“โจวเฉิง หากเจ้ากล้าแตะต้องชายคนนี้ก็ลองดู หากข้าได้กลับบ้านเมื่อใด ข้าจะบอกให้พ่อฆ่าเจ้าซะ!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นมา พลลาดตระเวนพลันหยุดการกระทำของตัวเองลงอย่างรวดเร็ว และพบว่าเป็นเด็กในอ้อมแขนของซูหวานหว่านเป็นคนพูดออกมา เขาคุกเข่าลงด้วยความตกใจทันที “นายน้อย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”

นายน้อย? แสงสีเหลืองของโคมไฟก็ส่องสว่างไปยังใบหน้าของเด็กชายคนนั้น ทำให้เห็นใบหน้าของเด็กชายชัดเจน นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นซุนรุย ลูกชายคนเล็กของตระกูลซุน!

“หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอดให้ขอร้องพี่ชายคนนี้เสีย ถ้าเขาปล่อยเจ้าไป ข้าก็จะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่ต่อไป!” ซุนรุยพูดออกมาอย่างไร้ความปรานี

ให้เขาวิงวอนขอร้องกับซูหวานหว่านงั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร! โจวเฉิงกัดฟันกรอดด้วยท่าทางไม่เต็มใจ ผู้ดูแลร้านก็เพิ่งนึกถึงความจริงได้ว่าพวกเขาได้จับลูกชายคนเล็กของตระกูลซุนมา หากซุนซ่างชูรู้เรื่องนี้เข้า หอซุนชุนโหลวจะเปิดร้านต่อไปได้อย่างไรกัน!

ผู้ดูแลร้านรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของเขาทันที “โจวเฉิง เหตุใดเจ้าถึงไม่มัดนายน้อยคนนี้เอาไว้แล้วหนีไปซะ ให้กลุ่มโจรเอานายน้อยนี้ไปข่มขู่ซุนซ่างชูเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ แค่นี้พวกเราก็มีเงินเป็นกองแล้วไม่ใช่หรือ? มีเงินทองมั่งคั่งและเกียรติยศโดยไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลยด้วยซ้ำ! ทำไมจะต้องไปอ้อนวอนขอความเมตตาด้วย!”

“นี่…” โจวเฉิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลว อย่างไรก็ตามต่อให้เขาขอความเมตตาไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงยกดาบขึ้นอีกครั้งและจ้องไปที่ซูหวานหว่าน “วางนายน้อยลงซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”

“บัดซบ!” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาดัง ๆ มองไปที่พลลาดตระเวนคนอื่น ๆ “ลูกพี่ของเจ้ากำลังจะจับนายน้อยของตัวเองแล้ว พวกเจ้ามัวยืนจ้องมองมาที่ข้าทำไมกัน?”

คิดไม่ถึงเลยว่าซูหวานหว่านจะได้ยินสิ่งที่ผู้ดูแลร้านคุยกับเขา! โจวเฉิงตื่นตระหนกเล็กน้อย และเขาก็พูดออกมาว่า “แล้วมันยังไง? ใครบ้างที่ไม่ชอบความเจริญรุ่งเรืองและความร่ำรวย?”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปหาลูกน้องของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าร่วมมือกับข้าเถอะ! จับนายน้อยเอาไว้แล้วหนีไปซะ เราสามารถเรียกร้องเงินได้มากเท่าที่ต้องการ!”

คนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันด้วยความลังเล

“พวกเจ้าช่างโง่เง่านัก เจ้าไม่ได้ทำให้เพียงแค่นายน้อยนั้นขุ่นเคือง แต่พวกเจ้ากำลังทำเรื่องเลวทราม!” ซูหวานหว่านเอ่ยอย่างโกรธจัด ซึ่งทำให้พลลาดตระเวนคนอื่นหยุดชะงักไป และพยายามพูดเกลี้ยกล่อมโจวเฉิง

โจวเฉิงจะฟังไปทำไมกัน! ตอนนี้เขาได้พูดทุกอย่างที่อยากพูดออกไปแล้ว เขาจะยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกหรือหลังจากที่ซุนซ่างชูรู้เรื่องของเขาแล้ว? “หากพวกเจ้าไม่ทำ ข้าจะทำเอง! พวกเจ้าอย่ามาห้ามข้าเสียให้ยาก!”

พูดจบแล้วเขาก็ได้หยิบดาบขึ้นมาขู่ซูหวานหว่านอีกครั้ง หากแต่หญิงสาวไม่ได้กลัวแต่อย่างใด นางยิ้มออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับพยุงซุนรุยให้ลุกขึ้น คว้ามีดของตัวเองออกมาในขณะที่โจวเฉิงไม่ทันระวัง นางก็ได้ใช้มีดนั้นกรีดเข้าไปที่หลังของเขาทันที ทำให้โจวเฉิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด!

“อ๊ากก! ให้ตายสิ!”

ซูหวานหว่านอุ้มซุนรุยที่กำลังหมดแรงขึ้นมา ให้พวกพลลาดตระเวนคนอื่นมัดคนของหอซุนชุนโหลวเอาไว้และพาพวกเขาไปยังศาลาว่าการ

หลังจากที่ซูหวานหว่านศึกษาคุณสมบัติของยาแล้วนางก็ถอดจิตเข้าไปในมิติฟาร์มเพื่อเตรียมยาแก้พิษให้กับทุกคน เมื่อทุกคนกลับมามีแรงอีกครั้งพวกเขาก็แยกย้ายกันไป

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงพาซุนรุยมาที่จวนของซุนซ่างชู แต่ซุนรุยนั้นไม่ยอมเข้าไปเอาแต่เกาะติดกับซูหวานหว่าน หญิงสาวจึงให้เจ้าหน้าที่จับกุมช่วยบอกคนที่บ้านของซุนซ่างชูให้มารับซุนรุยที่ร้านอาหารเจวียเซ่อในวันพรุ่งนี้ด้วย

ทั้งสามคนก็กลับมานอนพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้น ซูหวานหว่านก็กลับไปที่ร้านเจวียเซ่อเพื่อสอนวิธีใช้ของที่สั่งให้ช่างตีเหล็กทำมา

ขณะที่ซูหวานหว่านกำลังอธิบายก็เกิดความโกลาหลขึ้นนอกร้าน นางได้ยินเสียงสาว ๆ พูดออกมากันเสียงดัง “คุณชายซุนมาแล้ว! คุณชายซุนกำลังจะไปไหน พวกเราเดินตามไปกันเถอะ!”

“…”

จะเป็นชายหนุ่มแบบไหนกันที่ทำให้สตรีคลั่งไคล้ได้ถึงเพียงขนาดนี้? ซูหวานหว่านลุกยืนขึ้นสวมหมวกไม้ไผ่ และเดินออกไปนอกประตู นกกางเขนใต้ชายคาก็ส่งเสียงร้องออกมา และมีชายชุดดำเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มฝูงชน เขามีใบหน้าหวาน ผิวขาวใส ดูมีภูมิฐานและหล่อเหลามาก ชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าตรงมาที่ร้านอาหารเจวียเซ่อ ใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อฟังเสียงนกร้อง ซูหวานหว่านก็ตระหนักได้ว่าซุนฉางอานเป็นบุคคลที่คนในเมืองนี้หลงใหลอย่างมาก

เขานั้นเป็นที่รู้จักต่อคนกลุ่มใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าขอให้เขาช่วยแนะนำร้านเจวียเซ่อของนาง? ซูหวานหว่านวางแผนเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเดินเข้าไปเชิญเขาเข้ามาในร้าน แต่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งออกมาจากร้านหงเหมินชนจนนางเกือบจะล้มเสียก่อน ซูหวานหว่านจึงหลบนาง แต่เมื่อมองดี ๆ ก็พบว่านางคือซูเสี่ยวเหยียน

“คุณชายซุน มาที่ร้านหงเหมินโหลวของเราสิเจ้าคะ ร้านของข้ามีอาหารจานใหม่มากมายเลยเจ้าค่ะ” ซูเสี่ยวเหยียนพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ดูเหมือนซุนฉางอานนั้นจะได้ยินแล้ว แต่เขาก็พูดออกมาว่า “ได้โปรดปล่อยข้าไป ข้าจะไปแล้ว”

ซูเสี่ยวเหยียนยังไม่ยอมแพ้ และพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เขินอาย “คุณชายซุน ร้านอาหารของเรามีของอร่อยมากมาย! เข้ามาลองทานดูสิเจ้าคะ! หากมีโอกาสข้านั้นอยากจะชวนท่านมากินอาหารที่ร้านของข้าสักมื้อ”

เชิญกินอาหาร? ซูเสี่ยวเหยียนตั้งใจทำเหมือนกับนางที่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ซูหวานหว่านนำผ้ามาคลุมหน้าแล้วทำเสียงผู้หญิง “พวกเจ้า! ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? ทำเกินไปแล้วนะ! คิดว่าไม่มีพวกเราอยู่ตรงนี้หรืออย่างไรกัน?”

เพียงหินก้อนหนึ่งก็สามารถทำให้เกิดคลื่นนับพันได้ เสียงของนางทำให้เหล่าสตรีเกิดความไม่พอใจขึ้นมาในทันที “นั่นสิ นางเป็นใครกัน? บังอาจมาเกลี้ยกล่อมคุณชายซุนต่อหน้าพวกเราได้!”

“…”

สตรีเหล่านั้นหยิบขนมในมือออกมาแล้วแล้วปาใส่นางทันที ทำให้เสื้อผ้าของซูเสี่ยวเหยียนสกปรกไปหมด!

ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนพลันเปลี่ยนสีทันที นางทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องกลับไปที่ร้านอาหารเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

ซุนฉางอานก็เดินไปหาซูหวานหว่านต่อหน้าทุกคน “ข้าขอถามหน่อย เจ้าคือคุณชายเป่ยฉวนใช่หรือไม่?”

“ใช่” ซูหวานหว่านพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เดาว่าซุนฉางอานน่าจะมารับน้องชายของเขา แต่นางยังไม่ได้บอกเรื่องของน้องชายของเขาออกมา ซุนฉางอานก็กล่าวออกมาว่า “ถ้าเขายังไม่ไป ข้าหวังว่าเจ้าจะให้ข้าเข้าไปนั่งรอที่ร้านอาหารของเจ้าเพื่อดื่มชาและรอเขาเสียหน่อย”

จวี่เหริน*[1] ก็คือจวี่เหริน คำพูดคำจาย่อมสุภาพมาก และมีมารยาทมาก เมื่อเทียบกับความเย่อหยิ่งของคนในหมู่บ้านของตระกูลซูที่สอบได้แค่ซิ่วฉาย*[2] หรือถงเซิง*[3] ซูหวานหว่านรู้สึกเป็นมิตรต่อซุนฉางอานมากขึ้นและนางก็พูดออกมาว่า “เชิญ คุณชายซุน”

ซุนฉางอานยิ้มและเดินก้าวเข้าไปในร้าน ซูหวานหว่านก็ได้ทำหม้อชาพิเศษออกมาให้เขาและขอให้เด็กในร้านนำขนมออกมา และพูดว่า “คุณชายซุน ข้านั้นได้ช่วยน้องชายท่านเอาไว้ ท่านตอบแทนข้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”

มีคนกล้ามาพูดทวงบุญคุณขึ้นมาก่อนเลยหรือ! ซุนฉางอานรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยแต่ก็พูดว่า “ท่านต้องการอะไรรึ? หากท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไรถ้าข้าสามารถทำให้ได้ ข้าจะช่วยอย่างแน่นอน”

“ความต้องการของข้านั้นไม่มาก ขอเพียงแค่ให้คุณชายซุนมาร้านอาหารของเรา เจ็ดวันติดต่อกันเพื่อมาทานอาหารที่ร้านของเราแค่นั้นเอง” ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นมา นิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะพูดเอ่ยเสริม “ถ้าเป็นไปได้ คุณชายซุนช่วยเขียนบทความเกี่ยวกับร้านอาหารของเรา โดยจะเขียนตามความเป็นจริง หรือจะยกยอบ้างก็ได้”

“แค่นั้นหรือ?” ซุนฉางอานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นถึงลูกชายของตระกูลซุน! ถ้าขอเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ก็ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซูหวานหว่านจะขอเรื่องเล็กน้อยแค่นี้!

“เพียงเท่านี้แหละ ขอขอบคุณคุณชายซุนมาก” ซูหวานหว่านพูดออกมาและกำลังจะให้เด็กในร้านยกอาหารมา แต่จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา นั่นคือซุนรุยน้องชายของซุนฉางอาน!

เมื่อเห็นซุยรุยกำลังวิ่งเข้ามา ซูหวานหว่านคิดว่าเขากำลังจะกระโจนใส่พี่ชายของตัวเอง นางจึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยง แต่เขากลับวิ่งมาหานางและสะดุดกับพื้นจนโดนตัวนางจนล้มลง!

โชคดีที่นางไม่เป็นอะไร แต่นั่นกลับทำให้ร่างของนางถูกผลักเข้าไปในอ้อมกอดของซุนซางอานอย่างประจวบเหมาะพอดี!

หมวกบนหัวของนางตกลงพื้น และกวานที่ซูหวานหว่านผูกไว้บนหัวของนางก็ถูกสายรัดของหมวกเกี่ยวและหลุดออกมาเช่นกัน

ซุนฉางอานตื่นตระหนกทันที ในดวงตาของเขาจ้องไปที่ซูหวานหว่าน หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น รับตัวซูหวานหว่านเอาไว้ กลายเป็นว่าได้กอดซูหวานหว่านอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว

มีเสียงฝีเท้าอยู่นอกประตูร้าน ฉีเฉิงเฟิงเดินเข้ามาพอดีเห็นฉากนี้เข้า เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “กอดกันพอหรือยัง?”

————————————————————————————————

[1]举人 จวี่เหริน คือคนที่สอบผ่านคัดเลือกระดับภูมิภาคหรือประเทศแล้ว แต่ว่าต้องเป็นคนที่สอบผ่านรอบระดับซิ่วฉายแล้ว

[2]秀才 ซิ่วฉาย คือคนที่สอบระดับอำเภอผ่าน

[3]童生 ถงเซิง นักศึกษาเด็ก หรือว่าจะเรียกอีกอย่างว่าคนที่สอบระดับตำบลผ่าน