ตอนที่ 35 - 3 การเดินทางไกลของเขา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ฤดูกาลที่หนาวเย็นที่สุดผ่านพ้นไป สภาพอากาศของต้าฮวงค่อยๆ อุ่นขึ้นทุกวัน แสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องระเบียงทางเดินร้อนผ่าว ทว่าสาบเสื้อของคนผู้นั้นยังคงเหน็บหนาวดุจหิมะ

 

 

กงอิ้นกำลังฟังเหมิงหู่รายงาน นิ้วมือสอดเข้าไปในขนขาวที่อบอุ่นอ่อนนุ่มของเสี่ยวอิ้นอิ้นอย่างแผ่วเบา

 

 

“เดินทางถึงเขาชีเฟิงแล้ว” เหมิงหู่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม เอ่ยว่า “เพียงแต่พวกข้าน้อยกังวล นิสัยของท่านอาจารย์จื่อเวยนั้น…ได้ยินว่ายามนั้นพี่น้องเจ็ดสังหารฝึกวรยุทธ์ ชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งแล้วขอรับ”

 

 

“ขอเพียงยังมีชีวิตก็พอแล้ว” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย

 

 

เหมิงหู่หลุบตาลง เขารู้ว่าเจ้านายเป็นคนใจแข็งดั่งเหล็กกล้า เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ตั้งแต่ไหนแต่ไร บางช่วงเวลาเขาแทบนึกว่าเจ้านายเปลี่ยนไปแล้ว ภายหลังเขาเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเจ้านายไม่เคยเปลี่ยนแปลงความคิดแต่แรกเริ่ม

 

 

บุรุษผู้ประสบความสำเร็จ ย่อมมีความโหดเ**้ยมซึ่งคนธรรมดาสามัญยากเทียบเทียม ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

 

 

“เส้นทางก่อนหน้านี้มีตัวแปรแล้ว เส้นทางหลังจากนี้จะลำบากยิ่งขึ้น” กงอิ้นเอ่ยว่า “ฟ้าดินกว้างไกล ควรปล่อยวางตั้งนานแล้ว”

 

 

เหมิงหู่พยักหน้า ใช่แล้ว ทุกคนต่างมีความคิดและพละกำลังของตนเอง เรื่องทุกเรื่องจะต้องปรากฏตัวแปร ระหว่างเดินไปข้างหน้า เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่พวกเขากระทำ แต่ไหนแต่ไรเป็นเพียงการเสนอเบาะแสเล็กน้อยตามแรงจูงใจของอีกฝ่าย ความเป็นไปได้นับมิถ้วนหลังจากนั้น ให้ผู้เกี่ยวข้องเลือกเอง ผลลัพธ์ที่ก่อเกิดจากทุกการเลือก ผู้เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบเอง

 

 

ทุกเรื่องราวต้องไปกระทำเอง กระทำได้ ถึงเดินต่อไปได้

 

 

เส้นทางสายนั้นเริ่มต้นขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว ต่อไปย่อมเป็นฟ้าดินที่แผ่ขยายอย่างอิสระ

 

 

กงอิ้นหวีขนให้เสี่ยวอิ้นอิ้น พินิจม้าเฉ่าหนีน้อยชั่วครู่ เอ่ยว่า “เติบโตไม่น้อยแล้ว หลังจากนี้เพิ่มอาหารหยาบได้แล้ว”

 

 

“ขอรับ”

 

 

“ได้ยินว่าคนผู้นั้นทำได้ไม่เลว เรียกมาดูหน่อย” เขาเหม่อลอยครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยปาก

 

 

เหมิงหู่หันหลัง ส่งสัญญาณมือ

 

 

ชั่วครู่ มีเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาดังขึ้น เขาฟังแล้ว ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

เหมิงหู่ขมวดคิ้วหันหลังเช่นกัน ชี้ไปยังฝ่าเท้าที่กำลังเดินเข้ามาของคนผู้นั้น เอ่ยว่า “อย่าเขย่งเท้า อย่าจงใจแผ่วเบา อย่าคิดควบคุมใต้ฝ่าเท้า”

 

 

คนผู้นั้นหยุดอยู่ที่นั่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเดินต่อไปข้างหน้า คราวนี้เหมิงหู่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยกระไรอีก

 

 

กงอิ้นหันหน้ากลับมามองคนผู้นั้น คนผู้นั้นแวววาวราวหิมะน้ำแข็งใต้แสงอาทิตย์ คล้ายจะถูกสาดส่องจนสูญสลาย

 

 

เขาหรี่ตาลงอย่างหาได้ยาก เงยหน้าใต้แสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก เขาไม่ค่อยคุ้นเคยอยู่บ้าง แท้จริงแล้วใต้แสงอาทิตย์เป็นเช่นนี้เอง…

 

 

ดูท่าทางไม่ค่อยสบายเท่าใดเลย…

 

 

ยามนั้นนางเคยรังเกียจหรือไม่?

 

 

เขาเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง คนผู้นั้นรอคอยตรงระเบียงทางเดินอย่างเงียบเชียบ ไม่มีสีหน้าหงุดหงิด ซ้ำยังไม่มีสีหน้าอ่อนน้อมหวาดกลัว นัยน์ตาทอดออกไปแสนไกล คล้ายมองไปไกลโพ้น ซ้ำยังคล้ายไม่ได้มองสิ่งใดทั้งนั้น

 

 

เหมิงหู่มีสีหน้าพอใจ โบกมือบอกใบ้ให้อีกฝ่ายถอยไป

 

 

หลังจากคราวนี้ น่าจะไม่ต้องวิ่งห้อเดินทางไกลไปมาติดต่อกันอีกแล้ว เช่นนั้นลำบากเกินไปโดยแท้

 

 

ยามที่คนผู้นั้นหันหลัง ลักษณะท่าทางยังคงสูงส่ง

 

 

กงอิ้นมองแขนเสื้อขาวราวหิมะเลี้ยวผ่านมุมทางเดิน ล้างมือในอ่างทองคำที่เหมิงหู่ประคองมาให้

 

 

“รอให้สงครามเผ่าหวงจินจบลงสักระยะแล้ว ค่อยเตรียมสัมภาระเดินทางไกลเถิด”

 

 

“ขอรับ”

 

 

 

 

‘ตามหาข้าที่บ้านพักครึ่งเขาให้เจอในเวลาหนึ่งเค่อ ข้าจะปล่อยตัวประกัน’

 

 

จิ่งเหิงปัวขยี้เศษกระดาษที่เขียนอักษรไก่เขี่ยแผ่นหนึ่งในมือจนยับยู่ยี่

 

 

เมื่อครู่พอหันหลัง นางพบว่าจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยหายไปแล้ว จากนั้นบนประตูพลันมีเศษกระดาษแผ่นหนึ่งเพิ่มมา นางอ่านอักษรบนเศษกระดาษไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว แต่เจ็ดสังหารเห็นแล้วอ่านออกทันที

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา…นางมารักษาโรค ไม่ใช่มาเล่นฮังเกอร์เกมส์[1] ไอ้แก่หนังเหนียวเบื่อหน่ายเสียสติ ไล่ล่าคนมาใหม่เหมือนแมวเจอหนู

 

 

“หากข้าทำภารกิจไม่สำเร็จในเวลาหนึ่งเค่อ เขาจะเชือดตัวประกันหรือไม่?”

 

 

“เชือด” เจ็ดสังหารเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวมองสีหน้าพวกเขา สูดหายใจลึกล้ำ ตัดสินใจเชื่อก่อนดีกว่า

 

 

พริบตาต่อมานางหายไปจากที่เดิมแล้ว…ชักช้าไม่ได้ ซ้ำยังต้องตามหาคน ใครจะรู้ว่าไอ้แก่หนังเหนียวนั่นจะปลอมตัวเป็นแบบไหน?

 

 

ดูท่าเจ้าผู้ชรารู้ความสามารถของนาง มิฉะนั้นไม่ว่าใครก็เดินทางจากที่นี่ถึงครึ่งเขาในเวลาเค่อเดียวไม่ได้

 

 

เรือนร่างนางกะพริบวูบ มาถึงบนเส้นทางภูเขาสักแห่ง กะพริบอีกครั้ง มาถึงข้างป่าไม้สักแห่ง กะพริบอีกครั้ง มาถึงบนเส้นทางภูเขาสักแห่ง กะพริบอีกครั้ง…

 

 

นางเริ่มรู้สึกผิดปกติ

 

 

ด้วยความสามารถเคลื่อนที่พริบตาของนางในตอนนี้ ไปยังบ้านพักครึ่งเขาใช้แค่ประมาณสามครั้งก็พอแล้ว ตอนนี้ตั้งเจ็ดครั้งแล้ว ทำไมยังมองเห็นเส้นทางภูเขากับป่าไม้?

 

 

เดี๋ยวนะ เส้นทางภูเขา…ป่าไม้…

 

 

มีความผิดปกตินิดหน่อยแฮะ

 

 

คล้ายทุกการกะพริบครั้งหนึ่งเจอเส้นทางภูเขา กะพริบครั้งหนึ่งเจอป่าไม้ ทิวทัศน์ปรากฏสลับกัน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงระหว่างสลับกัน

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กะพริบอีกครั้ง เมื่อครู่ปรากฏป่าไม้ ถ้าคราวนี้ปรากฏเส้นทางภูเขาล่ะก็…

 

 

พริบตาต่อมานางยืนอยู่บนเส้นทางภูเขาจริงด้วย ตรงหน้าคือเส้นทางศิลาที่ทอดยาวคดเคี้ยวลงไปตลอดทาง กระทั่งมองเห็นบ้านพักครึ่งเขาได้รำไร

 

 

แต่นางรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงไปไม่ถึงแน่นอน

 

 

ค่ายกล!

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคาง เหลียวมองรอบด้าน จินตนาการได้ยากว่าค่ายกลนี้จัดวางอย่างไร ที่นี่เป็นภูเขาลูกใหญ่เชียวนะ ทิวทัศน์รอบด้านเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติ หรือว่าท่านอาจารย์จื่อเวยใช้ภูเขาทั้งลูกวางค่ายกลได้?

 

 

การวางค่ายกลพวกนี้ นางเคยใช้เวลาว่างระหว่างทางเรียนรู้กับเจ็ดสังหาร โดยทั่วไปแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือหาแก่นค่ายกล แต่ค่ายกลนี้เกิดจากภูเขา ทิวทัศน์เคลื่อนย้ายทีละช่วง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติ จะไปหาแก่นค่ายกลที่ไหน?

 

 

สำคัญยิ่งกว่านั้นคือต่อให้หาแก่นค่ายกลเจอ นางก็ไม่มีเวลาแล้ว

 

 

เจ็ดสังหารเคยเอ่ยไว้ ทุกค่ายกลที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าใช้กักขังผู้คนเป็นหลัก พลังทำลายล้างไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ทำให้เสียเวลา แก่นค่ายกลของค่ายกลนี้คงเป็นวิชาพรางตามากมาย ไม่แน่ว่าอาจเป็นการหลอกลวงมากมาย จุดมุ่งหมายเพื่อถ่วงเวลานาง

 

 

ค่ายกลวิชาพรางตาที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อนชนิดนี้ คนควบคุมค่ายกลต้องอยู่บริเวณใกล้เคียง เปลี่ยนแปลงแก่นค่ายกลอย่างต่อเนื่อง

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ค่ายกลนี้ไม่ใช่ให้นางทำลาย อีกทั้งทำลายไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

ไอ้แก่หนังเหนียว!

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบด่าในท้องเสียงหนึ่ง

 

 

นางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วนั่งลง กัดรากหญ้าคาท่อนหนึ่ง กล่าวกับท้องฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เฮ้ เจ้าผู้ชรา เรื่องเล่าเมื่อวาน ข้ายังเล่าส่วนสำคัญที่สุดไม่จบเลยนะ เจ้าอยากฟังหรือไม่?”

 

 

บนท้องฟ้ามีเพียงเสียงลมพัด

 

 

นางไม่สนใจ กล่าวต่อไปว่า “ข้าบอกเจ้าว่าจิ้งจอกสิบเป็นฆาตกร แท้จริงแล้วจิ้งจอกสิบเป็นเพียงแพะรับบาป แท้จริงแล้วฆาตกรตัวจริงคือ…”

 

 

นางเพิ่มระดับเสียงกะทันหัน ร้องเสียงแหลมว่า “จิ้งจอกเก้า!”

 

 

ข้างบนพลันมีเสียงดังสวบ คล้ายมีคนขยับสาบเสื้อด้วยความตกใจ นางพลันเอื้อมมือเข้าอ้อมแขนปานสายฟ้าแลบ ล้วงกระบอกเชื้อไฟออกมาเขย่าจุดไฟ มือสะบัดเพียงครั้งแล้วส่งออกไป

 

 

ท่วงท่าทั้งหมดรวดเร็วจนพอให้กะพริบตาเพียงครั้งเดียว

 

 

ฟึ่บ กลิ่นผมไหม้หอบหนึ่งโชยออกมา

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “นี่! ไอ้แก่หนังเหนียว! กระบอกเชื้อไฟนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษในวัง ดับไฟได้ยากนัก รีบหาบ่อน้ำช่วยเส้นผมล้ำค่าของเจ้า!”

 

 

เสียงหัวเราะเยาะดังแผ่วเบา เหนือศีรษะคล้ายมีควันกลุ่มหนึ่งลอยผ่าน จากนั้นทิวทัศน์ตรงหน้านางเปลี่ยนแปลง พุ่มไม้เขียวชอุ่ม สิ้นสุดขั้นบันได โผล่พรวดใกล้ถึงบ้านพักครึ่งเขาแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะอย่างเบิกบาน

 

 

เจ้าผู้ชราติดใจเรื่องนั้นมากเลยแฮะ

 

 

เจ้าผู้ชราเอาใจใส่เส้นผมล้ำค่าของตนเองมากด้วยแฮะ

 

 

นางเป็นผู้หญิง เมื่อวานมองเห็นเจ้าผู้ชราแวบแรก นางถูกผมของเขาดึงดูดแล้ว ผมยิ่งยาวยิ่งบำรุงรักษายาก สามารถบำรุงรักษาผมยาวเกือบสองเมตรให้ไม่แตกปลายได้ ไอ้แก่หนังเหนียวคนนี้ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากมาย ผมของเขาต้องเป็นของล้ำค่าที่สำคัญที่สุดของเขาแน่นอน

 

 

เฮอะ เป็นยายเฒ่าปีศาจจริงด้วย

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวเดินทางมาขอรับการรักษากับเข้าเยี่ยมคารวะสุดยอดเทพเจ้าด้วยความนับถือท่วมท้น แต่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจเลยไม่แต่น้อย เฒ่าระยำที่ชั่วร้ายถึงกระดูกคนนี้ ต้องชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าไอ้แก่หนังเหนียวมากกว่าแน่นอน

 

 

“เหอะๆๆ รีบไปรักษาขนนกของเจ้าเถิด…” นางหัวเราะฮิๆ ให้ความว่างเปล่าหลายเสียง กะพริบอีกครั้ง มาถึงหน้าพื้นที่ว่างตรงปากประตูบ้านพักครึ่งเขา

 

 

 

 

 

 

 

[1] ฮังเกอร์เกมส์ เกมล่าเกม (The Hunger Games) ภาพยนตร์เกี่ยวกับโลกที่ถูกปกครองด้วยความโหดร้าย