บทที่ 226 – ฉันคือไข่ (2)
[โดยปกติแล้วเจ้าจะต้องใช้คะแนนคุณูปการแลกเลปี่ยนกับพลังแห่งเทพ…]
พื้นผิวของไข่ได้ถูกย้อมไปด้วยสีขาวในทันที
ซอลจีฮูได้จ้องมองไปที่ไข่สีขาวที่เรืองแสงออกมาเหมือนกับไข่มุกอันงดงาม
[แต่ว่าในคราวนี้ข้าจะทำให้โดยไม่เก็บคะแนนแล้วกันนะ]
ลูซูเรียได้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของซอลจีฮู
ไม่นานนักแสงที่โอบล้อมไข่ก็ค่อยๆลดลง
ไม่สิ มันกำลังถูกดูดซับเข้าไป
แสงได้ค่อยๆลดลงไปจากการที่ไข่ซึมซับมันเข้าไปจนกระทั่งในที่สุดแสงก็หายไป
นั่นแหละ
ซอลจีฮูได้รีบเข้าไปจับไข่ที่ร่วงลงมาเอาไว้
ตัวไข่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น อย่างแรกเลยก็คือพื้นผิวของมันส่องสว่างและเรียบลื่นยิ่งกว่าเดิม ในตอนนี้มันดูเหมือนกับหยกมากกว่าไข่ซะอีก
เขาอาจจะคิดไปเอง แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่าไข่ร้อนขึ้นมาอีกด้วย
มือของเขาที่กำลังจับไข่เอาไว้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ซอลจีฮูดูจะผิดหวังเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเขาคาดหวังในอะไรที่น่าเหลือเชื่อ แต่ว่าอยากน้อยเขาก็หวังว่าไข่จะฟักออกมาในทันที
[การทดสอบได้เริ่มขึ้นนับตั้งแต่ที่ฉันมอบพลังแห่งเทพให้กับไข่ไปแล้ว]
น้ำเสียงอ่อนโยนได้ปลุกให้ซอลจีฮูตั้งสติกลับมา
‘ไม่ใช่หลังจากไข่ฟักหรอครับ’
[แน่นอนว่าไม่ ข้ามั่นใจว่าเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาว่าไม่มีการมอบอำนาจแม้แต่หนึ่งเดียวให้กับปรมาจารย์หอกได้ใช่ไหม?]
นั่นมันหมายความว่าจิตวิญญาณอาร์คัสได้ปฏิเสธที่จะฟักตัวออกมาด้วยเช่นกัน
ซอลจีฮูได้ผงะถอยไป
‘เป็นจิตวิญญาณเจ้าเล่ห์อะไรแบบนี้กัน?’
ยังไงก็ตามอย่างน้อยเขาก็มีคุณสมบัติขั้นต่ำสุดแล้ว
ซอลจีฮูได้แสดงความขอบคุณออกมาอย่างสุภาพ กู่ลามักที่จะทำให้เขาต้องหัวหมุนตลอดในตอนที่เธออธิบายสิ่งต่างๆ แต่ว่าสำหรับลูซูเรียแล้ว เธอพูดออกมาอย่างชัดเจน เขาชอบด้านนี้ของเธอเป็นอย่างมาก
[เมื่อจิตวิญญาณอาร์คัสตื่นขึ้นมา เจ้าคงจะต้องมาที่วิหารบ่อยมากยิ่งขึ้น]
‘เพราะพลังแห่งเทพหรอครับ?’
[ใช่แล้วล่ะ ในทันทีที่เจ้ากลายเป็นเจ้านายของจิตวิญญาณอาร์คัส เจ้าจะต้องรับผิดชอบในการเติบโตของมัน]
“…”
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เขาจะต้องมารับหน้าที่ดูแลเด็กน้อยอะไรแบบนี้
นอกจากนี้เขายังต้องใช้คะแนนคุณูปการที่เก็บมาได้เพื่อแลกกับพลังแห่งเทพอีกด้วย
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา
‘…ฉันขายหอกนี้ออกไป แล้วไปหาซื้อหอกเล่มอื่นดีไหมนะ?’
เขาถึงขนาดมีความคิดที่น่าอายแบบนี้
[ไม่ เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าจิตวิญญาณอาร์คัสจะกลายเป็นพันธมิตรที่ทรงพลัง และคู่หูของเจ้า มันไม่ได้มีหน้าที่เพียงมอบอำนาจเท่านั้นหรอกนะ การใช้คะแนนคุณูปการไปกับการเพื่อนร่วมทางตลอดชีวิตมันไม่ใช่เรื่องแย่เลย]
‘ผมเข้าใจครับ…’
ซอลจีฮูได้เม้มปากเอาไว้ และเก็บไข่ลงไปในกระเป๋า
[เจ้าสามารถจะแลกเปลี่ยนคะแนนคุณูปการกับพลังแห่งเทพได้ในทุกๆที่ที่เจ้าไป แต่ว่า…]
ลูซูเรียได้หัวเราะออกมา และส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง
[แต่ข้าหวังว่าลูกของข้าจะมาหาข้าที่วิหารบ่อยๆ!]
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา
‘ผมไม่ได้เป็นเด็กนะ’
ชายอายุ 26 ปีเต็มเป็นเด็กเนี้ยนะ?
แน่นอนว่าในสายตาของเทพเขาอาจจะยังเป็นเด็ก แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังอดไม่ได้ที่จะคัดค้านขึ้นมาด้วยความอาย
[ฟุฟุ]
ลูซูเรียได้หัวเราะแปลกๆออกมา
[สำหรับข้าแล้ว เจ้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยน่ารัก… ทั้งในตอนนั้น แล้วก็ในตอนนี้]
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
***
เภสัชกรรมซินยอง
ย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นกำเนิด ซินยองนั้นเริ่มต้นจากธุรกิจที่มีชื่อว่าเภสัชกรรมซุนยัง ในตอนนั้นมันเป็นเพียงแค่บริษัทขนาดกลางเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อยุนซอจินได้ถูกเชิญไปที่พาราไดซ์ด้วยความบังเอิญจึงทำให้ชีวิตเขาได้เปลี่ยนแปลงไป
การตื่นเต้นกับการได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆนั้นคงอยู่เพียงครู่เดียว ชายผู้นี้คือนักธุรกิจจากครอบครัวเล็กๆที่สร้างบริษัทขนาดกลางขึ้นมาได้
ด้วยการแลกเปลี่ยนกับคะแนนคุณูปการ เขาสามารถที่จะนำของจากพาราไดซ์ไปยังโลกได้
นั่นมันหมายความว่าพาราไดซ์สามารถจะทำกำไรได้
ในทันทีที่เขารู้เรื่องนี้ เก้าอี้ประธานของยุนซอจินได้ขยับอย่างรวดเร็ว
เขาได้ตัดสินใจตั้งบริษัทให่ขึ้นภายในพาราไดซ์
ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีในพาราไดซ์ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขามากที่สุดก็คือยา
พาราไดซ์ไม่เพียงแค่จะมียาลึกลับทุกประเภทเท่านั้น แต่มันยังมีน้ำยาหรือสารต่างๆที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรและการแปรธาตุ
ด้วยส่วนประกอบทุกชนิดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน สำหรับประธานยุนซอจินแล้ว พาราไดซ์คือขุมทรัพย์อย่างแท้จริง
ผลิตภัณฑ์แรกของเขาก็คือยาเหลวที่เป็นน้ำยาเอาไว้สำหรับเพิ่มสมาธิในรูปแบบเจือจางแล้ว
เขาได้ขายมันออกไปเป็นเครื่องดื่มการกีฬา และไม่เพียงแค่จะจัดจำหน่ายตามร้ายยาเท่านั้น แต่เขาก็ยังขายมันตามร้านสะดวกซื้ออีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ยิ่งใหญ่มาก
แม้ว่ายาจะส่งผลกระทบทำให้ผอมลงไปกว่าครึ่ง แต่การดื่มมันลงไปจะทำให้สมองปลอดโปร่งและมีสมาธิเป็นเวลา 10 นาทีหรือมากกว่านั้น สำหรับผู้บริโภคแล้วมันค่อนข้างจะะยอดเยี่ยมเลย
ผู้ปกครองนักเรียนต่างก็ตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ แทบจะบ้าคลั่งไปเลยด้วยซ้ำไป
เพราะการแสดงผลในทันทีทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ถูกกระจ่ายข่าวออกไปตามอินเทอร์เน็ตเหมือนไฟลามทุ่ง และยอดขายก็พุ่งสูงขึ้น
ประธานยุนซอจินไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้ตัดสินใจยุบซุนยัง และก่อตั้งซินยองขึ้นมาเพื่อเริ่มธุรกิจพาราไดซ์ของเขาอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องการมีอยู่ของพาราไดซ์ออกไปตามสัตย์สาบาน แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
จริงๆแล้วนี่คือสิ่งที่เขาต้องการด้วยซ้ำไป
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือการจัดตั้งสถาบันวิจัย และบอกว่าการวิจัยยาตัวใหม่ของเขาสำเร็จ
และในตอนนี้ซินยองได้รับการยกย่องเป็นบริษัทช้ำนำทางด้านเภสัชกรรมในอันดับตันๆของเกาหลี
ตามที่สื่อกล่าวมา หากว่าไม่ได้มีบริษัทการค้าโซยอง สถาบันวิทยาศาสตร์ฮายอน สถาบันเฮโซล และสถาบันความงามวิเวียนแล้ว ซินยองก็คงจะเป็นอันดับหนึ่งในบริษัททั้งหมด
ย้อนกลับมาในประเด็นหลัก ซินยองนั้นคือองค์กรแรกที่นำแนวคิดเรื่อง ‘บริษัท’ มาปรับใช้ในพาราไดซ์
แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยเหมาะในสถานที่อย่างพาราไดซ์ แต่นี่ก็เป็นการดำเนินงานกันของซินยอง มันเป็นธรรมดาที่ภายในบริษัทจะมีตำแหน่งของพนักงาน และการประเมินงานของพนักงานแต่ล่ะคน
พึมพำ พึมพำ
วันนี้ที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งของซินยองได้วุ่นวายเป็นพิเศษ มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้ากระดานข่าวสารเพื่อตรวจสอบดูประกาศของบริษัท
หัวข้อได้เขียนเอาไว้ว่า: การโยกย้ายบุคลากร
นี่มันผิดปกติ ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานส่งผลกระทบต่อการเลื่อนตำแหน่ง และการปลดในพาราไดซ์นั้นมันไม่มีอยู่จริง นั่นมันก็เพราะว่าตอนที่จะจ้างพนักงานใหม่ พวกเขาต้องใช้แต้มคุณูปการจำนวนมากเพื่อซื้อตราประทับ
แน่นอนว่าการติดประกาศนี้ไม่ใช่การปลดพนักงาน แต่ว่าเป็นการโยกย้ายบุคลากร
ต๊อก ต๊อก
เมื่อเสียงรองเท้าส้นสูงดังออกมา คนสามหรือสี่คนที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ได้หันกลับไปมอง เมื่อเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็สะดุ้งและหลีกทางทันที
ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ตรงหน้าป้ายประกาศได้แยกกันออกเหมือนทะเลแดง
หญิงสาวผมหางม้าที่ใส่ชุดสูทสีเทาได้เดินผ่าฝูงชนเข้ามา
เธอได้หยุดอ่านป้ายประกาศตรงหน้าโดยไม่ขยับเปลือกตาเลย
สายตาของเธอได้หยุดลงตรงกลางรายการชื่อที่หก
-การโยกย้ายบุคลากร
…
ผู้บริหารคิมฮันนาห์ -> ย้ายไปทีมจู่โจม
…
เมื่อเธอได้เห็นชื่อของเธอร่องรอยความขมขื่นได้ปรากฏขึ้นมา แต่ว่านั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่มีใครที่สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเธอ
“ยินดีกับการเลื่อนตำแหน่งด้วยนะ”
ด้านหลังของเธอได้มีเสียงเจ้าเล่ห์ดังออกมา
คิมฮันนาห์ได้หันกลับไปมองนิ่งๆ
ชายหนุ่มแต่งตัวดีกำลังมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม
“…หัวหน้าฝ่ายบุคคล”
“ใช่แล้ว ผู้บริหารคิมฮันนาห์ หรือว่าตอนนี้ผมควรจะเรียกว่าผู้จัดการคิมดีล่ะ?”
คิมฮันนาห์ได้มองไปที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่กำลังพูดคุยอย่างเบื่อหน่าย
ยินดีงั้นหรอ? คิมฮันนาห์ไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เลย การออกไปจากทีมจัดการซึ่งเป็นเสียงที่หนักแน่นในบริษัท และถูกย้ายไปทีมโจมตีนี่มันเป็นอะไรที่น่ายินดีงั้นหรอ?
ไม่ว่าใครก็มองออกว่านี่มันเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไปแล้ว ยังไงก็ตามสีหน้าของคิมฮันนาห์ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว
เธอได้โค้งออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอบคุณนะหัวหน้าฝ่ายบุคคล”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ตบไหล่คิมฮันนาห์ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ขอให้โชคดีนะ ผมชมคุณเอาไว้เยอะเลย เพราะงั้นอย่าทำให้ผมเสียหน้าล่ะ”
“ฉันจะพยายามค่ะ”
“ดี เยี่ยมมาก เอาเถอะ ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องทำได้อย่างยอดเยี่ยมแน่ ผู้จัดการคิม อ่า คุณช่วยรีบจัดการหน้าที่เก่าให้เสร็จด้วยได้ไหม? ผู้บริหารคนใหม่ของเราใกล้จะมาถึงแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้แอบฝืนกลืนน้ำลายลงไปก่อนจะยิ้มออกมา
“แน่นอน ได้อยู่แล้วค่ะ”
แม้ว่าทั้งสองคนต่างก็ยิ้มให้กัน แต่ว่าสายตาพวกเขาไม่ได้แสดงความเป็นมิตรออกมาเลยแม้แต่นิด จริงๆแล้วพวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายกันและกันมากกว่า
“ชินฮันซองรอนานแล้วนะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้โค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะเดินจากไป หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้จ้องคิมฮันนาห์จากใบโดยไม่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาแม้แต่นิด
***
“เป็นยังไงล่ะ?”
น้ำเสียงร่าเริงได้ดังออกมาในทันทีที่ประดูแผนกวางแผนที่อยู่ชั้นสูงสุดของซินยองถูกเปิดออกมา
เนื่องจากว่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้ว เขาจึงเพียงแค่โค้งคำนับและตอบกลับไป
“สีหน้าเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดครับ”
“โอ้ จริงงั้นหรอ?”
ยุนซอฮุยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ดูจะค่อนข้างขบขัน
“ฉันสงสัยจังเลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ผู้บริหารคิมจะรู้ไหมนะ ยังไงเธอก็รู้จักกันในนามจิ้งจอกนี่นา~”
“โอ้ ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องเข้าใจสถานการณ์อย่างแน่นอน แต่ว่าเธอก็รู้ว่าเธอต้องอดทน เธออาจจะพยายามอดกลั้นเอาไว้อยู่”
“ถ้างั้นหน้าที่ของคุณก็คือการทำให้เธออดทนไม่ได้นะ”
ยุนซอฮุยได้พูดออกมาชัดๆ ก่อนจะยืดตัวออกมา
“อ๊าาาาาา~ ผู้บริหารคิมของเรา~ หากว่าเธอแค่ลดความทะเยอทะยานสักหน่อย~”
เธอได้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางแขนลงและเหลือบมองหัวหน้าฝ่ายบุคคล เธอหวังว่าเขาจะพูดว่า ‘ผมเห็นด้วย’ หรืออะไรทำนองนั้น แต่น่าแปลกที่เขาเงียบ
“มีอะไรงั้นหรอ?”
“…ผม…”
หัวหน้าฝ่ายบริหารดูจะกำลังรู้สึกขัดแย้งในใจอยู่ แต่ว่าเขาก็พอจะพูดความคิดของเขาออกมาได้
“ผมอาจจะละลาบละล้วงไป… แต่ว่าทำไมไม่ไปล่อยให้เธอทนไปอีกสักหน่อยล่ะครับ? ถ้าเธอเหนื่อย เธอก็จะหยุดไปเอง”
“?”
“มันยากที่จะหาคนที่มีพรสวรรค์เหมือนกับผู้บริหารคิมใ.. นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าเส้นสายระหว่างซอลจีฮูจะแย่ลงหรอครับ…”
คำพูดช่วงท้ายของหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ขาดหายไป
รอยยิ้มกว้างได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยุนซอฮุย
“ถ้างั้นนั่นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการที่เราทำอยู่สิ”
“…”
“คุณคงจะรู้สึกผูกพันธ์กับเธอ ฉันไม่โทษคุณหรอกนะ ยังไงคุณก็เป็นคนที่ฟูมฟักเธอขึ้นมานี่นา”
“ไม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”
“ผู้บริหารคิมเป็นคนมีความสามารถ เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
ยุนซอฮุยก็เห็นด้วยเช่นกัน จากนั้นเธอก็พูดออกมา
“ซินยองมีคนที่มีความสามารถอยู่มากมาย แม้กระทั่งพนักงานระดับล่างๆก็ถูกเลือกรับเข้ามาอย่างพิถีพิถันใช่ไหมล่ะ?”
สิ่งที่ยุนซอฮุยกำลังจะบอกนั้นง่ายมาก เธอไม่ได้ปฏิสเธว่าคิมฮันนาห์มีความสามารถ แต่ว่าการเสียเธอไปนั่นมันไม่ได้หมายความว่าซินยองจะมีช่องโหว่ที่ปิดไม่ได้
ยุนซอฮุยได้พูดขึ้นพร้อมยกแขนอย่างช้าๆ
“แล้วก็เรื่องเส้นสายน่ะหรอ ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนเราล้มเลิกไปแล้วหรอ?”
วิธีการใหม่ที่ยุนซอฮุยเลือกใช้ดึงตัวซอลจีฮูนั้นเงียบง่ายมากๆ
ในเมื่อเธอแตะต้องเขาไม่ได้ ถ้างั้นเธอจะทำให้เขามาหาเธอเอง
เหมือนอย่างที่เธอดึงตัวซึงชิฮยอนมาได้
สาเหตุของการเปลี่ยนแผนอย่างกระทันหันนั่นก็เพราะพัฒนาการที่รวดเร็วเกินไปของซอลจีฮู
ในตอนแรกเธอวางแผนจะหาโอกาสเหมาะในการดึงตัวเขามา นั่นคือเหตุผลที่เธอเลือกคิมฮันนาห์ นายหน้ามือดีที่สุดของพวกเธอในการไปดูแลเขา
แต่ว่าก็เพราะพัฒนาการของซอลจีฮูที่เกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ ซินยองจึงได้แต่นั่งอมนิ้วมองดู
ตัวอย่างที่ดีของเหตุการณ์ล่าสุดก็คือมีองค์กรสักองค์กรหนึ่งพยายามจะป้ายความผิดให้เขา แต่แล้วซันเหอ ซิซิเลีย สมาคมนักฆ่า และราชวงศ์ฮารามาร์คได้ลุกฮือกันขึ้นช่วยเขา
สิ่งสำคัญก็คือคิมฮันนาห์เป็นผู้รับผิดชอบต่อการที่ซินยองต้องเป็นผู้ชม
คิมฮันนาห์จะยื่นรายงานเกี่ยวกับตัวซอลจีฮูเป็นระยะ และเธอได้พยายามหาข้ออ้างเพื่อทำให้ซินยองติดต่อซอลจีฮูได้ล่าช้าอยู่เสมอ
ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ได้ก้าวข้ามความคาดหวังของทุกๆคน และยกระดับคุณค่าของตัวเขาเอง รวมรวบพรรคพวก และสร้างเส้นสาย แถมในระหว่างสงครามเขายังได้ตอกตะปูปิดฝาโลงไปแล้วด้วย
ยุนซอฮุยไม่ได้โง่
เมื่อการประเมินของซินยองได้พลาดไป เธอจึงได้ค้นพบความแตกต่างที่มากมายระหว่างความสำเร็จของซอลจีฮูกับรายงานของคิมฮันนาห์
ไม่ว่าใครก็มองออกว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงได้ทำขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ซินยองได้ติดต่อกับซอลจีฮู
แต่มันก็แค่ว่าคิมฮันนาห์ได้พยายามซ่อนมันเอาไว้อย่างดี และป้องกันไม่ให้ยุนซอฮุยรู้ตัว
การยกเลิกแผนของคิมฮันนาห์ด้วยอำนาจของเธอ และไปที่คาเฟ่ด้วยตัวเองเป็นการยื่นคำขาดแล้ว ยุนซอฮุยได้ให้โอกาสคิมฮันนาห์ในการแก้ไขสถานการณ์
แต่ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ไม่ได้ดำเนินการใดๆทั้งสิ เพราะงั้นยุนซอฮุยจึงต้องเคลื่อนไหวเองง
“หากว่าเธอไม่ได้คิดจะยืมพลังของซอรา ฉันก็คงจะปล่อยเธอเอาไว้นานกว่านี้หน่อย”
ยุนซอฮุยได้หัวเราะออกมา เธอเข้าใจเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงอยากเพิ่มเงินในกระเป๋า แต่ถึงแบบนั้นมันก็มีจำกัด
มีความเป็นไปได้สูงว่าในอนาคตซอลจีฮูจะกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ในพาราไดซ์ ยุนซอฮุยไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้เขาร่วมงานกันจากภายนอก
เขาใช้เวลาไม่ถึงปีเติบโตขึ้นมามากขนาดนี้ หากว่าคิมฮันนาห์ได้รับการสนับสนุนจากยุนซอราอย่างเปิดเผยสักปีสองปี ตอนที่ซอลจีฮูกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษล่ะ?
ถ้างั้นสิ่งต่างๆมันก็จะอยู่เหนือการควบคุมของเธอแล้ว
“การตัดไฟแต่ต้นลมมันดีที่สุดแล้ว”
“แต่ว่าหากคุณไล่เธอออกไป ซอลจีฮูก็อาจจะคิดว่า…”
“โอ้? คุณหมายความว่ายังไงกัน?”
ยุนซอฮุยได้เบิกตากว้างและเอียงหัวออกมา
“ฉันคิดว่าผู้บริหารคิมได้เดินออกไปด้วยตัวเธอเองนะ?”
เมื่อหัวหน้าฝ่ายบุคคลยิ้มแห้งๆออกมา ยุนซอฮุยก็พูดต่อ
“เอาเถอะ เขาอาจจะคิดไม่ดีกับเรา แต่ว่าเขาจะชักอาวุธขึ้นต่อต้านเลยงั้นหรอ? นอกไปจากนี้หน้าที่ในการรับมือกฏแห่งกรรมของคุณซอลจีฮูเป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของคุณหรอกนะ”
แต่หัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ยังคัดค้านออกมา
“ครับ นั่นมันก็ถูก แต่ว่าเราต้องคำนึงถึงการที่ผู้บริหารคิมออกไปจากซินยอง และก่อตั้งองค์กรกับซอลจีฮู…”
“คุณหัวหน้าฝ่ายบุคคล”
ยุนซอฮุยได้ขัดเขาอย่างอ่อนโยน
“คุณจะกังวลอะไรขนาดนั้น? องค์กรงั้นหรอ? คุณคิดว่าการงทะเบียนเป็นองค์กรมันง่ายงั้นหรอ? มันง่ายขนาดที่จะทำเสร็จได้ในวันเดียวเลยหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด”
“ต่อให้พวกเขาสร้างองค์กรกันขึ้นมา… ก็เอาเถอะ ใครสนล่ะ? แต่ว่าเท่าที่ฉันรู้นะ~”
ยุนซอฮุยได้พูดประโยคสุดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้าง
“…ผู้บริหารคิมมีศัตรูอยู่มากมายรอบตัวเธอ”
น้ำเสียงอันเย็นชานี้ของเธอได้ทำให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลต้องขนลุก นั่นเพราะใบหน้าของเธอกำลังยิ้มหวาน แต่สิ่งที่เธอพูดออกมากลับน่าขนลุก
หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้เงียบลงไปในทันที เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาเพิ่งข้ามเส้นที่เขาไม่ควรจะข้ามไปแล้ว
ยุนซอฮุยปล่อยให้เขาผยองเพราะรู้ถึงความภักดีของเขา แต่ในท้ายที่สุดแล้วสุนัขก็ยังเป็นสุนัข เขาต้องทำตัวให้ดีหากอย่างจะถูกป้อมอาหาร
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
ขณะที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลโค้งคำนับ และหันหลังกลับ…”
“โอ้ ยังไงก็ตามคุณหัวหน้าฝ่ายบุคคล”
ยุนซอฮุยได้หยุดเขาเอาไว้ราวกับเพิ่งจะนึกอะไรได้
“คุณได้ตรวจสอบองค์กรที่พยายามจะป้ายสีคุณซอลจีฮูหรือยัง?”
“อ่า เหตุการณ์นั่นหรอครับ?”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ขมวดคิ้นขึ้นมา
“…ต้องขออภัยด้วยครับ เราไม่มั่นใจเลย ทีมข้อมูลกำลังดำเนินงานกันอยู่ แต่ว่าพวกเขาไม่มีความคืบหน้าใดๆเลย…”
“อืมม… มันคงจะยากแหละ ทำต่อไป นี่เป็นงานที่สำคัญมาก”
“ครับ?!”
มีประกายแสงปรากฏขึ้นบนดวงตาหัวหน้าฝ่ายบุคคลเมื่อยุนซอฮุยบอกว่านี่คืองานสำคัญมาก
“แน่นอนว่ามันมีประโยชน์ในตอนที่จัดการกับกฎแห่งกรรม แล้วก็ยัง…”
ยุนซอฮุยได้หยักไหล่ออกมานิ่งๆ
“คุณก็รู้จักนิสัยของฉันนี่นะ ฉันโครตจะเกลียดคนที่มาแตะต้องของของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เนื่องจากหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้เฝ้าดูยุนซอฮุยมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาจึงหยักหน้ารับอย่างใจเย็น
“แน่นอนครับผม ผมจะไปหาทีมข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง”
“ขอบคุณมาก คุณคงจะยุ่งมาก ตอนนี้ไปได้แล้วล่ะ”
ยุนซอฮุยได้โบกมือออกมาด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์
***
หลังจากกลับมาที่สำนักงานแล้ว ซอลจีฮูได้มองศึกษาไข่อย่างละเอียด
เขาเพิ่งจะป้อนพลังแห่งเทพของลูซูเรียให้กับไข่ไป แต่แม้ว่าเขาจะลองสะคิด เคาะ หรือใช้เป็นลูกโบว์ลิ่งก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี
“โอ้วว! สไตรท์อีกแล้ว!”
[เฮ้! นี่นายกำลังทำอะไรอยู่!?”
เพราะการเล่นโบว์ลิ่งมันกลายเป็นสนุกขึ้นมา เพราะงั้นเขาจึงเล่นอยู่สองสามครั้งก่อนที่โฟลนจะเข้ามาตีหลังเขา
ยังไงก็ตามไข่ก็ยังไม่ขยับอยู่ดีไม่ว่าเขาจะทำอะไรลงไป
‘ฉันคงทำอะไรไม่ได้สินะ’
ไข่จะฟักออกมาเองในตอนที่มันต้องการ
ซอลจีฮูได้กระโดดขึ้นไปพึมพำอยู่บนเตียง หลังจากใช้เวลาโน้มน้าวให้โฟลนไปแนะนำตัวเองกับทีมของเขาอยู่นาน เขาก็เผลอหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว
นี่คือสาเหตุที่เขามองไม่เห็นมัน
ไข่ที่อยู่ข้างๆหัวของกำลังกระตุกอย่างรุนแรง