ตอนที่ 911 ไม่ได้เล่นละคร

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

“ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อนะ ฉันพูดจริง เสี่ยวเชี่ยนถึงเราจะเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่ตอนที่พวกพี่เคยมาหาอาก่อนหน้านี้อาเอารายการที่เธอเคยจัดให้พี่ฟัง พี่รู้สึกสะเทือนใจมาก เลยอยากลองมาปรึกษาเธอ”

“เอ๋…? แม่อัดเสียงไว้ด้วยเหรอ?”

นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมเธอไม่รู้เลยล่ะ?

เมืองหลินอยู่ติดกับเมืองQ ทางนี้ก็สามารถรับสัญญาณคลื่นวิทยุของเมืองหลินได้ บางครั้งเจี่ยซิ่วฟางอยู่ดึกไม่ไหวก็จะให้เลี่ยวฟู่กุ้ยหรือพ่อเลี่ยวช่วยอัดเสียงเอาไว้ให้ ไว้ฟังตอนกลางวัน

คล้ายกับว่าได้อยู่กับลูกสาว

ความรู้สึกแรกของเสี่ยวเชี่ยนหลังจากได้ฟังเรื่องนี้ก็คือซึ้งใจ แต่ว่า…มันก็น่าอายมาก!

นี่ไม่เท่ากับว่าแม่ได้ฟังเรื่องบ้าบอคอแตกที่เธอพูดในรายการด้วยเหรอ?

รายการของเสี่ยวเชี่ยนเฉียบคมมาก คำพูดบางอย่างแทบจะเสียดแทงใจแบบนัดเดียวจอด อยู่ๆก็มารู้ว่าแม่เธอก็ฟังรายการแถมอัดเสียงไว้ด้วย มันน่าอายนะ!

“ใช่ อาเอาให้พี่ฟังแล้ว มันมีประโยชน์กับพี่มากเลย เสี่ยวเชี่ยน พี่เชื่อว่าเธอจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตคู่ของพี่ในตอนนี้ได้ ในความเป็นจริง พี่กับพี่ชายเธอเดินทางกันมาใกล้ถึงจุดแตกหักแล้วล่ะ”

เสี่ยวเชี่ยนปากบอกว่ารักษาแต่จริงๆก็แค่ทำแบบขอไปทีเท่านั้น ตอนแรกเธอคิดว่าเรื่องการรักษาเป็นแค่เรื่องที่จู้จื่อยกมาอ้าง ไม่คิดว่าช่วงนาทีที่ได้คุยกับพี่สะใภ้ เธอกลับเห็นแววตาแห่งการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้

มันเป็นสายตาแบบที่คนหมดหนทางเท่านั้นจะมี ไม่ได้เล่นละคร

“คุณมีอะไรที่รอกลับไปพูดที่บ้านไม่ได้?” จู้จื่อพูดอย่างไม่พอใจ

“งั้นถ้าพวกพี่ไม่ได้มาบ้านฉันเพื่อแก้ไขปัญหา แต่มาเพื่อ ‘กลับบ้านไปคุย’ แล้วจะมาบ้านฉันทำไมล่ะคะ?” เสี่ยวเชี่ยนเอ่ยปากขัดจังหวะ

จู้จื่อหุบปาก สายตาที่มองภรรยาตัวเองเต็มไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ไม่ต้องมองว่าฉันเป็นญาติ คิดเสียว่าฉันเป็นนักจิตบำบัดคนหนึ่งก็พอ ใครจะพูดก่อนดีคะ?”

เสี่ยวเชี่ยนหยุดคำพูดของจู้จื่อ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะพูด ถ้าบอกว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างที่เขาหวังจะมาตีสนิท ไม่ทำกับเผยธาตุแท้ตัวเองเหรอ?

จู้จื่อนึกไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะทำตัวผิดแผนพูดเรื่องนี้กับเสี่ยวเชี่ยน ทำให้เขาดูแย่มาก ตอนนี้ขึ้นหลังเสือลงยากแล้ว เขาจึงตัดสินใจชิงลงมือก่อนเป็นดีที่สุด

“พี่พูดก่อน” จู้จื่อพูดกับเสี่ยวเชี่ยน

เสี่ยวเชี่ยนหันไปพูดกับพี่สะใภ้อย่างนุ่มนวล “พี่ไปอยู่กับแม่ฉันก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันคุยกับพี่จู้จื่อเสร็จจะเรียกพี่เข้ามา”

ภรรยาของจู้จื่อมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตาที่ดูมีความหวัง แต่ก็เหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูดแต่ก็ยังพูดไม่ได้

เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าเป็นกำลังใจให้เธอ พอเธอออกไปแล้วจึงหันไปถามจู้จื่อด้วยสีหน้ามั่นใจอย่างมืออาชีพ

“ว่ามาสิคะ ปัญหาที่ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?”

“น้อง…พี่จนปัญญาแล้วจริงๆ เดิมคิดว่าเรื่องไม่ดีในบ้านไม่อยากพูดออกไป แต่พี่สะใภ้เธอไม่ไหวเลยจริงๆ พี่อยากพาเขาออกมาหาหมอนานแล้ว พี่สงสัยว่า—” จู้จื่อลดระดับเสียงแล้วพูดอ้อมค้อมกับเสี่ยวเชี่ยน “เขาอาจป่วยทางจิต เขาไม่เหมือนผู้หญิงปกติทั่วไป!”

“หืม?” เสี่ยวเชี่ยนมองหน้าจู้จื่อ ในใจกลับคิดว่านี่มันควรได้รางวัลออสการ์!

“ผู้หญิงคนอื่นเขาก็ต้องรักลูกไหมล่ะ? แต่เขาไม่! เธอว่าจะมีผู้หญิงที่ไม่ชอบเด็กด้วยเหรอ? แต่งงานกันมาตั้งหลายปีเขากลับไม่ดูแลลูก ตอนนี้มาไม่อยากมีลูกอีก ที่บ้านก็พึ่งแต่เงินเดือนของพี่ พี่อยู่ที่นู่นหาเงินได้ไม่เท่าไร เลยอยากเข้าเมือง—”

จู้จื่อสมกับเป็นคนเหลี่ยมจัดจริงๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังคิดจะขอความเห็นใจจากเสี่ยวเชี่ยน อยากให้ช่วยเข้าทางพ่อเลี่ยวช่วยเขาย้ายมาทำงานในเมือง

“เดี๋ยวนะ เด็กเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนจับใจความสำคัญได้

ไหนว่าไม่ยอมมีลูกไง? ทำไมกลายมาเป็นเรื่องนี้?

“พวกเรามีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ปีนี้อายุสามขวบ ตอนคลอดออกมาเด็กมีหกนิ้ว พี่สะใภ้เธอไม่ชอบเด็กเลยสักนิดเดียว ตอนเล็กๆลูกร้องพี่สะใภ้เธอก็ไม่ไปอุ้ม พี่ไม่เคยเห็นแม่ที่บกพร่องในหน้าที่ขนาดนี้มาก่อน!”

“เขาไม่ไปอุ้มแล้วพี่ทำอะไร?”

“พี่ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยจะตาย เขาเป็นแค่พนักงานขายสินค้า ไม่ได้เหนื่อยมากมาย อีกอย่างเรื่องเลี้ยงลูกควรเป็นหน้าที่ของผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?”

“พนักงานขายสินค้าลำบากกว่าที่พี่คิดนะ กล่อมลูกก็ไม่ได้สบายอย่างที่พี่คิด ถ้าเขาทำงานจนหมดแรงพี่ก็ควรช่วยเขาดูแลลูกด้วย พวกพี่สองคนทำงานทั้งคู่แล้วใครเลี้ยงลูกให้?”

“ช่วงสองปีแรกเขาเป็นคนเลี้ยง เดี๋ยวนี้มีพวกสถานรับเลี้ยงเด็กใช่ไหมล่ะ เขาก็เลยไปหางานทำ เงินเดือนแค่สี่ร้อยกว่าหยวนไม่รู้ไปทำอะไรมั่ง พี่ให้เขาลาออกมาเตรียมมีลูกอีกคน แต่เป็นตายเขาก็ไม่ยอม บ้านพี่มีพี่เป็นลูกชายคนเดียว ถ้าลูกคนแรกเป็นลูกสาวก็ยังมีได้อีกคน เขากลับไม่ยอม ที่สุดจะทนก็คือเขากล้าตั้งเงื่อนไขกับพี่”

“เงื่อนไขอะไร?”

“มีลูกคนที่สองน่ะได้ แต่ถ้าลูกหย่านมแล้วต้องให้เขากลับไปทำงาน เอาลูกไปให้แม่พี่เลี้ยง ที่สุดจะทนเลยก็คือ เงินที่เขาหามาได้เขาจะไม่ยอมให้พี่ จะเก็บไว้เอง แบบนี้ไม่เท่ากับอยากเก็บเงินส่งให้บ้านตัวเองเหรอ?”

“แล้วทางแม่พี่เขาว่าไง?”

“แม่พี่บอกว่าจะให้มาเลี้ยงหลานก็ได้ แต่ต้องให้ค่าเลี้ยงเดือนละห้าร้อย แบบนี้มันก็พอๆกับเงินเดือนพี่สะใภ้เธอเลยใช่ไหมล่ะ? แล้วเขาออกไปทำงานจะมีความหมายอะไร ผู้หญิงคนนี้เห็นแก่ตัวเกินไป ตอนนั้นพี่ไม่น่าแต่งกับเขาเลย ผู้หญิงที่ไม่รักลูกพี่จะเอาเขาไปทำไม?”

“แล้วพี่ทำอะไรเพื่อลูกบ้าง?”

“พี่เป็นผู้ชายทำงานยุ่งจะตาย มีเวลาดูแลลูกที่ไหน? ชีวิตพี่ไม่ง่ายเลยนะ มีลูกสาวแค่คนเดียวแถมยังพิการ แฟนก็ไม่ชอบเด็ก ที่บ้านก็พึ่งแต่เงินเดือนพี่ อยู่ที่นู่นการงานจะก้าวหน้าได้ยังไง ถ้าได้มาทำงานมีชีวิตมั่นคงที่นี่ พี่สะใภ้เธอคงจะยอมอยู่บ้านเลี้ยงลูก”

พูดไปพูดมาก็วกกลับไปที่เรื่องอยากมาทำงานที่เมืองQ

“ถ้าเขาไม่ยอมมีลูกคนที่สอง แล้วก็ไม่ยอมทิ้งงาน พี่จะทำไง?” เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว ผู้หญิงในสายตาของจู้จื่อก็คือพี่เลี้ยงที่ไม่เสียเงินบวกคนใช้ แบบนี้มันความคิดของผู้ชายบ้านนอกส่วนใหญ่ชัดๆ

“หย่า! ผู้หญิงไม่ยอมมีลูกแถมยังงี่เง่าขนาดนี้พี่จะเอาไปทำไม? ไม่แน่เขาอยากไปทำงานส่งให้บ้านแม่ตัวเองใช้ ผู้หญิงแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเอาไว้ น้อง เพื่อพยุงครอบครัวพี่ เธอต้องช่วยพี่คุยกับอาเลี่ยวนะ ครอบครัวเราไม่ง่ายเลย ลูกสาวพี่มีหกนิ้ว—”

“เอาล่ะค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจหมดแล้ว พี่ไปเรียกพี่สะใภ้เข้ามา ส่วนพี่ก็ไปรออยู่ข้างนอก”

จู้จื่อชิงลงมือพูดก่อน เขาคิดว่าต่อให้เสี่ยวเชี่ยนไม่ช่วยพูดกับพ่อเลี่ยว แต่อย่างน้อยก็คงจะช่วยกล่อมภรรยาของเขาได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นญาติกับเสี่ยวเชี่ยน ส่วนภรรยาเขาเป็นแค่คนนอก

ต่อให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการตีสนิท แต่ถ้าพูดให้ภรรยาเขายอมได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ได้ยินว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนเก่งมาก เพิ่งได้รางวัลชนะเลิศในการแข่งขันจิตวิทยาระดับประเทศ

แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้คิดจะยอมนั่งดูเฉยๆโดยไม่สนใจ เพียงแต่เธอไม่ได้คิดจะช่วยจู้จื่อ เธอรู้สึกว่าดูเหมือนจะมีอยู่วิธีที่สามารถกำจัดคนน่ารำคาญอย่างจู้จื่อได้