บทที่ 227 – เจ้าหญิงจิ้งจอก และเจ้าชายกระต่าย
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมามองแสงแดดยามเช้า เขาได้ลุกขึ้นไปต้นน้ำ และหลังจากชงกาแฟให้ตัวเองแล้ว เขาก็นั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่สมาคมนักฆ่าส่งมาให้
ตารางงานในวันนี้ของซอลจีฮูได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ในตอนเช้าเขาได้วางแผนไว้ว่าจะแนะนำโฟลนกับสมาชิกทีมของเขา และจากนั้นก็ไปสกีเฮราซาร์ดในตอนบ่าย
เขาจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อได้รู้ถึงที่อยู่ของคิมฮันนาห์เท่านั้น
แต่อย่างแรกเลยก็ต้องกินข้าวก่อน ซอลจีฮูได้เริ่มเตรียมข้าวเช้าในทันที
เขาได้ออกไปจุดไฟข้างนอก และวางหม้อข้าวเอาไว้ด้านบน อาหารของพาราไดซ์ก็ตรงกับรสนิยมของเขา แต่ว่ามันก็มีบ้างที่เขาอยากจะกินข้าว
หลังจากเตรียมข้าวเอาไว้สำหรับ 6 จานแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ครุ่นคิดกับตัวเองพร้อมหยิบเอาวัตถุดิบต่างๆสำหรับทำอาหารที่เขาเอามาจากโลกออกมา
‘ฉันควรจะไปชวนพวกเขาไปด้วยไหมนะ…?’
ช่วงนี้บรรยากาศภายในคาเพเดี่ยมนั้นค่อนข้างจะสดใส ทุกๆคนต่างก็นอนหงายหัวเราะกับตัวเองอยู่ทั้งวัน
บางครั้งพวกเขาก็จะออกไปข้างนอก แต่ว่านั่นก็แค่ไปตรวจดูเงินที่วิหาร หรือไม่ก็ออกไปดื่มที่บาร์เท่านั้นเอง
แน่นอนว่านี่มันเป็นธรรมดาสำหรับพวกเขาที่จะหยุดพัก โดยเฉพาะในตอนนี้ปฏิบัติการก็ได้จบลงไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็ชัดเจนว่าทุกๆคนต่างก็มีสิ่งที่คิดเอาไว้อยู่ในใจ
ซึ่งสิ่งที่ทุกๆคนกำลังคิดอยู่มันก็แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ฉันควรจะเอาเงินไปใช้กับอะไรดีนะ?’ เพราะงั้นหากว่าเขาไปชวนคนอื่นๆไปสกีเฮราซาร์ดกับเขา ทุกๆคนก็จะต้องตกลงแทบจะในทันทีอย่างแน่นอน ยังไงแล้วที่นั่นก็มีโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในพาราไดซ์อยู่ และไม่มีนักรบคนไหนที่จะปฏิเสธในความโลภของอุปกรณ์ได้
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้ในตอนเช้า ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในสำนักงานพร้อมกับอาหารที่ทำไว้
หลังจากวางจานที่เต็มไปด้วยผักสามสีที่ถูกโรยด้วยงาและน้ำมันงา ไข่ดาวยี่สิบฟอง และไส้กรอกย่างที่ถูกหันพอดีคำแล้ว โต๊ะอาหารก็ดูดีขึ้นมาแทบจะทันตา
ซอลจีฮูได้นั่งลงบนโซฟาด้วยรอยยิ้มสดใส
“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”
ในตอนที่เขาตักไข่ดาวขึ้นมาสองฟอง และกำลังจะยัดเข้าไปในปาก
“?”
จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ากำลังถูกจ้อง และตัวแข็งทื่อไป เขาได้แอบเหล่ตาออกไปโดยที่ยังตักไข่ไว้อยู่
ต่อมาซอลจีฮูก็ได้เห็นไข่สีแดงอยู่ตรงมุมโถงทางเดินที่จะไปเข้าห้องของเขา มันกำลังเอียงหัวออกมา 45 องศาเหมือนกับกำลังแอบสอดแนมเขาอยู่
พวกเขาได้สบสายตากัน ไม่สิ มันไม่มีทางที่ไข่จะมีดวงตา แต่ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาสบตากันอยู่
‘หิม? ฉันเอาไข่ออกมาจากห้องด้วยหรอ?’
ขณะที่เขากำลังคิดกับตัวเอง…
ไข่ได้กระเด้งขึ้นมา
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้าง และไข่ดาวก็ลื่นหลุดลงไปจากส้อมของเขา
ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ไข่ได้เด้งจากพื้นมาโซฟา และจากโซฟามาที่โต๊ะ ก่อนที่ซอลจีฮูจะหลุดจากความสับสน ไข่ก็ได้กระโดดมาหยุดลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารแล้ว
จากนั้นมันก็ได้กลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าซอลจีฮู มันได้เอียงหัวออกมาเล็กน้อยราวกับกำลังเงยหน้ามองเขา
“…”
ซอลจีฮูรู้สึกพูดอะไรไม่ออกเลยกับปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ เมื่อเขาพอตั้งสติขึ้นมาได้ เขาก็พูดออกมา
“นะ นาย นายเป็นอะไรกัน? นายมาที่นี่ได้ยังไง?”
ไข่ได้กระเด้งขึ้นลง
“ไม่สิ เดี๋ยวก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? นี่นายตื่นขึ้นมาแล้วหรอ? ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟักออกมาเนี้ยนะ?”
ดึ๋ง ดึ๋ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ดึ๋ง ดึ๋ง
“หยุดเด้ง แล้วก็พูดอะไรหน่อยสิ… อ่า นายไม่มีปากนี่นา นี่มันกำลังจะทำให้ฉันบ้าแล้ว”
ดึ๋ง ดึ๋ง
“อะ อะไรงั้นหรอ? นายต้องการอะไร?”
ไข่ยังคงเด้งอยู่สักพักก่อนที่จะกลิ่งไปอยู่ข้างๆจานราวกับไม่พอใจ จากนั้นมันก็สะกิดไปที่ชามข้าวสวยร้อนๆ
“…ข้าว? นายอยากกินข้าวหรอ?”
ในทันทีที่ซอลจีฮูแบ่งขาวไปบนจาน มันก็รีบกระโดนขึ้นไปบนจานทันที
งั่ม งั่ม
‘หืม?’
ซอลจีฮูอ้าปากข้างออกมา
นี่มันบ้าอะไรกันเนี้ย? ไข่… กำลังกินข้าวสวย? ทั้งๆที่มันไม่มีปากเนี้ยนะ?
ซอลจีฮูได้แต่จับใบหน้าค่อยๆมองดูไข่กำลังกินข้าวสวย แต่ว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดเลย มันไม่มีปาก
ทุกๆครั้งที่มันกินข้าวก็จะเกิดรอยบุ๋มขึ้นตรงกลางไข่ซึ่งข้าวสวยจะถูกดูดเขาไป ผิวของไข่จะกระเพื่อมในทุกๆครั้งที่มันเคี้ยว และเมื่อมันกลืนลงไปก็จะมีเสียงกลืนดังออกมาเบาๆ
‘ฉันคิดว่ามันต้องการแค่กินพลังแห่งเทพที่แลกเปลี่ยนจากคะแนนคุณูปการซะอีกนะ?’
หรือบางทีมันอาจจะกินอะไรก็ได้? มันกินได้ทุกอย่างเลยงั้นหรอ?
ขณะซอลจีฮูกำลังสับสนไม่เข้าใจ ไข่ก็ยังคงกินต่อไปอย่างมุ่งมั่น ซอลจีฮูทำเพียงแค่มองไปเรื่อยๆจนกระทั่งจานอาหารที่เขาตั้งใจเตรียมเอาไว้ใกล้จะหมดแล้ว
ในท้ายที่สุดไข่ก็หยุดการกระทำของมันลงเมื่อมันกินอาหารทั้งหมดจนไม่เหลือ
‘นี้มันบ้าอะไรกันเนี้ย?’
ซอลจีฮูได้มองดูไข่ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไข่ใบเล็กๆนี่กินอาหารทั้งหมดนั่นได้ยังไงกัน?
“เอิ๊กก-“
“!?”
ซอลจีฮูตกใจมากจนสะอึกขึ้นมาเลย
“นาย นายเพิ่งจะเรอใช่ไหม? นายเรอ!”
ไม่ว่าเขาจะถามหรืออะไร ไข่ก็ยังคงไม่สนใจเขา มันได้กระเด้งตัวออกไปราวกับหมดธุระแล้ว มันไปหยุดอยู่ตรงริมหน้าต่างที่มีแสงแดดส่องมา และเอียงหลัง 90 องศา เหมือนกับกำลังจะงีบหลับหลังกินอิ่ม
ซอลจีฮูได้กระพริบตานิ่งๆอยู่สักพักหนึ่ง
หลังจากนั้นแล้วไข่ก็นิ่งไป ยังไงก็ตามเมื่อซอลจีฮูเริ่มกวนประสาทด้วยการพยายามคุยกับมันอย่างต่อเนื่อง ไข่ก็กระเด้งขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ และจากไปที่อื่น
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น แต่ซอลจีฮูก็ยังคงดำเนินตามแผนเดิมที่วางเอาไว้ เขาได้เรียกทุกๆคนมาประชุม จากนั้นก็บอกกับพวกเขาเรื่องการแนะนำสมาชิกใหม่
แต่ล่ะคนต่างก็ตอบกลับด้วยความสงบ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาพอจะได้ยินเรื่องนี้มาระหว่างปฏิบัติการเจดีย์แห่งความฝันแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รู้ทุกอย่าง พวกเขารู้เพียงแค่ว่าสมาชิกใหม่เป็นวิญญาณนิสัยดี
“ซังจินยังไม่ตื่นเลย”
จางมัลดงได้พูดขึ้นพร้อมกับก้าวออกมาจากห้องก่อนจะปิดประตูลง ยูซอลอาได้ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย
“ฉันจะไป… ปลุกเขา…”
เธอได้พูดออกมาอย่างอ่อนล้า
“ไม่เป็นไรหรอก ให้เขาพักไปเถอะ”
จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมา
“ฉันพยายามจะปลุกเขาแล้ว แต่ว่าเขาก็ร้องขอชีวิตทั้งๆที่ยังหลับอยู่”
โชฮงได้ยิ้มออกมา
“ปู่น่าจะอ่อนข้อให้เขาสักหน่อยนะ เขาต้องฝึกขนาดไหนกันถึงได้ต้องร้องขอชีวิตออกมา? ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะตายเอาได้นะปู่”
“แต่ว่า… เขาต้องการเองนี่นา…”
จางมัลดงได้ไอแห้งๆ และนั่งลงบนโซฟา
ขณะที่ในที่สุดสายตาหลายคู่ได้มองมาที่เขา ซอลจีฮูก็ได้หลับตาลง และมองไปรอบๆตัว เขาได้บอกให้โฟลนปรากฏกายออกมา แต่ว่าจู่ๆเธอกลับหายไป
โฟลนกำลังชะโงกหัวออกมาจากมุมโถงทางเดินเหมือนกับที่ไข่ทำ ซอลจีฮูได้รีบเข้าไปลากเธอออกมาในทันที
“อ่า ทำไมเธอถึงแอบอยู่ล่ะ? มานี่เร็ว”
[อ๊าาาา]
“เธอสัญญาแล้วนะ ฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วด้วย”
[อ๊าาาา ไม่น้าาาา]
แม้ว่าเธอจะพูดปฏิเสธออกมา แต่ว่าเธอก็ปล่อยให้เขาลากออกมา เหมือนกับจะทำเป็นเล่นตัวจากความอาย
เธอได้ทำเป็นเล่นตัวอยู่จนกระทั่งเขาลากเธอมาอยู่ตรงหน้าเพื่อนร่วมทีมขของเขา
เธอได้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโฟลนก็ยืดคอตรงอย่างาง่างาม แลวางมือลงบนอกก่อนจะเริ่มพูดออกมา
[หญิงสาวอันต่ำต้อยผู้นี้ขอแสดงความทักทายทุกๆ]
น้ำเสียงชัดเจน และสง่างามได้ดังขึ้นในหัวของทุกๆคน
[ดิฉัน โฟนีเซีย ลูซิกแนนท์ รอชเชอร์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลรอชเชอร์ที่ได้รับขนานนามว่าหอกแห่งจักรวรรดิ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับเหล่าอัศวินคาเพเดี่ยมผู้กล้าหาญ]
ซอลจีฮูได้แต่ยืนขยี้ตาอย่างสับสน ยัยเด็กซนก่อนหน้านี้หายไปไหน แล้วสตรีผู้สูงศักดิ์คนนี้มาจากไหนกัน? แล้วทำไมจู่ๆเสียงเธอทำไมถึงเหมือนกับกำลังอ่านวรรณกรรมอยู่กันล่ะ?
[ดิฉันขอให้พวกคุณเรียกฉันว่าโฟลนได้เลยค่ะ]
โฟลนได้โค้งคำนับอย่างสุภาพ และสิ้นสุดคำกล่าวทักทาย
โอ้ววววววว-
เสียงเชียร์ได้ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงปรบมือ
พวกเขาค่อนข้างจะกังวลกันเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเธอเป็นวิญญาณ แต่ว่าภาพลักษณ์ที่สง่างาม และมีมารยาทของเธอได้ทำให้พวกเขาชื่นชอบเธอในทันที
และยังมีอีกเหตุผลคือพวกเขาทุกๆคนต่างก็เป็นทหารผ่านซึ่งที่คิดไว้แล้วว่า ‘แน่นอนสิ อาจจะมีวิญญาณอยู่ก็ได้’
แต่ว่าก็ไม่ใช่สำหรับทุกๆคน
ยี่ซอลอาที่ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอยังไม่ลืมวิญญาณที่เธอเคยเจอในบทการฝึกสอน
แต่ว่าถึงแบบนั้นโดยรวมแล้วบรรยากาศรอบตัวต่างก็ให้การยอมรับเธอเป็นอย่างดี ดังนั้นโฟลนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“กล้าหาญ… ยกย่องกันเกินไปแล้ว แต่ก็ขอบคุณมาก ตาแก่คนนี้ชื่อว่าจางมัลดงนะ”
ขณะที่จางมัลดงยื่นมือออกไป โฟลนก็จับมือกับเขาอย่างสมศักดิ์ศรี
[ดิฉันรู้สึเป็นเกียรติมากที่ได้คุยกับคุณ ฉันได้ยินเรื่องของอาจารย์จางมามากมายเลยล่ะค่ะ]
ขณะที่โฟลนพูดออกมาเหมือนสตรีสูงศักดิ์ จางมัลดงก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมาบนใบหน้า
“โฮ่ๆ ช่างเป็นหญิงสาวที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย”
[มะ ไม่หรอกค่ะ คุณกำลังทำให้ฉันอายนะคะ]
คนอื่นๆที่ได้เห็นภาพการจับมือกับวิญญาณอันน่าทึ่ง ก็ได้ค่อยๆทยอยเขามาจับมือกับเธอเช่นกัน
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ…ฟานาเรีย…? ยังไงก็เถอะ ฉันจองโชฮงนะ”
[ค่ะ เรียกฉันว่าโฟลนก็ได้]
“ได้เลยโฟลน นี่มันจำได้ง่ายกว่าเยอะเลย เฮ้ เธอเป็นคนที่ช่วยเราระหว่างสงครามใช่ไหม?”
[ถ้าพูดถึงเรื่องบินล่ะก็ใช่ค่ะ]
‘ฉันน่าจะพาเธอมาแนะนำตัวให้เร็วกว่านี้’
ซอลจีฮูได้มองดูโฟลนพูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมของเขาด้วยความยินดี
โชฮงกำลังหัวเราะและถามออกมาอยู่
“ฮ่าฮ่า มีเรื่องที่ฉันอยากจะรู้จริงๆเลย คือว่าเธอมาติดอยู่กับซอลได้ยังไงกัน?”
บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดีเลย
“อ่อ นั่นน่ะหรอ? ฉันจะบอกให้ฟังนะ คุณรู้จักป่าแห่งการปฏิเสธใช่ไหม? คุณยังจำวิญญาณในสุสานได้สินะ?”
“วิญญาณในสุสาน…?”
โชฮงได้เบิกตากว้างขึ้น แทบจะในเวลาเดียวกันฮิวโก้ที่กำลังหัวเราะชื่นชมกับความงดงามของโฟลนก็ชะงักงันไป
พวกเขาได้ยินว่าเธอเป็นวิญญาณ แต่ไม่ใช่วิญญาณอาฆาต”
“ซอล… เธอคือ…”
ฮิวโก้ได้ถามออกมาด้วยสีหน้ากังขา
“วะ … วิญญาณอาฆาตตนนั้น…?”
“ใช่แล้ว”
“วิญญาณที่… ฉีกกระชาก.. ทีมซามูเอล…?”
จากนั้นเอง
“ใช่!”
ทันทีที่ซอลจีฮูตอบกลับไปด้วยสีหน้าสดใส…
“เฮือก!”
โชฮงได้ปล่อยมือจากโฟลนและทรุดตัวล้มลงไป
“อ๊าาาา!”
ฮิวโก้ได้กรีดร้องและเริ่มวิ่งหนี
“แม่จ๋าาา!”
เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังสะบัดแขนเตรียมตัววิ่งแล้ว
ในทันทีที่ป่าแห่งการปฏิเสธถูกพูดถึง ทุกๆคนก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสุดกำลัง
ซอลจีฮูได้มองดูคนสองคนวิ่งเปิดประตูจากไปด้วยสีหน้าสับสน และหันลงมามองโชฮงที่ยังคงทรุดตัวกับพื้น
‘อะไรกัน… ถ้าพวกเขาหนีไปกันหมด…’
ซอลจีฮูได้รีบหันไปมองโฟลนด้วยความเป็นห่วงว่าโฟลนที่กว่าจะรวบรวมความกล้ามาแนะนำตัวได้จะมีบาดแผลทางจิตใจ แต่แล้วเขาก็ต้องทำหน้างุนงงออกมา
โฟลน… กำลังหัวเราะ ริมฝีปากของเธอได้ยกยิ้มออกมาราวกับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการปรากฏตัวของเธอมันน่าขำ และเมื่อเธอหันไปมองยี่ซอลอาที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวพร้อมน้ำตานองหน้า ดวงตาของโฟลนก็เริ่มเป็นประกายขึ้น
“ฟะ โฟล-“
ก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ทำอะไร โฟลนก็แสดงสีหน้าซุกซนออกมาแล้ว
[โอ้วววววววว~!]
เมื่อเธอได้บินเข้าไปหายี่ซอลอาพร้อมกางแขนออกมา เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมา
“กรี๊ดดด! กรี๊ดดดดด! กรี๊ดดดดดดด!”
[โอเฮะเฮะเฮะ]
ยี่ซอลอาได้สะบัดแขนพยายามหลบหนีไปสุดชีวิต ในขณะที่โฟลนยังคงไล่ตามเธอไปพร้อมเสียงหัวเราะ จางมัลดงได้แต่มองดูภาพเหล่านี้ด้วยสีหน้าตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ซอลจีฮูได้แต่มองดูสำนักงานที่จู่ๆก็ตกอยู่ในความโกลาหล ฉากที่แสนอบอุ่นจู่ๆก็พังทลายเป็นชิ้นๆไปต่อหน้าต่อตา
[ฉันได้ยินมาบุตรคนสุดท้องของตระกูลรอชเชอร์เป็นทอมบอยเอาแต่ใจ]
เมื่อนึกถึงคำพูดของโรเซร่าแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แต่ยกมือปิดหน้า
“เธอเป็นเหมือนแคสเปอร์เลย”
อย่างน้อยก็ยังมีมาแชล จิโอเนียที่ยังคงยืนอยู่อย่างสงบอยู่
“นายดูไม่กลัวเธอเลยนะจิโอ”
“จิโอเนียครับ แล้วก็ยังไงเธอก็เป็นวิญญาณอยู่ดี”
มาแชล จิโอเนียได้แก้ไขชื่อของเขาใหม่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“แล้วก็ในฐานะผู้ชายแล้วมันน่าอาย”
จากนั้นเขาก็ถามออกมาราวกับจู่ๆก็นึกขึ้นได้
“โอ้ จริงสิ หัวหน้า ไม่ใช่ว่าวันนี้หัวหน้าจะไปสกีเฮราซาร์ดหรอครับ?”
“สกีเฮราซาร์ด?”
เขากำลังจะพูดเรื่องนี้ เพราะงั้นเมื่อมาแชล จิโอเนียพูดเรื่องนี้มาจึงทำให้ซอลจีฮูถามกลับไปด้วยสีหน้าตกใจ
“ใช่ครับ โรงประมูลที่เมืองหลวงใหญ่ที่สุดแล้ว… จริงๆแล้วโชฮงกับฮิวโก้ก็ดูจะทนเก็บเงินไว้ไม่ไหวแล้ว พวกเขาบอกว่าคุณมาเรียก็จะตามไปด้วย”
[สกีเฮราซาร์ด? ฉันไปด้วย! ฉันก็อยากไปเหมือนกัน!]
จู่ๆโฟลนก็แทรกเข้ามาระหว่างพวกเขา
“เฮือกกก!”
มาแชบ จิโอเนียที่ทำหน้านิ่งกระโดดถอยไปด้วยความตกใจทันที
“…”
ซอลจีฮูได้หลุดขำออกมา
ทุกๆอย่างมันก็ดูน่าตลกเหมือนกัน
ในที่สุดพายุก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ประมาณเที่ยงๆ เมื่อทุกๆคนสงบใจกันลงได้แล้ว มาเรียก็ได้มาที่สำนักงานอย่างที่มาแชล จิโอเนียบอกเอาไว้
“โอ้~ โฮ่โฮ่~!”
มาเรียดูต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เธอมาพร้อมกับแว่นกันแดดสีดำ ผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์ และเสื้อโค้ทขนมิ้งค์ที่ปกคลุมทั้งร่างของเธอ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมมาอีกด้วย
เมื่อได้เห็นเด็กสาววัย 18 ปีสวมแต่งตัวเหมือนกับเศรษฐีหน้าใหม่ ทุกๆคนต่างก็พูดไม่พูด
“เธอ… นั่นมันอะไรกัน?”
โชฮงได้จี้ไปที่เธอด้วยสีหน้างุนงง
“อ่า~ นี่น่ะหรอ?”
มาเรีบได้กางแขนทั้งสองข้างออกมาราวกับรออยู่แล้ว ภายในนิ้วทั้งสิบนิ้วของเธอต่างก็มีแหวนที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีหลากสีอยู่
“มันก็แค่ว่าฉันเพิ่งจะขายแท่งทองไปหนึ่งอัน แล้วก็แลกเป็นเงินสุดน่ะ~ ในบัญชีของฉันมีเงินฝากไว้รวมกว่า 10 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว”
หลังจากขยับนิ้วไปมาแล้ว เธอก็ถอดแว่นกันแดดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เพราะงั้นฉันก็เลยย้ายบ้านใหม่~ ซื้อรถใหม่~ แล้วฉันก็เลยเผลอซื้อเพลินไปหน่อย”
เธอได้ขยับยิ้ม และปิดปากหัวเราะออกมา
“โอ้~ โฮ่โฮ่โฮ่โฮ่~”
‘หัวเราะแบบนี้เธอไม่เหนื่อยหรอ?’
ขณะที่ซอลจีฮูมองเธอด้วยสีหน้าอึดอัดใจ โชฮงก็ยิ้มขึ้น และถามออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“เฮ้ หลังจากได้เงินมากขนาดนั้นคงจะมีความสุขมากเลยสินะ”
“แน่นอนสิ~! ฉันรู้สึกดีมากก~!”
“ถ้างั้นแล้วช่วยจ่ายค่าอาหารกลางวันให้หน่อยได้ไหมล่ะ?”
“ไม่”
มาเรียได้กลายเป็นเคร่งขรึมและปฏิเสธขึ้นในทันที น้ำเสียงเธอได้กลายเป็นหนักแน่นขึ้น
“ฉันรู้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ธาตุแท้ของเธอยังไม่ได้หายไปไหนสินะ”
โชฮงได้ส่ายหัวออกมา
ซอลจีฮูได้หัวเราะในใจก่อนจะลุกขึ้นยื่น
“ไปกันเถอะ ฉันเรียกรถม้าไว้แล้ว”
ครู่ต่อมาหกคนกับอีกหนึ่งวิญญาณก็ได้โดยสารรถม้าไปสกีเฮราซาร์ด
***
“โอ้ พี่สาว พี่เพิ่งจะมาถึงหรอ?”
หญิงสาวผมหยักศกได้ลุกขึ้นยืนทักทายเธออย่างอบอุ่น
“อืม ฉันมาสายไปหน่อย”
คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างเย็นชา และยิ้มบางออกมา เธอได้มองสำรวจดูชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะที่เธอเคยใช้งานมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้
“ก็เหมาะกับนายดีนะ”
ชายหนุ่มผมหยักศพชินฮันซองได้หัวเราะแห้งๆและเกาหัวออกมา
“ผมก็ไม่มั่นใจ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจู่ๆก็เกิดอะไรขึ้น…”
เขาได้หลบสายตาของเธอ และหยักไหล่ออกมา
“ยังไงก็ตาม ทำไมพี่สาวถึงมาสายล่ะ? ผมคิดว่าพี่สาวจะมาในทันทีหลังจากคุยกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลเสร็จซะอีก”
“ฉันมีเรื่องให้ต้องทำอยู่น่ะ”
“แต่ว่านะเพราะพี่สาวไม่มาสักที ผมก็เลยจัดการงานอะไรด้วยตัวเองไปแล้ว เพราะงั้นพี่สาวไม่ต้องสอนอะไรผมแล้วล่ะ”
“โอ้ นี่นายเกรงใจฉันงั้นหรอ?”
“จะคิดอะไรก็แล้วแต่พี่สาวเลย โอ้ จริงสิ!”
ชินฮันซองได้เปิดลิ้นชักและหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา มีแสงจางๆหมุนวนอยู่ภายในคริสตัล ดวงตาของคิมฮันนาห์ได้เป็นประกายขึ้นในทันทีที่เห็นมัน
“คริสตัลนี่เชื่อมต่อไปถึงที่ไหนกัน? มันไม่มีป้ายกำกับเขียนเอาไว้ แถมยังดังอยู่ตลอดอีกด้วยเพราะงั้นผมก็เลยกำลังคิดว่าจะรับ-“
พรึบ คิมฮันนาห์ได้แย่งคริสตัลไปจากมือของเขาก่อนที่ชินฮันซองจะได้ทันพูดจบซะอีก
“พะ พี่สาว?”
ชินฮันซองเบิกตากว้างขึ้นมา เขาได้ผงะไปเมื่อเห็นสีหน้าของคิมฮันนาห์
หลังจากเม้มริมฝีปากอยู่สักพัก เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา
“…พี่สาว”
“…”
“ผมรู้ว่าพี่สาวรู้สึกยังไงนะ… แต่… ผมไม่คิดว่าเบื้องบนไม่น่าจะด่วนตัดสินใจ”
คิมฮันนาห์ได้เงียบลงไป เธอทำเพียงแค่จ้องมองชินฮันซองด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“ผมขอพูดตรงๆนะ ที่พี่สาวยังอยู่เงียบๆก็เพราะพี่สาวรู้สึกผิดกับอะไรบางอย่างอยู่ พี่สาวไม่ได้คิดจะอธิบายเลยด้วยซ้ำ”
“จะให้ฉันพูดอะไรล่ะ?”
เธอได้กัดฟันพูดออกมา
“นี่มันเป็นของฉัน นี่คือคริสตัลสื่อสารส่วนตัวของฉัน”
หลังจากตะคอกใส่เขาแล้ว เธอก็หันหน้าไป
“พี่สาว!”
ชินฮันซองได้รีบตะโกนออกมา
“พี่สาวคงไม่ได้คิดจะออกไปจากซินยองจริงๆใช่ไหม?”
แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้ตอบกลับมา เธอไม่ได้มองกลับมาหรือหยุดก้าวเท้าเลย
“พี่ก็รู้นี่ หากว่าพี่ลาออกไปแบบนี้ ก่อนที่พี่จะได้ออกไปจากสกีเฮราซาร์ด-!”
เธอได้เดินต่อไปพร้อมกำคริสตัลสื่อสารเอาไว้แน่น
ภายในดวงตาแดงก่ำของเธอมีความแค้นฝังลึกเอาไว้อยู่
ในเวลาเดียวกัน….
“เรามาถึงแล้ว!”
“โอ้ สกีเฮราซาร์ด!”
ทีมคาเพเดี่ยมได้มาถึงสกีเฮราซาร์ดแล้ว
“ตอนนี้เอาไงต่อ? ไปโรงประมูลเลยไหม?”
“ไม่หรอก มันยังเร็วเกินไป นายไม่รู้หรอว่าโรงประมูลจะมีของดีๆในช่วงเย็นๆน่ะ?”
“อ๊าาา ท่านประธานจองมีปัญหาอะไรงั้นหรอ? เราก็ไปดูก่อนตอนนี้ แล้วก็ไปอีกครั้งตอนเย็นก็ได้นี่”
“อ๊า ทำไมนายถึงรีบแบบนั้น? ทำไมเราไม่ไปหาที่พักแพงๆ กินอาหารหรูๆ แล้วก็ใช้ชีวิตสบายๆกันก่อนสักหน่อยล่ะ?”
พวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็ถกเถียงกันอย่างรุนแรงก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะหันมามองซอลจีฮู
“เฮ้ ซอล! นายอยากจะทำอะไร?”
“ฉันหรอ?”
เมื่อมองขึ้นไปที่ตึกตั้งตระหง่านสูงอยู่กลางเมืองแล้ว เขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา
“ฉัน…”
เขาได้พูดออกมาพร้อมกำคริสตัลสื่อสารไว้แน่น
เจ้าชายกระต่ายได้มาช่วยเจ้าหญิงจิ้งจอกจากอันตรายแล้ว