ตอนที่ 912 ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

ภรรยาของจู้จื่อเดินเข้ามา ดูเหมือนเธอจะร้องไห้ ดวงตาแดงก่ำ

ตอนอยู่ข้างนอกเธอคุยกับแม่เสี่ยวเชี่ยน ไม่รู้คุยเรื่องอะไรไปจี้โดนจุดสะเทือนใจเข้า

“นั่งสิคะพี่สะใภ้” น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนนุ่มนวลกว่าตอนพูดกับจู้จื่อเล็กน้อย

เธอดูออกว่าพี่สะใภ้เป็นแฟนคลับของเธอจริงๆ

และก็ดูออกว่าพี่สะใภ้คนนี้เวลานี้เดินทางมาถึงจุดแตกหักแล้ว ถ้าไม่ได้อับจนหนทางจริงๆมีเหรอจะส่งสายตาอ้อนวอนให้กับคนที่เพิ่งได้เจอกันครั้งแรก บางครั้งความเย็นชาที่ไม่ตั้งใจก็อาจทำให้คนที่ชินชากับทุกสิ่งสูญเสียความหวังเพียงน้อยนิดไป การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกได้พบกับความหวังอีกครั้ง

“เสี่ยวเชี่ยน พี่ไม่ควรพูดเรื่องนี้กับเธอหรือเปล่า เพราะยังไงเธอก็เป็นญาติกับจู้จื่อ พี่…” นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ภรรยาจู้จื่อรู้สึกสิ้นหวัง

เธอไม่มีใครที่จะให้ปรับทุกข์ได้เลย รู้ทั้งรู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนอาจไม่ช่วย แต่เธอก็ควบคุมอารมณ์ที่อยากระบายความอัดอั้นตันใจออกมาไม่ได้

“สำหรับหมอแล้วไม่มีคำว่าญาติมิตร พี่มาหาฉันตรงนี้ มานั่งอยู่ตรงข้ามฉันก็เท่ากับเป็นผู้เข้ารับคำปรึกษา ถ้าพี่ไม่อยากเรียกฉันว่าเสี่ยวเชี่ยน เรียกฉันว่าเหม่ยเหวยก็ได้ค่ะ คิดเสียว่ากำลังโทรเข้าไประบายในรายการวิทยุ ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะเป็นใคร มีอะไรก็พูดออกมาได้เลยค่ะ”

“เห้อ อันที่จริงพี่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี…”

“พวกพี่มีลูกด้วยกันแล้วคนนึงใช่ไหมคะ?”

“ใช่ ลูกสาวพี่ชื่อเสี่ยวลี่ เป็นเด็กเงียบๆ เขาไม่เหมือนเด็กคนอื่นตั้งแต่เกิด” พอพูดถึงลูกสาว ภรรยาจู้จื่อก็ควักกระเป๋าตังค์หยิบรูปลูกสาวให้เสี่ยวเชี่ยนดู

เป็นเด็กผู้หญิงที่ผอมมาก มองกล้องด้วยความเขินอาย

“ขอโทษที่ฉันต้องถามแบบนี้นะคะ มือของเขา—”

พูดถึงเรื่องนี้พี่สะใภ้ก็น้ำตาพรั่งพรูออกมาอีกรอบ

“เด็กคนนี้เกิดมามีหกนิ้ว ยิ่งโตก็ยิ่งเป็นเด็กเก็บตัว โดยเฉพาะหลังจากที่เข้าโรงเรียนอนุบาล เด็กคนอื่นพากันสงสัยว่าทำไมมือของเขาถึงไม่เหมือนเด็กคนอื่น เขาร้องไห้บอกไม่อยากไปโรงเรียน เด็กตัวแค่นั้นยังพูดได้แค่ไม่กี่คำ แต่กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว”

เป็นไปได้ว่าสำหรับเด็กคนอื่นๆนั้น การถามเรื่องนิ้วของเสี่ยวลี่ไม่ได้หมายถึงการดูถูกหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็แค่สงสัยตามประสาเด็ก แต่พอถูกทุกคนให้ความสนใจแบบนั้น จิตใจของเด็กก็ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความรู้สึกน้อยใจ จากนั้นก็จะค่อยๆกลายเป็นเด็กเก็บตัว

“พี่จู้จื่อบอกว่า ลูกร้องพี่ก็ไม่อุ้มเขา?”

“พี่เองก็กลุ้มเรื่องลูกมาก พี่หาตำราของเมืองนอกมาอ่านมากมาย ในนั้นบอกว่าถ้าอยากให้เด็กพึ่งพาตัวเองได้ก็ห้ามอุ้ม เขาเกิดมามีหกนิ้ว ถ้าไม่ทำตัวให้เข้มแข็งต่อไปจะทำไง?”

“เขาอายุสามขวบ อายุจริงหรือนับแบบโบราณ?”

“นับแบบโบราณ พวกเราเองก็หาโรงเรียนอนุบาลหลายที่กว่าจะเจอโรงเรียนเอกชนที่รับเด็กเล็กขนาดนี้ พ่อเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้มาก ชั้นเรียนของเด็กเล็กแค่นั้นต้องจ่ายเดือนละสองร้อย เขาคิดว่าพี่ควรลาออกมาเลี้ยงลูก”

“เด็กตั้งแต่หกเดือนถึงสองขวบจะมีช่วงเวลาที่เกิดความรู้สึกอยากพึ่งพา ซึ่งช่วงวัยนี้เขาอาจจะมีความกังวลบ้าง อยากได้ความรักจากพ่อแม่มากกว่าเดิม ต้องหมั่นกอดเขาบ่อยๆ เติมเต็มความรู้สึกให้เขา จะช่วยลดความกังวลของเด็กได้ สิ่งที่ในหนังสือเลี้ยงเด็กเขียนใช่ว่าจะถูกต้องหมดทุกเรื่อง”

“หา!” พี่สะใภ้ตกใจ

“ขอโทษที่ต้องถามตรงๆนะคะ ทำไมพี่ถึงดึงดันจะทำงานให้ได้ ไม่เลือกที่จะใช้เวลาอยู่กับลูกล่ะคะ? ตอนนี้อาการของเขาควรได้รับการบำบัดจิตใจจากผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากร่างกายของเขาค่อนข้างพิเศษ อยู่ในช่วงที่ต้องการความรัก แถมยังถูกพาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของโรงเรียนอนุบาล พอรู้ตัวว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่น อาการวิตกกังวลของเขาก็จะหนักขึ้น หากเป็นแบบนี้ต่อไปก็จะส่งผลต่อนิสัยของเขาในอนาคต”

หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกลับชาติมาเกิดใหม่ เพื่อที่จะทำหน้าที่แม่ให้ดีกว่าเดิมเธอจึงตั้งใจเรียนด้านจิตวิทยาในเด็ก จึงสามารถให้คำแนะนำด้านนี้ได้

พูดถึงเรื่องนี้พี่สะใภ้ก็น้ำตานองหน้า

“ไม่ใช่ว่าพี่ใจร้ายนะ พี่แค่อยากเก็บเงินพาลูกไปผ่าตัด! พ่อเขาไม่ค่อยอยากพาไป บอกว่าปู่กับอาก็มีหกนิ้ว ไม่ต้องผ่าตัดก็อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่เห็นเป็นอะไร พี่รู้ว่าเพราะเขาเห็นลูกเป็นผู้หญิงก็เลยไม่อยากลงทุนกับลูก”

คนเป็นแม่ย่อมปล่อยวางเรื่องลูกไม่ได้

การเกิดมามีหกนิ้วไม่เหมือนกับโรคที่มีมาแต่กำเนิดโรคอื่น ถึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต แต่คนพวกนี้กลับไม่คิดบ้างว่าถ้าเด็กโตขึ้นจะต้องถูกมองด้วยสายตาแปลกๆมากแค่ไหน

จริงสิ เสี่ยวเชี่ยนนึกบางอย่างออก น้าคนที่ถนัดทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ก็มีหกนิ้ว ตอนเด็กๆเธอยังเคยจ้องด้วยความสงสัย

ความสงสัยนี้ส่วนใหญ่มาจากความแปลกใจที่อีกฝ่ายแตกต่างจากตัวเอง บางทีอาจไม่ได้แฝงเจตนาร้าย แต่พอมีคนมากมายมาจับจ้อง สายตาเหล่านั้นก็กลายเป็นพลังทำลายล้างต่อคนที่ถูกมอง ก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ซึมเศร้า

“ผ่าตัดพวกนี้ไม่แพง ทางที่ดีทำก่อนเด็กเข้าเรียนประถมนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนสนับสนุนให้พาเด็กคนนี้ไปผ่าตัด

“พี่ก็คิดแบบนั้น เลยตั้งเงื่อนไขกับพ่อเขาว่าพี่จะทำงานเก็บเงินเอง คนเป็นพ่อไม่สนใจลูกงั้นพี่ก็ต้องจัดการเอง ถึงจะทำงานได้เงินน้อย แต่ถ้าประหยัดๆก็พอเหลือเก็บอยู่ จะพยายามให้ลูกได้ผ่าตัดก่อนเข้าเรียนประถม”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมยังอยากมีลูกคนที่สองล่ะคะ?” ตอนนี้ยังไม่อยู่ในขั้นตอนการรักษา เสี่ยวเชี่ยนกำลังเก็บข้อมูล

“เพราะพวกเราทะเลาะกันบ่อยเรื่องทำงาน บางครั้งพี่เลยคิดอยากมีลูกคนที่สองเผื่อความสัมพันธ์จะดีขึ้น…”

“คิดผิดแล้วค่ะ จำไว้นะคะ ห้ามใช้เด็กเป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์เด็ดขาด เพราะมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พอพี่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุแต่กลับเพิ่มปัญหาขึ้นมาใหม่ แบบนั้นมีแต่จะยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น สมมตินะคะ ถ้าวันหนึ่งชีวิตคู่ของพวกพี่เดินทางมาถึงจุดจบ หากพี่มีลูกแค่คนเดียว พี่ก็จะพาลูกสาวไปได้ แต่ถ้ามีอีกคน พี่ก็จะต้องทิ้งลูกอีกคนไว้ ถึงตอนนั้นจะทำไงคะ? แล้วถ้าลูกคนที่สองก็เป็นผู้หญิงอีก ทีนี้จะทำไง? ลูกสาวที่ไม่มีแม่อยู่ด้วยจะน่าสงสารมากกว่าอีกนะคะ”

คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนฟังดูโหดร้าย แต่กลับจี้ตรงจุด

ความคิดที่อยากใช้ลูกเป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์มันผิดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว

ไม่ว่าเด็กที่เกิดมาจะเป็นผู้ชายหรือไม่ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือไปแล้ว แบบนั้นต่อให้มีลูกชายแล้วยังไงล่ะ?

สามีไม่สนใจลูก คิดแต่จะให้ลูกใส่กางเกงเปิดเป้าวิ่งเล่นไปทั่วเพื่อที่จะได้อวดว่าตัวเองมีทายาทสืบสกุลแล้ว

คนเป็นแม่ล่ะ?

เลี้ยงลูกสองคนอย่างลำบาก กลายเป็นยัยเพิ้งตั้งแต่นั้น ถ้าผู้ชายขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัว ไม่ยอมทิ้งความคิดที่ผู้ชายเป็นใหญ่ล่ะก็ มีแต่จะทำให้ผู้หญิงที่ยังไม่แก่สภาพทรุดโทรมก่อนวัย

ถึงตอนนั้นไม่ต้องพูดเรื่องความรักหรอก ชีวิตที่เหลืออยู่ย่อมมีแต่ความเหน็ดเหนื่อย

ถ้าลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงแบบนั้นยิ่งลำบาก สิ่งที่รอคอยอยู่มีแต่ความเย็นชาและวาจาที่บั่นทอนจิตใจ

“งั้นพี่จะทำไงดีล่ะ ตอนนี้พี่จนปัญญาแล้ว…พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ล้มเหลวมาก ตอนที่ลูกเพิ่งเกิดตกดึกร้องไห้งอแงพี่นอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน ตอนนั้นแทบอยากกอดลูกแล้วตายไปด้วยกัน อยู่ไปก็ไร้ความหวัง ทุกวันพอตกกลางคืนจิตใจก็หดหู่…พอได้ออกไปทำงานก็ดีขึ้นหน่อย แต่พอพูดเรื่องมีลูกคนที่สองพี่ก็เกิดความขัดแย้งในใจขึ้นมาอีก เดี๋ยวก็อยากมี เดี๋ยวก็คิดว่าการมีลูกอีกเป็นเรื่องน่ากลัว”

ดูท่าจะมีอาการซึมเศร้าหลังคลอดด้วยนะ…เสี่ยวเชี่ยนแอบถอนหายใจในใจ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ