บทที่ 146 บุคคลสำคัญมักมาถึงงานทีหลังเสมอ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 146 บุคคลสำคัญมักมาถึงงานทีหลังเสมอ
“นี่พวกท่านทำอะไรกันน่ะ?” หวังชียืนหน้าขรึมอยู่ที่ประตูใหญ่
เขาเป็นคุณชายตระกูลหวัง ควรจะยิ้มแย้มหรือจำเป็นต้องยิ้มแย้มอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้รอยยิ้มของหวังชีไม่สามารถขุดออกมาได้จริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินกับพี่ใหญ่ของเขาสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด สนิทสนมกันจนถึงขั้นป้อนอาหารกันราวกับว่าไม่เห็นผู้อื่นในสายตา
หวังชีกำหมัดแน่น เขาอยากจะต่อยคนยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินกับพี่ใหญ่ของเขาน่ะหรือ ไม่มีทาง เขารับไม่ได้เด็ดขาด
บรรยากาศหวานชื่นพลันถูกทำลายลง เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงผละออกจากกันในทันที
นี่มันอะไรกันนี่
เฟิ่งชิงเฉินถอยหลังไปเอนกับเก้าอี้ด้วยอาการหัวเสีย พลางใช้มือพัดไล่ความร้อนผ่าวออกจากหน้า
นี่นางเป็นอะไรของนาง เมื่อสองวันก่อนยังปฏิเสธการขอแต่งงานจากเขาเสียงแข็ง แต่วันนี้นางกลับ……
หรือนี่จะเป็นอุบายของหญิงสาว
เฟิ่งชิงเฉินคงจะมองออกแล้วว่าในงานกวีวันพรุ่งนี้ หวังจิ่นหลิงจะต้องโดดเด่นเพียงใด
ชายผู้นี้เปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ส่องแสงงามตา แม้จะกลบรัศมีใครต่อใคร แต่ก็ยังดึงดูดให้ผู้คนไปชิดใกล้
หากไม่ใช่เพราะได้พบเจอเสด็จอาเก้าเสียก่อน เฟิ่งชิงเฉินเองก็คงจะแอบหวั่นไหวต่อชายผู้นี้อยู่ไม่น้อย……
ก็หวังจิ่นหลิงดีเลิศขนาดนั้น
เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้า ไม่มองหน้าเขาอีก
“น้องเจ็ด เจ้ามาแล้วหรือ” ในตอนนี้หวังจิ่นหลิงอาการดีขึ้นมากแล้ว เขารีบก้าวเท้าถอยหลังไป 1 ก้าว เพื่อเว้นระยะห่างจากเฟิ่งชิงเฉิน
ดูเหมือนว่าเขากำลังปิดบังบางสิ่งบางอย่างอยู่ หวังจิ่นหลิงหยิบองุ่นขึ้นมาอีกลูกหนึ่ง คราวนี้เขาป้อนองุ่นใส่ปากของตัวเอง
แต่ทว่า……จังหวะที่เขากำลังกัดองุ่นอยู่นั้น หวังจิ่นหลิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า องุ่นที่ยังอยู่ในมือเขาจะกินก็ไม่ดี ไม่กินก็ไม่ดี อาการหน้าแดงที่พยายามข่มไว้ค่อยๆเปิดเผยทีละน้อย
อากาศวันนี้……ช่างร้อนจริงๆเลย
และสายลมเย็นสบายก็พัดผ่านมาพอดี หวังจิ่นหลิงจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“เมื่อครู่นี้พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่?” หวังชีไม่ยอมหยุด เขาจ้องตาหวังจิ่นหลิงด้วยสายตาตำหนิ
หากพี่ใหญ่คุมเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ ก็ไม่ควรไปคลุกคลีกับนาง คนอย่างเฟิ่งชิงเฉินทระนงจะตายไป ไม่มีทางยอมเป็นภรรยารองของพี่ใหญ่เด็ดขาด
ไม่สิ ดูจากสถานะของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ต่อให้เป็นแค่ภรรยารอง ตระกูลหวังก็ไม่อาจยอมรับได้
“ก็กินองุ่นอยู่อย่างไรล่ะ”
เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงตอบเป็นเสียงเดียวกันแถมยังเผลอไปมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะรีบหันหน้าหนีกันด้วยอาการขวยเขิน เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะแก้เขินเล็กน้อย แล้วนางก็ตัดสินใจกลับไปสู้สายตากับเขาอีกครั้งหนึ่ง
นางไม่ได้ทำเรื่องที่เสียหาย นางบริสุทธิ์ใจ
หวังชีสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว หากโวยวายไปก็ไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งนั้น เขาเดินไปหาคนทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม และเอ่ยถามแบบทีเล่นทีจริง “กินองุ่นอย่างนั้นหรือ? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะกินองุ่นทั้งที ต้องให้คุณชายใหญ่ตระกูลหวังเป็นคนป้อนให้ด้วยหรือนี่ ช่างวาสนาดีเสียจริง รู้ไหมว่าพี่ใหญ่ข้านั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เขาไม่เคยหยิบจับเพื่อผู้ใดเลยนะ ป้อนองุ่นให้ผู้อื่นนี่ก็เป็นครั้งแรก”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็หยิบองุ่นไปใส่ปาก
เปรี้ยวชะมัด!
แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยังปรากฏอยู่เช่นเดิม
“ใช่ ข้าวาสนาดี” เฟิ่งชิงเฉินจ้องหวังชีอย่างหงุดหงิด ไม่เห็นหรืออย่างไรว่านางก็กำลังเขินอยู่ ตาบ้านี่ถ้าไม่พูดมากจะถึงตายเลยหรือไง
“หวังชี มารับพี่ใหญ่ของท่านกลับจวนน่ะสินะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว เก็บข้าวของเสร็จก็กลับจวนได้เลย” เฟิ่งชิงเฉินพูดจบแล้วก็เอามือปัดฝุ่นผงที่ไม่ได้มีอยู่บนเสื้อผ้า
“จะรีบไปไหนล่ะ พวกข้ายังไม่รีบกลับหรอก” หวังชีไม่อยากปล่อยนางไปง่ายๆ เรื่องบางเรื่องรีบๆคุยกันให้แล้วเสร็จ จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
“พอดีข้ามีธุระต้องสะสาง เชิญสองคนพี่น้องคุยกันตามสบาย” เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากพูดอะไรมาก
หวังชีต้องการจะพูดต่อ แต่กลับถูกหวังจิ่นหลิงห้ามปรามด้วยสายตา
“ชิงเฉิน เจ้าจะไปเตรียมตัวเรื่องงานกวีในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่?” หวังจิ่นหลิงทำทีเป็นเอ่ยถาม ความอึดอัดเมื่อครู่นี้พอจะทุเลาลงบ้างแล้ว
หลังผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ไปแล้ว คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังจะต้องเกรียงไกรไปทั่วแคว้น เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ระยะห่างระหว่างเขาและเฟิ่งชิงเฉินก็จะยิ่งอยู่ไกลเกินเอื้อมขึ้นไปอีก
งานกวี?
เฟิ่งชิงเฉินเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินหวังจิ่นหลิงเอ่ยถึงจึงรีบพยักหน้า
“พรุ่งนี้จะไปกับข้าไหม?” หวังจิ่นหลิงเอ่ยชวน
แต่ด้วยสถานะของเฟิ่งชิงเฉิน นางคงจะถูกผู้คนภายในงานกวีต่อต้านเป็นแน่
“ข้าไม่อยากไปประกาศศึกสงครามกับแม่ผู้หญิงพวกนั้นหรอก” เฟิ่งชิงเฉินรีบปฏิเสธในทันที
“เฟิ่งชิงเฉิน นี่เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามีหญิงสาวมากมายที่อยากจะออกงานกับพี่ใหญ่ของข้า แต่พวกนางก็ไม่มีโอกาส” หวังชีที่ไม่ชอบเห็นเฟิ่งชิงเฉินกับหวังจิ่นหลิงสนิทสนมกัน แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด
พี่ใหญ่ของเขาดีเลิศกว่าผู้ใด หากไม่ติดที่เคยตาบอดมาก่อน คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังผู้นี้คงโด่งดังสะท้านภพไปนานแล้ว
อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเลย แม้จะเป็นถึงองค์หญิงก็ยังต้องรอดูอารมณ์ของพี่ใหญ่ของเขา
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าหวังชีเห่อพี่ชายของตนมาก นางจึงตอบกลับไปว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ ได้รับคำเชิญจากคุณชายหน้าหยกแห่งตระกูลหวังทั้งที นับเป็นโชคดีของข้าจริงๆ แต่เกรงว่านี่จะเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
เพราะคำตราหน้าว่าเป็นพระคู่หมั้นของลั่วอ๋องทำให้ผู้คนติฉินนินทานาง และถึงขั้นปองร้ายนาง หากนางไปออกงานร่วมกับคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง ก็เหมือนเอาหน้าไปให้คนฉีกเล่น……
อย่าลืมว่าคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง ในภายภาคหน้าก็จะต้องเป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลที่สูงศักดิ์ สถานะไม่ได้ด้อยไปกว่าตงหลิงจื่อลั่วเท่าใดนัก หากจะพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกและการวางตัวแล้ว หวังจิ่นหลิงดีกว่าตงหลิงจื่อลั่วเป็นไหนๆ ผู้ชายเช่นนี้ มีแต่จะทำให้หญิงสาวมากมายหลงใหลจนอาจจะถึงขั้นขาดสติเสียด้วยซ้ำ
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาในสังคมและต้องถูกหญิงสาวเหล่านั้นปองร้าย
แค่องค์หญิงอันผิงเพียงคนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว หากมีหญิงใดมาเพิ่มอีกนางคงรับไม่ไหว
หวังจิ่นหลิงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่บังคับ เจ้าเคยไปเฉิดฉายในงานเทศกาลดอกท้อ นี่เป็นแค่งานกวีเล็กๆเจ้าคงไม่สนใจ”
ในงานกวีเขาไม่อาจช่วยเฟิ่งชิงเฉินได้มากนัก
เพราะภายในงานนี้แข่งกันด้วยบทประพันธ์ เขาไม่อาจช่วยเฟิ่งชิงเฉินแต่งบทประพันธ์ได้
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ถนัดเรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอน หากข้าไปเข้าร่วมงานกวีประเดี๋ยวจะทำให้งานคึกคักเสียเปล่าๆ” นางไม่สันทัดเรื่องภาษาเลยจริงๆ
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ให้เจ้าไปกับพวกน้องหญิงของข้า?” หวังชีเอ่ยถาม
“ไม่ล่ะ งานกวีวันพรุ่งนี้ ตระกูลหวังของพวกท่านเป็นบุคคลสำคัญของงานนี้ คงจะไปถึงงานช้าหน่อย แต่อย่างข้าคงจะต้องรีบไปถึงงานแต่เนิ่นๆ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าไปเองได้” เฟิ่งชิงเฉินเก็บกล่องยาเพื่อเตรียมจะออกไป “พวกท่านเก็บของตามสบาย เก็บของเสร็จก็กลับได้เลย ข้าคงไม่ได้ไปส่ง พรุ่งนี้เจอกันในงานกวีนะ”
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว ภายในเรือนเล็กก็เหลือเพียงหวังจิ่นหลิงและหวังชีสองพี่น้อง หวังชีจึงไม่พูดอ้อมค้อม เขามองเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไปพร้อมเอ่ยปากออกมาว่า “พี่ใหญ่ อย่าไปยุ่งกับเฟิ่งชิงเฉินเลย ตระกูลหวังไม่มีทางยอมรับให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเราแน่”
“น้องเจ็ด เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้ากับเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น”
หวังจิ่นหลิงเหม่อมองผลองุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ นิ้วที่ถูกเฟิ่งชิงเฉินกัดยังระบมอยู่เล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว พี่ใหญ่ พวกเรากลับกันเถอะ ท่านพ่อกับท่านปู่กำลังรอคุยเรื่องงานวันพรุ่งนี้กับท่านอยู่ที่จวน งานกวีวันพรุ่งนี้มีความสำคัญต่อท่านมากเลยนะ” หวังชีกล่าว
พี่ใหญ่ของเขารู้ดีว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว
หวังจิ่นหลิงพยักหน้า เขามองดูจวนเฟิ่งด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในใจ
ต่อจากนี้ไป คงไม่มีโอกาสมาค้างที่จวนเฟิ่งแล้วสินะ
หากเขาไม่ยืนกรานหนักแน่น เจ็ดวันมานี้ ตระกูลหวังไม่มีทางยอมให้เขามาพักที่จวนซอมซ่อเช่นนี้เป็นอันขาด มันไม่คู่ควรกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังเอาเสียเลย
หวังจิ่นหลิง เมื่อเขาก้าวเท้าออกจากที่แห่งนี้ไปแล้ว เขาก็จะกลายเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหวังที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่ของผู้ที่เป็นคุณชายใหญ่……
ราชวงศ์กำลังทรงอำนาจ ซึ่งส่งผลต่อตระกูลหวัง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ตระกูลหวังคงต้องเผชิญกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่
เกิดเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหวังจะปล่อยให้เรื่องอารมณ์ส่วนตัวเป็นใหญ่ไม่ได้ สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ คือการผนึกกำลังของคนในตระกูล เพื่อให้ตระกูลแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับราชวงศ์ได้