ตอนที่ 228

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 228 – เจ้าหญิงจิ้งจอก และเจ้าชายกระต่าย (2)

เนื่องจากดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายวันทำธุระต่างๆที่นี่ ซอลจีฮูจึงตัดสินใจจะหาที่พักก่อน

พวกเขาได้หาห้องในโรงแรมสุดหรูเพื่อเก็บอุปกรณ์ตามที่โชฮงต้องการ ก่อนที่จะไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารสุดหรูต่อ

จากนั้นพวกเขาก็ได้มุ่งหน้าไปที่โรงประมูล

ตลอดทางพวกเขาได้พูดคุยหัวเราะกันไปอย่างตื่นเต้น แต่ว่าซอลจีฮูกลับรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่านับตั้งแต่เข้ามาในสกีเฮราซาร์ด เขาก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว

เขาได้พยายามใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อไปหาคิมฮันนาห์อยู่หลายครั้ง แต่ว่าก็ไม่มีใครรับสายเลย

‘หรือว่าฉันควรจะไปที่ตึกซินยอง…?’

ขณะที่เขากำลังรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายในใจ พวกเขาก็ได้มาถึงจุดหมายแล้ว

นี่มันเป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่มาโรงประมูล แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลย

มันแออัดมากๆ มีคนจำนวนมากพอๆกับของที่นำมาขายจนถึงขนาดที่เขาบอกไม่ถูกว่าเขาอยู่ที่โรงประมูลหรือตลาดกันแน่

แต่ว่าสมาชิกคนอื่นๆในทีมต่างก็เดินไปมาอย่างอารมณ์ดีเหมือนกับพวกเขาคุ้นเคยกับมัน เมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันที่นอกโรงประมูลก็ตกเย็นไปแล้ว

โชฮง ฟีโซรา และมาเรียดูเหมือนจะแค่มาดูสินค้าเท่านั้นเพราะพวกเธอไม่ได้มีอะไรติดมือกลับมาเลย แม้ว่าจะเดินดูตลอดทั้งวัน

แม้กระทั่งมาแชล จิโอเนียก็ยังซื้อก้อนโลหะ และลูกธนูมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ยังไงก็ตามฮิวโก้ได้แสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าตัวเขาใช้เงินได้ฟุ่มเฟือยขนาดไหน

หากว่าเขาเดินดูประเมินราคาของสักหน่อยก็คงจะดี แต่ว่านี่เขากลับหยิบเอาทุกๆอย่างที่เขาสนใจมานี่สิ

ในการประมูลเขาได้ตบโต๊ะประมูลไม่หยุด และเสียเงินไปเกินกว่าที่จำเป็น

โชฮงได้บอกให้เขาใช้เงินให้ฉลาดขึ้น แต่ว่าฮิวโก้ก็แค่ยิ้มออกมาพร้อมทั้งใส่เกราะที่เพิ่งซื้อมาใหม่

ซอลจีฮูได้ซื้อของมาเช่นกัน เขาได้ซื้อชุดคลุมที่ช่วยป้องกันความหนาวเย็นมาในราคา 100 เหรียญเงิน

โชฮงได้ปรบมือออกมา

“เอาล่ะ วันนี้ก็จบแล้ว เราไปลองชิมเหล้าของสกีเฮราซาร์ดกันหน่อยดีไหม?”

“ฉันพอจะรู้จักบาร์ดีๆอยู่นะ”

เมื่อได้ยินคำแนะนำของฟีโซรา โชฮงก็พยักหน้าออกมา

“นำทางไปเลย!”

“ฮูเร่ห์!”

มาเรียได้กระโดดชูมือขึ้นอย่างยินดี โชฮงก็หัวเราะออกมา และหันหน้ากลับมา

“ซอล? นายมัวทำอะไรอยู่? รีบไปกันเถอะเร็วเข้า!”

“หืม? เอ่อ ฉัน…”

ซอลจีฮูได้สะดุดไป

ไปหรือไม่ไปดีนะ เขารู้สึกสับสน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดนานนัก

ตอนนี้มันก็ใกล้มืดแล้ว หากว่าเขาปล่อยไว้นานกว่านี้ เขาก็คงจะต้องไปในวันพรุ่งนี้ การทำอะไรให้เรียบร้อยในวันนี้มันคงจะทำให้เขารู้สึกดีกว่า

“ไปกันก่อนเลย ฉันยังมีเรื่องต้องทำ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วจะตามไปนะ”

“อะไรกัน? นายจะไปไหน?”

“ฉันต้องไปหาคนๆหนึ่งก่อน”

“มากับเราก่อนสิ เรื่องด่วนหรอ?”

“พวกเธอดื่มกันทั้งคืนอยู่แล้วนี้ อย่างช้าสุดฉันก็เสร็จธุระตอนเช้า แต่น่าจะเร็วกว่านั้นแหละ”

“อ่า ถ้างั้นก็ได้ เสร็จธุระก็บอกเรานะ”

และดังนั้นโชฮงกับกลุ่มจึงได้เดินไปตามการนำทางของฟีโซรา

เมื่อเหลือแค่ซอลจีฮูแล้ว เขาก็ได้หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมาพร้อมออกเดิน ทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปก็คือที่ที่สำนักงานซินยองตั้งอยู่

แต่ว่าแค่เขาเดินไปได้สิบก้าว เขาก็ต้องหยุดลง

ช่างน่าบังเอิญที่จู่ๆคริสตัลก็เรืองแสงขึ้นมา

***

หลังจากวางสายไปแล้ว ซอลจีฮูก็รีบเดินไป

ที่นัดพบก็คือตัวเมือง เป็นถนนที่เขาได้เจอกับซอยูฮุยในตอนแรก

เมื่อเขาเห็นหญิงสาวยืนรออยู่ใต้โคมไฟ ซอลจีฮูก็ค่อยๆลดความเร็วลง

คิมฮันนาห์ได้มาถึงก่อนเขาแล้ว

เธออยู่ในชุดสูทสีเทา พร้อมด้วยกระเป๋าหนังใบเล็กๆ

เธอมักจะมารอซอลจีฮูในชุดเดียวกันนี้ตลอด

ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าเขามาแล้วสินะ? คิมฮันนาห์ที่กำลังมองถนนโดยไร้สีหน้าจู่ๆก็หันมามอง

“…มาแล้วหรอ?”

ซอลจีฮูได้หยุดไป

“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่านายมาที่สกีเฮราซาร์ด”

“ฉันมาหาเธอนั่นแหละ”

ซอลจีฮูได้บ่นออกมา

“เธอไม่ได้รับสายเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“…”

“ทำไมไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ? คงจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆใช่ไหม?”

“ฉันขอโทษ”

คิมฮันนาห์ได้ขอโทษออกมา เธอได้เสยผมของเธอ และถอนหายใจยาวออกมา

“มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมาย… ฉันไม่มีกระทั่งเวลาไปติดต่อนายเลย”

ซอลจีฮููได้เงียบลงไป สีหน้าคิมฮันนาห์เคร่งเครียดเป็นพิเศษ เธอดูไร้ชีวิตชีวาจนเหมือนกับไม่ได้อยู่ตรงนี้ แค่สายลมพัดมาก็น่าจะพัดเธอจนหายไปได้เลย

“…เกิดอะไรขึ้น?”

ซอลจีฮูได้ค่อยๆเลือกคำพูดพูดออกมา

คิมฮันนาห์ได้ยิ้มบางขึ้น

“เฮ้ ช่วยซื้ออะไรให้ฉันกินหน่อยได้ไหม?”

ซอลจีฮูได้ขยับคิ้วขึ้นกับคำขอที่กระทันหันนี้

“ฉันยังไม่ได้กินอะไรดีๆมาเป็นอาทิตย์แล้ว แถมพอเห็นนายจู่ๆก็ทำให้ฉันหิวขึ้นมา อ่า แล้วก็เหล้าด้วยนะ โอเคไหม?”

ไม่ใช่แค่ไม่กี่วัน แต่เป็นหลักอาทิตย์

เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะล้มได้ตลอดเวลาของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูก็ได้แต่หยักหน้ารับ

ทั้งคู่ได้เข้าไปในร้านอาหารใกล้ๆ

ในทันทีที่จานอาหารมาเสิร์ฟ คิมฮันนาห์ก็กินลงไปโดยไม่พูดอะไรอย่างน่ากลัว

“กินเก่งจังเลยนะ”

ซอลจีฮูได้มองดูคิมฮันนาห์หั่นสเต็กที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งด้วยรอยยิ้ม

“บางครั้งฉันก็เป็นแบบนี้นะ”

คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมาทั้งๆที่อาหารเต็มแก้ม

“ในตอนฉันยังเด็ก เมื่อไหร่ที่เครียดฉันก็จะกินกับดื่ม แล้วก็ไปช็อปปิ้ง แต่ว่าที่นี่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว”

หากเป็นเรื่องกินซอลจีฮูก็ไม่ใช่คนที่จะแพ้ใคร แต่ว่าในวันนี้เขาได้ห้ามตัวเองเอาไว้

เขาถามเป็นช่วงๆว่า ‘สั่งเพิ่มไหม?’ ซึ่งเขาจะสั่งมาเพิ่มในทันทีที่คิมฮันนาห์พยักหน้า

จานได้ค่อยๆซ้อนกันจนสูงขึ้น แต่ว่าคิมฮันนาห์ยังไม่หยุดกิน ไม่นานนักเธอก็ดูเหมือนจะกลืนอาหารลงคอมาเกินไปราวกับเธออยากที่จะกินจนติดคอตายหรือกินมากเกินไปจนตาย

เธอได้กินไปเรื่อยๆไม่หยุดเป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงแล้ว

เมื่อด้านนอกมืดไปแล้วพวกเขาก็หยุดสั่งอาหาร แต่ว่าเธอก็ยังกินไม่หมด

“นายจะซื้อเหล้าให้ฉันด้วยใช่ไหม?”

เหล้าหลังจากมื้อเย็น คิมฮันนาห์ได้สั่งเหล้าจำนวนมหาศาลจนถึงขนาดที่ทำให้โชฮงกับมาเรียตกใจอ้าปากค้างได้เลย และเธอก็ได้ร่วมหยิบขวดเหล้ากระดกลงคอไป

หลังจากทั้งกินและดื่มจนพอใจแล้ว คิมฮันนาห์ก็เริ่มพูด และซอลจีฮูก็ได้รับรู้ถึงสถานการณ์คร่าวๆของเธอ

“ฉันคิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่… ครึ่งต่อครึ่ง”

คิมฮันนาห์ได้มองไปที่แก้วด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ตัดสินใจจากแก้มสีแดงของเธอ เธอคงจะเมาหนักแล้ว

“มันก็เพราะพัฒนาการของนายมันมากเกินกว่าที่พวกเขาจะเมินเฉยได้อีกต่อไป หากเป็นแบบนี้มันชัดเจนแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกที่จะซ่อนนายเอาไว้หลังจากสงคราม”

“…”

“ในท้ายที่สุดพวกเขาก็มีเหลือเพียงสองตัวเลือก เก็บฉันไว้ติดต่อกับนาย หรือโยนฉันทิ้งไป แล้วจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

คิมฮันนาห์ได้หยุดพูด และยกทั้งแก้วขึ้นกระตก จากนั้นก็วางแก้วลงอย่างแรกจนโต๊ะไม้สั่นออกมา เธอได้เริ่มหัวเราะอย่างไร้จุดหมาย

“สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้คือรอการตัดสินใจจากเบื้องบน พูดตรงๆนะฉันก็คิดว่ามันมีโอกาสสูงที่จะเป็นแบบเดิม แต่ว่า…”

เธอได้หยุดพูดไป จากนั้นก็ขยับแก้วขึ้นมา ซอลจีฮูได้เติมเหล้าลงไปในแก้วอยู่เงียบๆ

เมื่อเห็นคิมฮันนาห์ยกแก้วจรดริมฝีปาก และกระดกขึ้นไป ซอลจีฮูก็พูดออกมาเบาๆ

“ฉันขอโทษ”

“อะไรล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา

“อ่อ จริงสิ นายก็มีส่วนผิด”

“…”

“ใครกันจะไปคิดล่ะ ผีพนันที่แม้กระทั่งตราประทับสีแดงยังไม่คู่ควรให้เสียจะกลายมาเป็นแบบนี้ในพาราไดซ์… ใครมันจะไปรู้วววว…”

หลังจากพูดจบร่างกายเธอก็ส่ายไปมา เธอดูเหมือนกับแค่ถูกแตะนิดเดียวก็ล้มไปได้แล้ว

“ไม่มีใคร… รู้…”

เสียงไฟที่ริบหรี่จางเทียนที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะได้ย้อมดวงตาคิมฮันนาห์ให้เป็นสีแดง แม้ว่าเธอจะเมาอยู่ แต่ดวงตาทั้งคู่ของเธอได้เต็มไปด้วยเปลวไฟ

คิมฮันนาห์ได้จ้องไปที่เทียนที่ดูท่าจะดับทั้งๆที่หัวจะห้อยลงอยู่

ทันใดนั้นคำพูดที่เธอได้ยินในตอนไปหาหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอ

[ทำไมคุณถึงมาหาผมมาล่ะ? ในล็อบบี้คุณดูจะมั่นใจนะ]

[ส่งฉันไปทีมข้อมูล ฉันจะถอนตัวจากทีมจ้างงานเงียบๆเอง]

[ทีมข้อมูลงั้นหรอ? ทำไมผมต้องทำแบบนั้นล่ะ? ทุกๆอย่างได้ถูกตัดสินไปแล้ว แล้วก็อะไรนะ? ผมไม่ต้องการให้คุณถอนตัวไปเงียบๆ]

[…นี่มันไม่ยุติธรรม]

[ไม่ยุติธรรม?]

[คุณก็รู้ ตราประทับทองคำไม่ใช่ของซินยอง]

[นี่ เฮ้? หัวหน้าคิม? แล้วยังไงล่ะ? ช่วยพูดต่อสิ]

[คุณก็รู้มันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของฉัน]

[งั้นคุณจะบอกผมว่าคุณจะใช้ทรัพย์สินนั่นยังไงก็เรื่องของคุณงั้นหรอ?]

[ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น… ฉันหมายถึงว่ามันไม่ใช่ว่าฉันต้องเป็นคนตัดสินใจหรอว่าจะใช้งานยังไง]

[ฮันนาห์]

น้ำเสียงของหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ดังในหัวเธออย่างชัดเจน

[เธอทำงานที่บริษัทมากี่ปี? มันคงยังไม่ถึงสิบปีใช่ไหม? เพราะแบบนี้มันถึงได้ทำให้เธอเป็นแบบนี้?]

[เธอเป็นคนที่อ่านบรรยากาศออกนี่ เธอคงจะรู้อยู่แล้วว่าทำไม]

[แต่เธอจะเข้าใจหรือไม่มันก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือมันมีผลประโยชน์กับบริษัทหรือไม่ก็เท่านั้น]

[แล้วก็หากว่าเธออยากจะอ้างสิทธิส่วนบุคคล ถ้างั้นเธอก็ควรจะดำเนินงานเองดีกว่านะ หากว่าเธอเผยเขี้ยวออกมาอย่างชัดเจน เธอคิดว่าเจ้าของจะยืนมองเฉยๆงั้นหรอ?]

คิมฮันนาห์ได้กัดฟันแน่น

[หัวหน้าฝ่ายบุคคล ได้โปรดพยายามเข้าใจฉันสักครั้ง-]

[เอาเถอะ คุณไม่ใช่คนดื้อรั้น อย่างน้อยผมก็คิดว่าคุณจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองสักหน่อย การได้มาเห็นคุณแบบนี้มันทำให้ผมผิดหวังจริงๆ]

[แต่ว่า…]

[ผมบอกคุณหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็อย่าเอาตัวเองไปทิ้ง คุณแพ้นับตั้งแต่ที่มาอ้อนวอนที่นี่แล้ว คุณได้ล่ะทิ้งตัวเองไปแล้ว]

[…]

[แล้วคุณน่าจอมหลอกหลวงที่สุดแล้วด้วย… ชิ]

หลังจากพูดแบบนั้นหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ยื่นขวดเล็กๆให้กับเธอก่อนกล่าวลา

มันคือยาพิษออกฤทธิ์เร็ว คนที่ดื่มลงไปจะตายโดยไม่เจ็บปวด นี่อาจจะนับได้ว่าเกรงใจากแล้ว

แต่ว่าการนึกถึงเหตุการณ์นี้ได้ทำให้หัวใจของเธอเย็นยะเยือกขึ้นมา

คิมฮันนาห์ได้ยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะบังคับลดลง และหันหน้าหนีไป

มือของเธอกำลังสั่น แม้กระทั่งขาของเธอก็ยังสั่นจนเธอชนกับกำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้กระทั่งในขณะที่ร่างเธอสั่น คิมฮันนาห์ก็ไม่เคยหันกลับไปมองแม้แต่ครั้งเดียว เพราะหากเธอทำแบบนั้น เธอจะรู้สึกเหมือนเธอจะกลับไป เธอรู้สึกเหมือนกับเธอจะกลับออกมาพร้อมยาพิษ…

ปัง!

ในท้ายที่สุดหัวของเธอก็กระแทกกับโต๊ะอย่างแรก

“…ไอ้สารเลว”

มือของเธอบนโต๊ะได้กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดอย่างชัดเจน

“ไอ้ชั่วนั่น…”

เธอได้พึมพำกับตัวเองเงียบๆ และฟึดฟัดออกมา

ซอลจีฮูกลั้นหายใจนิ่งทันที

เธอกำลังร้องไห้ คิมฮันนาห์คนนั้นกำลังร้องไห้

เขามองไม่เห็นหน้าเธอ เพราะเธอกำลังก้มหน้าอยู่ แต่ว่าเขาบอกได้จากไหล่ที่กำลังสั่นอยู่ของเธอ

“ฮึก… ฮึก…”

เสียงสะอื้อได้ดังรอดออกมาจากฟันที่กัดแน่นของเธอ

ซอลจีฮูได้รู้สึกทำอะไรไม่พูดขึ้นมา

คนอื่นๆอาจจะมองมา และพูดว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’

แต่ว่าคิมฮันนาห์…

[นายจะบอกว่าฉันเป็นพวกวัตถุนิยมก็ได้นะ ตราประทับทองคำนั่นเป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน แล้วก็นอกจากนี้ฉันไม่อยากให้ใครขโมยนายไปจากฉัน]

อย่างน้อยที่สุดสำหรับเขาแล้ว คิมฮันนาห์คือ…

[ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรกับฉัน แต่หากว่านายไม่ได้เข้าร่วมและเติบโตขึ้นอยู่นอกบริษัทล่ะ? เติบโตขึ้นมาแข็งแกร่ง และทรงพลัง จากนั้นก็เริ่มสนับสนุนฉัน ถ้างั้นฉันก็จะได้มีสิทธิมีเสียงขึ้นในซินยอง นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า]

เขาไม่อาจจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้

คิมฮันนาห์เป็นชาวโลกทั่วไปที่ได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในพาราไดซ์ โดยที่ตำแหน่งหน้าที่ในซินยองคือเป้าหมายชีวิตของเธอ

แต่แล้วจู่ๆเป้าหมายนั่นกลับหายไปตรงหน้าของเธอ

‘อ่า’

ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเดจาวูอยู่คลอดเวลา

ตัวซอลจีฮูเองก็รู้สึกเหมือนๆกันในตอนที่เขาถูกบังคับให้กลับไปที่โลกหลังสงคราม

หลังจากเดินเตร่ไปอย่างไร้จุดหมาย เขาก็ได้เข้าไปในร้านอาหารที่จางมัลดงแนะนำ และกินอาหารที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง

เพราะเขารู้สึกเหมือนกับสูญเสียที่อยู่

เพราะเขาคิดว่าการเติมเต็มบางอยางเข้าไปจะทำให้ความว่างเปล่าภายในใจของเขาบรรเทาลงไปได้บ้าง

ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา

จริงๆแล้ว เขาไม่ได้เสียใจเลย หลังจากเข้ามาที่พาราไดซ์ เขาได้ผ่านอุปสรรคยากลำบากมามากมาย และเขาได้พยายามอย่างเต็มทุกในทุกๆครั้ง

นั่นแหละ

คิมฮันนาห์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เธอได้รับตราประทับทองคำมาจากความบังเอิญ และพยายามที่จะใช้ซอลจีฮูเพื่อบรรลุเป้าหมายให้เร็วที่สุด จากมุมมองนี้แล้วเธอได้พนันกับซินยอง แต่สุดท้ายเธอก็แพ้

ก็นั่นแหละ

ใช่แล้ว มันก็เท่านั้น

เพียงแค่…

“…”

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เขาก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ได้เห็นผู้หญิงคนที่พยายามปกป้องเขามาร้องไห้อยู่ตรงหน้าโดยที่เขาช่วยอะไรไม่ได้

ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเอาเสื้อคลุมร่างของเธอเอาไว้ เมื่อเห็นหยดน้ำตาไหลลงจากบนโต๊ะไม่หยุด เขาก็ได้กลับไปนั่งอยู่เงียบๆ

หลังจากเงียบอยู่สักพัก จู่ๆเขาก็เปิดใช้งาน ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’ เพื่อตรวจดูสถานะอารมณ์ของเธอ

ว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นหน้าต่างสถานะของคิมฮันนาห์

แต่ว่าก่อนที่หน้าต่างสถานะของคิมฮันนาห์จะปรากฏขึ้น ซอลจีฮูก็ได้เลิกคิ้วออกมาเมื่อเห็นสีของคิมฮันนาห์

แน่นอนว่ามันควรจะเป็นสีทอง

‘สีนี่มัน…?’

น้ำเงิน ทางเลือกแห่งโชึชะตา

เขาเคยเห็นกรณีที่ทิศเปลี่ยนจากเบื้องซ้ายไปเบื้องขวาอยู่ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นอะไรแบบนี้

สีของฮ่าวอวิ่นได้เปลี่ยนไปในทันทีที่เขาตอบว่าเขาจะกลายเป็นกษัตริย์

เจาไม่รู้ว่าฮ่าวอวิ่นตีความคำพูดของเขาว่ายังไง แต่ว่ามันได้ส่งผลกับอนาคตอย่างแน่นอน

คิมฮันนาห์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะงั้นเขาก็ได้คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง

การกระทำในช่วงนี้ของเขาจะส่งผลกระทบกับเธออย่างมากจนเกิดเป็นการตัดสินของโชะตา

และก่อนที่เขาจะได้สงบใจลงจากเรื่องน่าตกตะลึง

ซ่าห์!!!

นิมิตได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

หลังจากเห็นนิมิตแล้ว ดวงตาของซอลจีฮูได้สั่นเทาขึ้นมาอย่างรุนแรง

‘อะไร…’

ในนิมิต

‘กันว่ะ…’

คิมฮันนาห์กำลังยิ้มด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง…

‘เนี้ย…’

…และจ้องมองลงไปที่สกีเฮราซาร์ดที่พังพินาศ