโจมตีคงไม่ร้ายแรงเท่าไร แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ยังทำให้บาดเจ็บหนักได้

แม้ภายนอกเขาจะดูไม่บาดเจ็บร้ายแรง แต่แท้จริงแล้วคือบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังเปิดใช้หยาดโลหิตจิ้งจอกแดงหลายครั้ง ทำให้สูญเสียพลังไปมาก กล่าวได้ว่าอาสิบเอ็ดในตอนนี้นั้นไร้พลังใดแล้ว

แต่ถึงกระนั้น การจะสังหารซูเฉินก็ง่ายดั่งบีบงูตัวน้อยให้ตายคามือ

ซูเฉินเอ่ยเช่นนั้นเท่ากับรนหาที่ตาย

เขาตวัดสายตามองซูเฉินด้วยความโกรธ “ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า แล้วเจ้ายังจะกล้าร้องขออีกหรือ ? หรือจ้าคิดว่าข้าบาดเจ็บแล้วจะลงมือกับเจ้าไม่ได้ ?”

ซูเฉินส่ายหน้า “ถึงท่านบาดเจ็บ ข้าก็ไม่คิดว่าตนเองจะถือไพ่เหนือกว่าท่านได้หรอก ข้าไม่คิดจะเป็นคู่ต่อสู้ของคุณหนูด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก”

จูเซียนเหยาจ้องเขาด้วยนัยน์ตาโกรธเกรี้ยว

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางรู้ดีว่านางคงไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้หากเขาไม่ผลักนางออกมา เหตุการณ์ต่อ ๆ มาก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

แต่เป็นเพราะเขา เรื่องราวจึงแปรเปลี่ยน คนจากตระกูลจูทั้งหมดต้องเอาชีวิตมาทิ้ง เหลือเพียงอาสิบเอ็ดคนเดียวเท่านั้น

และเพราะเขา ตระกูลจูจึงต้องเข้าห้ำหั่นกับหกตระกูลชั้นสูง ผลลัพธ์คือทะเลเลือด

เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขา !

อาสิบเอ็ดหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าหนู เจ้ามั่นใจนักหรือว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า ? ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้ากล้าวางแผนใช้พวกข้าไร้เมตตาเช่นนี้ ดูท่าความร่วมมือของเราจะไปต่อไม่ได้อีก เช่นนั้นข้าจับตัวเจ้าไว้แล้วนำตัวไปทรมาน ตัดมือ ตัดเท้า ตัดลิ้น หากเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี อย่างน้อยข้าก็จะทำศพเจ้าให้ครบส่วน แต่หากไม่ เลวร้ายที่สุดข้าก็ทำภารกิจไม่สำเร็จ ใต้หล้านี้ยังมีโอกาสอีกมาก แม้ครั้งนี้จะไม่อาจคว้ามาก็ยังมีโอกาสอื่นรออยู่ เจ้าคิดว่าพวกข้าจะอดรนทนรอเจ้าไปตลอดหรือ ?”

พูดไปเขาก็เดินย่างเท้ามาทางซูเฉิน

อาสิบเอ็ดที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ถูกคำขู่ของซูเฉินทำให้หวั่นไหวอีก

หากแต่ซูเฉินยังคงรอยยิ้มไว้ “ถึงตอนนี้หากข้ายังคิดว่าจะใช้ตำราเปิดพลังไคฮวงควบคุมท่านได้ก็คงใสซื่อไปแล้วกระมัง”

ว่าไงนะ ?

อาสิบเอ็ดชะงักค้างไป

ซูเฉินถอนใจ “ท่านไม่คิดจะตรวจสอบรอบกายก่อนลงมือหน่อยหรือ ? หรืออาการบาดเจ็บทั้งหลายส่งผลให้ทั้งเสียความสามารถพื้นฐานในการรับรู้จับสัมผัสไปแล้ว ?”

“ใครกัน ? ออกมาเดี๋ยวนี้ !” เมื่อได้ยินคำซูเฉิน อาสิบเอ็ดก็หมุนตัวไปรอบทิศ ส่งเส้นพลังสีแดงไปด้านหลัง

เงาดำพลันโผล่ออกมาจากป่า กระโดดปะทะเส้นพลังสีโลหิต มันร้องเสียงหลงคราหนึ่งก่อนจะร่วงลงกับพื้น คือหนูดมธูปตัวหนึ่ง เมื่อกระโจนมาโดนพลังก็ร่วงลงพื้นตายคาที่

จากนั้น คนรูปหน้ายาวคล้ายม้าก็ค่อย ๆ ย่างกรายออกมาจากป่า คือหม่าเหรินเจ๋อ

หม่าเหรินเจ๋อจ้องซูเฉินด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ซูเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร ? หากเจ้าไม่เปิดเผยตำแหน่งข้าข้าก็ลอบโจมตีเขาได้แล้ว ไม่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือเจ้าแล้วหรือ ?”

ซูเฉินหัวเราะ “ท่านอยู่ที่นี่มาทั้งวันไม่ลงมือ ข้าคิดว่าท่านไม่อยากช่วยเหลือข้าแล้วเสียอีก ข้าจึงต้องเรียกท่านออกมา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านหาจังหวะลอบโจมตี ? ท่านไม่เกรงว่ากว่าจะได้จังหวะข้าจะถูกสังหารไปแล้วหรือ ?”

“เขาบอกแล้วว่าจะไม่สังหารเจ้าในทันที แต่เอาตัวเจ้าไปทรมานก่อน เจ้ากลัวหรือไร ?”

ซูเฉินถอนใจ “ดูท่าท่านจะเกลียดข้าอยู่จริง ๆ ด้วย”

“เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แม้เขาจะไม่ทำอะไรเจ้าข้าก็จะทำดังเดิม เจ้าหนู กล้าต่อต้านข้าเช่นนี้ คิดว่ายามมาอยู่ในกำมือข้าแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ งั้นหรือ ?” หม่าเหรินเจ๋อเอ่ยเสียงขรึม

อาสิบเอ็ดพลันตาส่องประกายวาบ “เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่ใช่ศัตรูของข้าหรือ ? เช่นนั้นเราคงตกลงกันได้ อย่างไรเด็กนี่ก็ทำลายแผนการของข้าไปจนสิ้นแล้ว พวกข้าไม่คิดครอบครองตำราเปิดพลังไคฮวงอีก หากเจ้าต้องการ ไฉนไม่สังหารมันเสียตอนนี้ ? แบบนั้นดีกว่าไม่ใช่หรือ ?”

นับเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยออกมาอย่างใจกว้างเช่นนี้

ช่วงต่อสู้เขาไม่รู้สึกเจ็บแผลแม้แต่นิด แต่เมื่อหยุดต่อสู้แล้ว บาดแผลทั้งหลายก็พลันเจ็บปวดยิ่งนัก อาสิบเอ็ดจึงไม่คิดอยากต่อสู้อีก

หม่าเหรินเจ๋อเหลือบมองอาสิบเอ็ดแล้วหัวเราะเสียงทะมึน “ถึงข้าจะเกลียดเจ้าเด็กนี่ แต่ข้าก็ยังสังหารมันไม่ได้ เพราะข้ายังต้องการให้มันทำงานหนึ่งให้ข้า”

“เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นของเจ้า” อาสิบเอ็ดตัดสินใจฉับไว ปล่อยซูเฉินไปไม่ลังเล

หากแต่เป็นซูเฉินที่ถอนใจออกมาอีก “ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็อาจไม่ปล่อยท่านไปก็ได้ ท่านไม่รู้ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาหรือ ?”

“ว่าอะไรนะ ?” อาสิบเอ็ดชะงักไป

หม่าเหรินเจ๋อพลันมีสีหน้าดุดัน “หุบปาก !”

ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “เขาเป็นคนจากอารามนิรันดร์”

เมื่อพูดจบ ทุกคนก็ตัวสั่นไป

เผ่ามนุษย์ทั้งเผ่าต่างรู้จักอารามนิรันดร์อันเลื่องชื่อ

สิ่งที่ซูเฉินกล่าวไปก็เท่ากับยอมรับว่าตนเองเกี่ยวข้องกับอารามนิรันดร์ เมื่อตระกูลจูรู้ความลับนี้แล้ว หากคิดอยากจัดการซูเฉินก็ต้องเปิดเผยเรื่องนี้เป็นแน่

หม่าเหรินเจ๋อไม่คิดใส่ใจว่าซูเฉินจะถูกจัดการเช่นไร แต่ปัญหาคือเขายังติดค้างโอสถปลุกวิญญาณกับอารามนิรันดร์อยู่ !

หม่าเหรินเจ๋อโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “ซูเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร ?”

ซูเฉินตอบ “ย่อมต้องการให้ท่านช่วยสังหารอาสิบเอ็ด ท่านคิดว่าข้านำท่านมาที่นี่เพื่ออะไรกัน ? ตระกูลจูช่วยข้าจัดการหกตระกูลใหญ่ ตอนนี้ข้าต้องการให้ท่านช่วยจัดการตระกูลจูก็เท่านั้น”

ปิดปาก !

ปิดปากคนอีกครา !

ตระกูลจูสังหารคนหกตระกูลใหญ่เพื่อเป็นการปิดปาก

ตอนนี้หม่าเหรินเจ๋อก็ต้องกำจัดตระกูลจูเพื่อปิดปากพวกเขาเช่นกัน!

ตระกูลจูถูกหลอกให้ลงมือ หม่าเหรินเจ๋อก็เช่นกัน

แต่แม้จะรู้ว่าตนถูกหลอก หม่าเหรินเจ๋อก็ไร้ทางเลือก ต้องทำตามอีกฝ่าย เว้นเสียแต่ว่าเขาพร้อมยอมจะยอมรับผลที่ตามมาหากทำภารกิจไม่สำเร็จ

อาสิบเอ็ดบาดเจ็บหนัก อย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตนทำภารกิจล้มเหลวไป

แต่หม่าเหรินเจ๋อไม่ใช่เช่นนั้น

เขายังมีกำลังเต็มเปี่ยม มีโอกาสชนะสูง เขาย่อมไม่คิดอยากยอมแพ้ อีกทั้งในฐานะคนจากอารามนิรันดร์ สิ่งที่เขาต้องเสียไปหากทำภารกิจไม่สำเร็จนั้นมากกว่าอาสิบเอ็ดนัก

ดังนั้นเขาจะทำพลาดไม่ได้

เพราะฉะนั้นถึงจะรู้ว่าซูเฉินหลอกใช้ตน เขาก็ยังต้องปล่อยมันไป

ซูเฉินพูดเสริม “พวกเขามาที่นี่ คิดจะต่อรองกับข้า ก่อนมาเขาไม่รู้ว่าข้าต้องการสิ่งใด ดังนั้นคงจะตระเตรียมมาหลายสิ่ง เช่น สมุนไพรยาล้ำค่า ข้อมูลโบราณ เครื่องมือต้นกำเนิดมีมูลค่า และหินพลังต้นกำเนิดนับไม่ถ้วน…… คงจะนำของเหล่านี้มาด้วยเป็นแน่”

ความโลภคือแรงกระตุ้นสุดท้ายที่ทำให้หม่าเหรินเจ๋อยอมเดินตามทางที่ซูเฉินกรุยไว้ให้

นัยน์ตาที่มองอาสิบเอ็ดพลันเยียบเย็น พลังในร่างพุ่งทะยานดุดันยิ่ง

อาสิบเอ็ดตะโกนขึ้น “ข้าให้เงินเจ้าได้ ทั้งยังยอมกล่าวคำสาบานว่าจะรักษาความลับ !”

“คนตายเก็บความลับได้ดีที่สุด !”

ช่างเป็นคำที่คุ้นหูเสียนี่กะไร

จากนั้นหม่าเหรินเจ๋อก็พุ่งเข้าไป