บนพื้นที่ว่างคึกคักอย่างยิ่ง ผู้ชายหลายคนเปลือยช่วงไหล่กำลังวางฐานรากเตรียมสร้างบ้าน แท้จริงแล้วเดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่ได้วางแผนว่าจะอยู่นานแค่ไหน แต่นายกองบรรดาศักดิ์กับคนของเผยซูเป็นศัตรูบนสนามรบกันนานแล้ว แม้ไร้ซึ่งความแค้นต่อกันโดยตรง ซ้ำยังเกิดความเห็นอกเห็นใจกันเล็กน้อย แต่ความเป็นศัตรูกันอย่างยาวนานทำให้คนสองกลุ่มแข่งกันทุกอย่าง เข้าห้องน้ำยังต้องแข่งว่าใครปัสสาวะได้ไกลกว่ากัน บ้านหลังนี้ พวกเขาแย่งกันเบิกเงินคนละครั้งสองครั้ง ตอนนี้สองฝ่ายต่างวาดเส้นบนพื้นดิน แข่งกันว่าใครจะสร้างเสร็จก่อนกัน
สายตาของจิ่งเหิงปัวกวาดผ่านบบนร่างผู้ชายที่เปลือยไหล่ฝูงนั้น ส่ายหน้า ไม่มีทางหรอก ไอ้แก่หนังเหนียวหลงตัวเองขนาดนั้น ไม่น่าจะเปลือยไหล่สวมกางเกงสกปรก
สามีภรรยาสูงอายุที่เฝ้าบ้านกลางเขาคู่นั้นเดินขวักไขว่กลางฝูงชน ส่งชาส่งอาหารให้พวกผู้ชาย จิ่งเหิงปัวจ้องมองสามีภรรยาเฒ่าคู่นั้น เมื่อวานเพิ่งจะเจอกัน จำได้แน่ว่าเป็นเจ้าตัว แต่นางยังคงไม่วางใจ ก้าวเข้าไปคว้ากาน้ำชาในมือชายชรานั้น ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ท่านลุงข้าเอง” คว้ากาน้ำชาพลางฉวยมือดึงผมของชายชราเล็กน้อย
พอออกแรง ผมหงอกร่วงเต็มมือ ชายชรานั้นร้องโอ๊ย มือกุมศีรษะไว้ หันหน้าเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “แม่นาง ชายชราอายุมากแล้ว เดิมทีมีผมเพียงไม่กี่เส้น ทนรับแรงกระชากเช่นนี้ของเจ้าไม่ไหว…”
“ขออภัยด้วยๆ” จิ่งเหิงปัวได้แต่ทิ้งผมหงอกทั่วมือกล่าวขอโทษเขา ผมหงอกนี้ลีบแบน ไม่ใช่ผมปลอมแน่นอน อีกทั้งด้วยความวิปริตลุ่มหลงที่มีต่อผมของไอ้แก่หนังเหนียวคนนั้น น่าจะไม่ยอมสวมผมหงอกเช่นกัน
จากนั้นจ้องมองหญิงชรา ไม่นับว่าแก่มาก ผมยังดกดำ นางเกรงใจไม่อยากกระชากผมของคนอื่นอีกแล้ว เดินเข้าไปมองน้ำชาอาหารในจานของนาง ร้องอุทานอย่างตกอกตกใจว่า “โอ้ ท่านป้า สิ่งนี้ท่านทำเองหรือ? ดูท่าทางหอมเหลือเกิน น่าอร่อยเหลือเกิน!”
หญิงวัยกลางคนนั้นจ้องนางอย่างแปลกใจ ขนมในจานเป็นเพียงเปี๊ยะงาแสนธรรมดา แม่นางที่มองแล้วรู้เลยว่าสูงศักดิ์เลิศล้ำท่านนี้ ชื่นชอบอาหารชนบทที่แข็งกระด้างขนาดนี้ด้วย? ซ้ำยังชื่นชอบจนเกินจริงขนาดนี้?
“โอ้ ท่านป้าผิวดีขนาดนี้เชียวหรือ ดูแล้วน่าจะเพราะกินเปี๊ยะงาเช่นนี้บ่อยครั้งใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวเข้าใกล้ใบหน้าชราเ**่ยวย่นของอีกฝ่าย เอื้อมมือคว้าไว้ ผิวกายใต้นิ้วสั่นไหวอย่างหย่อนยานอ่อนยวบในฝ่ามือ นางจิ๊จ๊ะชื่นชมว่า “โอ้ กระชับเกลี้ยงเกลา บอบบางจนแตะต้องมิได้โดยแท้”
ท่านป้าแกะนิ้วมือนางออก เหลือบมองนางอย่างสงสาร…น่าสงสารแม่นางนี้หน้าตางดงามเพียงนี้ ไม่นึกว่าจะเป็นคนโง่เขลา
“กินเปี๊ยะสิ” ท่านป้ายื่นเปี๊ยะให้อย่างสงสาร เอ่ยว่า “งาช่วยบำรุงสมองนะ”
จิ่งเหิงปัวไม่เขินอาย ยิ้มตาหยีกัดเปี๊ยะ แอบเช็ดมือบนกระโปรงไปพลาง เบ้ปากเล็กน้อยไปพลาง
คนนี้ก็ไม่ใช่
เจ้าผู้ชราคนนั้นถึงนับว่าผิวกายเกลี้ยงเกลาบอบบางจนแตะต้องไม่ได้ที่แท้จริง นางบีบคลึงใบหน้าท่านป้าที่คว้าไว้เมื่อครู่ ความรู้สึกหย่อนยานอ่อนยวบของผิวกาย ไม่ว่าหน้ากากหนังมนุษย์แบบไหนก็ทำออกมาไม่ได้
แต่บ้านกลางเขานี้ ผู้คนอยู่กันแค่นี้ ไม่ใช่พวกเขาแล้วเป็นใคร?
นางกัดเปี๊ยะ เดินไปเดินมากลางฝูงชน บางครั้งตบไหล่นี้ ร้องว่า “โอ้ พี่ชาย หุ่นดีจังเลย” หยิกกล้ามอกนั้น ร้องว่า “โอ้ พี่ชาย กล้ามอกแน่นจังเลย!”
เหล่าบุรุษกระเจิดกระเจิง โดยเฉพาะลูกน้องของเผยซู กระโจนหนีรวดเร็วยิ่งนัก…ถูกองค์ราชินีผู้งดงามเพียงนี้แทะโลม บุรุษทุกคนเต็มใจยิ่งนัก ทว่าพอนึกถึงความหึงหวงของขุนพลน้อยเรา ชีวิตน้อยๆ ยังสำคัญยิ่งกว่านิดหน่อย
“นี่! จิ่งเหิงปัว!” บนต้นไม้ข้างๆ มีเสียงร้องไม่พอใจของเผยซูแว่วมาว่า “ให้เวลาเจ้าหนึ่งเค่อเพื่อหาคนช่วยคน ไม่ใช่ให้เจ้ามาแทะโลมบุรุษ เจ้าสัมผัสผู้ใดที่ใด ข้าจะเฉือนเนื้อที่นั่นของผู้นั้นทิ้ง เจ้าจะลองสักหน่อยหรือไม่?”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขา บนต้นไม้ฝั่งตรงข้ามมีเสียงที่เมามายเป็นนิจเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เผยซู โคลนหุบเขาเทียนฮุยไหลเข้าสมองเจ้าด้วยหรือ ระวังครู่ต่อมาตัวเจ้าเองจะ…”
เผยซูหันหน้ากลับมา ถลึงตาใส่คู่ต่อสู้ชั่วชีวิตของตนเอง เอ่ยว่า “อิงไป๋ เจ้ายังกล้าแย่งกับข้าด้วย…” พลันรู้สึกว่าเหนือบนศีรษะมืดครึ้ม พอเงยหน้ามอง จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ก้มหน้ามองเป้ากางเกงเขา
สายตานั้นแปลกประหลาดเหลือเกิน เผยซูเกือบคว้ากางเกงไว้แน่นในครั้งเดียว
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ พลางลูบคางกล่าวว่า “สัมผัสผู้ใดที่ใดจะเฉือนเนื้อที่นั่นของผู้นั้น? เจ้าเอ่ยแล้วต้องรักษาวาจานะ”
ฟิ้ว บางคนเผ่นหนีจากสถานที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูงสุด ไม่ทันได้ทิ้งวาจาโหดเ**้ยมไว้เลย…
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ดูสิเจ้าคนนั้นตกใจเหลือเกิน เห็นพี่เป็นคนลูบคลำมั่วซั่วเหรอ? พี่ไม่กลัวลูบคลำมั่วซั่ว กลัวแค่ลูบคลำผิดคน!
นางยืนอยู่บนต้นไม้ เงยหน้ามองลานน้อยบ้านกลางเขาที่ว่างเปล่าโหรงเหรงเห็นทั่วทุกซอกทุกมุม ในใจกระตุกวูบ
ใครบอกว่าต้องหาท่ามกลางฝูงชน? ลานบ้านซ่อนคนได้เช่นกัน
คำนวณเวลา ยังเหลือเวลาเท่าธูปครึ่งดอก ถ้าเข้าไปหาในบ้านแล้วหาไม่เจอ คงไม่ทันเวลาแล้ว
แต่นางยังตัดสินใจเชื่อลางสังหรณ์ของตัวเอง ยิ่งกว่านั้น นางรู้สึกว่าอิงไป๋แล่นมาดื่มสุราบนต้นไม้ ลานน้อยฝั่งตรงข้ามนี้ คล้ายไม่ใช่มานั่งดื่มมั่วซั่ว
นางกะพริบลงจากต้นไม้ เข้าไปในลานบ้าน รูปแบบของบ้านนี้แสนธรรมดา ห้องหลังคากระเบื้องสามห้องกับลานน้อยแห่งหนึ่ง แต่ห้องหนึ่งตรงกลางปิดสนิท เมื่อวานมาแล้วไม่เห็นเคยเปิดออก
นางมุ่งสู่ห้องนั้น กะพริบกายเข้าไปข้างใน ภายห้องลำแสงมืดสลัว หลังเข้าประตูแล้วเพิ่งพบว่าห้องนี้ว่างจนไม่รู้จะว่างอย่างไรแล้ว ทั้งห้องไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย มีแค่ผนังสี่ด้านที่มีภาพวาดบนผนัง
บ้านของหมู่บ้านกลางเขาแถบนี้ บางครั้งด้านข้างจะวาดเป็นภาพวาดบนผนัง เนื้อหาพิลึกกึกกือ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในท้องถิ่น แต่โดยทั่วไปแล้วจะวาดไว้นอกห้อง วาดไว้ภายในห้องน้อยครั้ง
จิ่งเหิงปัวกวาดสายตามองแวบหนึ่ง แน่ใจว่าที่นี่ไม่มีคนแน่นอน กำลังจะถอยออกไปอย่างผิดหวัง ในใจกระตุกวูบทันที มองภาพวาดบนผนังเหล่านั้น
ภาพวาดคล้ายเป็นเขาเซียนกลางทะเล ศาลากลางไอควัน เซียนลอยอยู่เหนือท้องฟ้า นางเงือกนั่งอยู่บนโขดหิน
เดี๋ยวนะ นางเงือก?
จิ่งเหิงปัวกลอกตาครั้งหนึ่ง ภาพวาดบนผนังรอบด้านเชื่อมโยงกัน วาดนางเงือกไว้มากมาย วาดได้ละเอียดสมจริงอย่างยิ่ง แต่ละตนทรวดทรงอ่อนหวานแช่มช้อย ลักษณะท่าทางแตกต่างกัน บางตนอาบแดด บางตนร้องเพลง บางตนเอื้อมมือไขว่คว้าท้องฟ้า บางตนหันหลังให้ภาพวาดส่องคันฉ่องหน้าท้องทะเล
จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่บนกำแพง ดมกลิ่นทีละตน หัวเราะฮ่าๆ ทันที ถอยหลังหนึ่งก้าว ใช้เท้าถีบบนก้นนางเงือกที่ส่องคันฉ่องตนนั้น
“เฒ่าหลงตัวเองน่ารังเกียจ นางเงือกตนนี้อ้วนขนาดนี้ เจ้ายังมีหน้าแสร้งเป็นนาง!”
พลั่ก ผิวกำแพงแตกร้าว ก้อนผลึกบางส่วนกระเด็นออกมา เห็นข้างหลังเป็นโพรงแห่งหนึ่งรำไร เจ้าคนหนึ่งล้มหัวทิ่มเข้าไปข้างในดังพลั่ก บนก้นเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่รอยหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวกะพริบเหินเข้าไปทันที คิดจะขี่หลังเจ้าผู้ชราคนนี้ กระทืบให้งงงวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นางหายตัวเพียงพริบตาเดียว แต่เจ้าคนที่ร่วงพื้นก้นชี้ฟ้าคนนั้นหายไปแล้ว ฝ่าเท้าเหยียบย่ำสิ่งของนุ่มนิ่ม ได้ยินเสียงอุทานเล็กแหลมเสียงหนึ่งเลือนราง เป็นเสียงของจื่อหรุ่ย จิ่งเหิงปัวรีบเก็บกำปั้นที่หวังต่อยคน ประคองจื่อหรุ่ยออกจากชั้นประกบของกำแพง ผู้หญิงคนนั้นมีสีหน้ายังนับว่าเยือกเย็น ชี้ไปยังป้ายแผ่นหนึ่งที่ห้อยอยู่บนหน้าอกให้นางเห็น ข้างบนเขียนอักษรหวัดว่า ‘ยังเหลืออีกคน ครึ่งเค่อถัดไป กติกาเดิม หายไม่เจอในครึ่งเค่อ จะเชือดเด็กหญิงน้อย โอ้ จริงสิ ระวังปลายเท้า’
พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้ามอง ปลายรองเท้าหุ้มข้อเปียกชื้นเล็กน้อยไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร พอมองบนพื้นเห็นน้ำเจิ่งนอง
นางจำไม่ได้ว่าเมื่อครู่มองเห็นน้ำ พอหันหน้ากลับมามองโพรงพังทลายบนผิวกำแพง เข้าใจในทันที
ผิวกำแพงนี้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ปกคลุมด้วยก้อนผลึกพิเศษชั้นหนึ่ง สามารถยื่นร่างมนุษย์ออกมาได้ ฉะนั้นเฒ่าหน้าไม่อายจึงอยู่หลังกำแพงได้
แสร้งเป็นนางเงือก ถ้าก้อนผลึกแตกร้าวจะกลายเป็นน้ำพิษ ตอนนี้นางรู้สึกว่าปลายเท้ามึนชาแล้ว
ไอ้แก่หนังเหนียวคงเดาได้ว่าถ้านางหาคนเจอแล้วจะไม่เชิญเขาออกมาดีๆ แน่นอน นี่มันจงใจ!
“ไอ้แก่หนังเหนียว เจ้ามันหน้าไม่อาย!” จิ่งเหิงปัวตะโกนร้องว่า “ตกลงกันว่าหาคนเจอในหนึ่งเค่อก็พอแล้วมิใช่หรือ? เจ้าเล่นลูกไม้! ซ้ำยังวางยาพิษ!”
ไม่มีคนสนใจนาง ไกลออกไปคล้ายมีคนหัวเราะก๊ากๆ…เล่นลูกไม้กระไรนั้น เป็นคุณธรรมประจำสำนักเราไม่ใช่หรือ?
จิ่งเหิงปัวกุมขมับอย่างปวดศีรษะ เจ้าผู้ชราหน้าไม่อายมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ยังใบ้ให้ว่าเป็นบ้านกลางเขา ตอนนี้ไม่เอ่ยอะไรเลย เขาชีเฟิงแห่งนี้ใหญ่ขนาดนี้ จะไปหายงเสวี่ยที่ไหน?
นางให้จื่อหรุ่ยออกไปเอง ตัวเองนั่งครุ่นคิดในชั้นประกบของกำแพง
ดูคล้ายล้อเล่น ทว่าแท้จริงแล้วบททดสอบเริ่มต้นแล้วสินะ?
คนแบบท่านอาจารย์จื่อเวยนี้ ต่อให้ทั้งอันธพาลทั้งเล่นแง่ แท้จริงแล้วน่าจะมีหลักการของตนเอง แม้มาจากความชอบส่วนบุคคลด้วย แต่คงไม่ว่าง่ายขนาดนี้แน่นอน
จริงด้วยสินะ ลูกศิษย์เจ็ดคนวิ่งแจ้นลงเขา แต่เพราะตัวเองถึงพักค้างอยู่ข้างล่างนานขนาดนี้ เจ้าผู้ชรากำลังกลัดกลุ้มอยู่นะ ขณะนี้ไม่แม้แต่จะทักทายสักครั้ง ตัวเองวิ่งแจ้นมาจะขอให้เขาช่วยเหลือ เรื่องง่ายดายขนาดนี้มีที่ไหน
เจอกันครั้งแรกทดสอบปฏิกิริยาของนาง ครั้งที่สองแกล้งหลอกผีทดสอบความกล้าหาญของนาง ครั้งที่สามค่ายกลทดสอบไหวพริบของนาง ครั้งที่สี่ตามหาคนทดสอบสายตาของนาง
นางไม่มีวรยุทธ์ คงทดสอบจนอัศจรรย์เกินไปไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องที่นางสามารถทำได้
ส่วนเจ้าผู้ชราทั้งหลงตัวเองทั้งหยิ่งทระนง เขาต้องรู้สึกว่าตนเองซ่อนได้ดีมากแล้ว คงไม่ถูกค้นพบ ฉะนั้นน่าจะพาตัวประกันสองคนไว้ข้างกาย เตรียมว่าหมดเวลาแล้วจะเชือดคนหรือไม่ก็ออกมาเยาะเย้ยนาง สุดท้ายถูกนางจับได้ ฉะนั้นเขาจึงเล่นลูกไม้ เขียนป้ายอีกครั้ง พาตัวยงเสวี่ยไปด้วย ป้ายถูกเขียนขึ้นในขณะนั้น อักษรเขียนไว้อย่างเร่งรีบ
ในเมื่อเมื่อครู่เขาพายงเสวี่ยไปด้วย แบบนั้นตอนนี้ยงเสวี่ยน่าจะยังอยู่บริเวณใกล้เคียง
จิ่งเหิงปัวขยับเข้าไปมองป้ายนั้น ซ้ำยังดมกลิ่น นิ้วมือหยุดลงบนบางอักษร หยิบขึ้นมา หรี่ตามองสิ่งของที่เปื้อนนิ้วมือ ก้าวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
ขณะเดินเท้า นางพบว่าอาการชาลามมาถึงขาท่อนล่างแล้ว
มองสีท้องฟ้า ใกล้เที่ยงแล้ว
ท่านป้ากำลังเดินเข้ามาในลานบ้าน วางจานเปี๊ยะงาไว้ฝั่งหนึ่ง เริ่มล้างผัก
จิ่งเหิงปัวมองเปี๊ยะจานนั้น ถามว่า “ท่านป้า เปี๊ยะนี้ทำตั้งแต่ยามใดหรือ”
“ทำยามเช้าวันนี้”
“ใกล้จะทำอาหารเที่ยงแล้วกระมัง”
“ใช่” ท่านป้ามองสีท้องฟ้า เอ่ยว่า “ยังเหลือเวลาประมาณครึ่งเค่อ รอให้ข้าล้างผักเสร็จแล้ว จะได้ก่อไฟทำอาหารแล้ว”
ครึ่งเค่อ
ก่อไฟ
นางรู้แล้วว่ายงเสวี่ยอยู่ที่ไหน แต่นางขยับไม่ได้แล้ว
อาการชาตรงปลายเท้าลามมาถึงส่วนเอวแล้ว เคลื่อนที่เคลื่อนย้ายไม่ได้แล้ว
นางมองห้องครัว ห่างเพียงแค่ไม่กี่ก้าว แต่ตอนนี้สำหรับนางราวกับสุดขอบฟ้า
สำคัญยิ่งกว่านั้นคืออาการชาแบบนั้นกระโจนขึ้นข้างบนปานฟ้าแลบ คอหอยนางเกร็งแน่น แม้จะกล่าวยังกล่าวไม่ออกอีกแล้ว
จิ่งเหิงปัวยืนแข็งทื่อกลางลานบ้าน มองห้องครัวที่อยู่เพียงแค่เอื้อมแต่เหมือนไกลสุดขอบฟ้า อยากตะโกนแต่ทำไม่ได้ เบิกตากว้างมองท่านป้าหยิบผักที่ล้างเสร็จแล้วเข้าไปในห้องครัว หยิบฟืนที่ผ่าไว้แล้วออกมาจากหลังเตา เตรียมก่อไฟ
หญิงวัยกลางคนนั้นมีสีหน้าสุขุม ท่าทางเป็นธรรมชาติ ทำเรื่องที่ตนเองทำอยู่ทุกวัน ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง
นางคงไม่รู้ว่ามีคนคนหนึ่งถูกยัดเข้าไปในช่องว่างในเตาไฟ พอตนเองก่อไฟ แม่นางน้อยนั้นคงจบสิ้นแล้ว
เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลรินจากหน้าผากของจิ่งเหิงปัว
ทำอย่างไรดี?