บทที่ 8 อาลัยอาวรณ์หลินจือ

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

เขายังพูดไม่จบก็ถูกหลินจือพูดขัดขึ้นซะก่อน“ไม่ใช่เลย ฉันฉลองที่ในที่สุดตัวเองก็หลุดพ้นซะที ”

พูดแล้ว ก็เร่งเร้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์“ นี่คุณจะเซ็นหรือเปล่า ?”

ตอนนี้หลินจือมีอาการปวดหัวเหมือนจะระเบิด เธออยากจะเซ็นให้มันจบๆแล้วหย่าให้มันเสร็จๆจากนั้นก็กลับไปนอนต่อที่บ้าน

เทาเท่กัดฟันกร่อนแล้วจ้องมองเธอเขม็ง หยิบปากกาที่อยู่ด้านข้างขึ้นแล้วตวัดลายเซ็นลงไปในกระดาษ

เธอเอะอะโวยวายขนาดนี้หากเขาไม่ยอมเซ็น นั้นก็แสดงว่าเขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอนะสิ ?

คนอย่างเทาเท่เป็นใคร ?

แต่ไหนแต่ไรมีแต่คนที่ขาดเขาแล้วจะอยู่ไม่ได้ และมีแต่คนอื่นเท่านั้นที่ต้องอ้อนวอนขอร้องเขา

เมื่อลงชื่อกันเสร็จและได้ทะเบียนหย่าแล้วหลินจือก็ดึงปีกหมวกลงแล้วจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย เธอได้จองเที่ยวบินไปต่างประเทศแล้วในตอนบ่าย นอนสักตื่นจากนั้นก็เดินทาง

เธอไม่มีความอาลัยอาวรณ์อะไรอีก เมื่อคืนพ่อเธอกับพี่ชายของเธอโทรหาเธอจนสายแทบระเบิด เธอเอาเงินในบัญชีที่เธอทำงานเป็นนักเขียนอิสระในช่วงหลายปีที่ผ่านมาให้กับพวกเขาจากนั้นก็ปิดเครื่อง

ในฐานะลูกสาวและน้องสาว เธอทำมันดีที่สุดแล้ว

ที่หน้าสำนักงานเขต นักข่าวทั้งหลายรอกันอยู่นานก็ไม่เจอภรรยาเทาเท่ตามที่เป็นข่าวลือ สิ่งที่ได้คือการจากไปด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของเทาเท่

นักข่าวต่างรายล้อมกันเข้าหา หนึ่งในนั้นถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า“ประธานเทาเท่ ขอถามหน่อยครับว่าการหย่าของคุณกับคุณหลินจือนั้นเสร็จสิ้นแล้วหรือยังไม่ได้ดำเนินการครับ?”

พวกเขาไม่มีใครเห็นภรรยาเทาเท่เดินเข้าหรือออกจากสำนักงานเขตเลย ดังนั้นจึงเกิดความสงสัยนี้ขึ้นมา

เทาเท่ตอบกลับนักข่าวอย่างโกรธเคือง“เกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ?”

นักข่าวถูกสวนจนพากันเงียบกริบในทันทีจากนั้นเทาเท่ก็ขึ้นรถแล้วจากไป

*

หนึ่งปีต่อมา

ที่เบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์

หลินจือเดินตามนานิออกมาจากลิฟต์ เทาเท่ในชุดสูทสีดำเดินออกมาจากห้องทำงานของเจเทาวน์พร้อมด้วยผู้ช่วยของเขา และพวกเขาก็ช่างบังเอิญมาเจอกันที่โถงทางเดินเข้าพอดี

ในมือของนานิถือกาแฟอยู่แก้วหนึ่ง เธอจิบไปได้แค่คำเดียว เมื่อเห็นเทาเท่กาแฟที่ดื่มเข้าไปก็แทบพุ่งออกทันที พูดกับหลินจือที่อยู่ข้างๆว่า“ทำไมต้องซวยแบบนี้ด้วยเนี่ย ”

วันนี้หลินจือเพิ่งจบการศึกษาเพิ่มเติมแล้วกลับมาที่เมืองเจสเวิร์ด กำลังจะมาหาเจเทาวน์เพื่อยื่นเรื่องสมัครงานอย่างเป็นทางการ แต่แล้วก็มาเจอเข้ากับเทาเท่จนได้

นานิเหลือบมองหลินจืออย่างเป็นกังวล แต่กลับเห็นหลินจือมีท่าทีนิ่งและเงียบเฉย ราวกับอดีตสามีที่เย็นชาและหล่อเหลาตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จัก

หลินจือย่อมเห็นเทาเท่แน่นอน แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ตอนที่หย่ากันเธอก็ได้บอกกับตัวเองไว้แล้ว ต่อไปหากมีโอกาสได้เจอกันอีกก็จะทำราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน

เธอพูดเสียงเบากับนานิที่อยู่ข้างๆว่า“ ฉันไปหาประธานเจเทาวน์ก่อนนะ”

นานิพยักหน้าให้ หลินจือหลุบตาลงแล้วเดินผ่านเทาเท่ไปเข้าไปในห้องทำงานของเจเทาวน์ที่อยู่ข้างๆ

เพียงแต่ หลินจือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเทาเท่ แต่เทาเท่ กลับอดไม่ได้ที่จะมองตามเธอ

ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปี เธอกลายเป็นคนที่มองเห็นได้ในแวบแรกท่ามกลางผู้คน

เธอตัดผมดำที่ยาวสลวยของเธอทิ้ง และเปลี่ยนเป็นผมลอนสั้นที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ ดูแล้วทันสมัยและสวยงาม มีเสน่ห์และน่าหลงใหล

เธอแต่งหน้าได้งดงามและอ่อนละมุน ริมฝีปากที่น่าหลงใหล กับสไตล์ที่แตกต่าง ต่อให้จะยืนเคียงข้างกับนักแสดงดังอย่างนานิก็ไม่ได้ดูด้อยเลย

ตอนที่เธอเดินผ่านเขา ปลายจมูกของเขาได้กลิ่นหอมสดชื่นในแบบฉบับของหญิงสาว

เทาเท่คิดถึงค่ำคืนที่เร่าร้อนในคืนก่อนวันที่พวกเขาจะหย่ากันลูกกระเดือกก็อดไม่ได้ที่จะขยับขึ้นลง

“สวัสดีค่ะ ประธานเทาเท่” นานิเดินเข้ามาทักทายเขา

ดวงตาของเทาเท่จ้องมองไปที่ใบหน้าของนานิ และถามออกไปตรงๆว่า“เธอกลับมาเมื่อไหร่?”

นานิยิ้มแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ “ใครคะ?”

เทาเท่ขี้เกียจจะเล่นละครกับเธอ“ คุณรู้ว่าผมกำลังพูดถึงใคร”

นานิทำทีประหลาดใจ“อ๋อหลินจือเหรอคะ เธอเพิ่งมาถึงเมืองเจสเวิร์ดวันนี้ คุณว่าไหมคนเราถ้าดวงจะซวย แค่ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกก็ตายได้ ”

บ่งชี้ให้เห็นว่าหลินจือดวงซวยแค่ไหนที่เพิ่งกลับมาได้ก็มาเจอกับเทาเท่ซะแล้ว

เทาเท่ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบกลับเธอ“ จะเรียกว่าซวยได้ยังไงละครับ ต้องเรียกว่าคนเราถ้ามีวาสนาต่อให้อยู่ห่างไกลกันก็ได้มาพบเจอกัน”

นานิ“……”

โอ้ว้าว ที่เทาเท่พูดแบบนั้น อย่าบอกนะว่ายังอาลัยอาวรณ์หลินจืออยู่