เจียงหยวนได้สบถออกมาทีหนึ่ง ก่อนที่จะนำผ้าคลุมดำออกมาจากถุงเก็บของแล้วโยนไปตรงหน้าหลิวเฟิง
“ปะเป็นท่านเหรอ”
หลิวเฟิงที่เห็นผ้าคลุมดำนี้ก็จดจำได้ในทันที พร้อมปากที่เปิดอ้าเล็กน้อยอย่างแข็งค้างหลังพูดจบ พร้อมใจที่มึนเบลอราวกับโดนสายฟ้าฟาด
เจียงหยวนที่ได้ยินก็ใช้พลังฟ้าดินกดเส้นเสียงแล้วพูดออกมา “ใช่ เป็นข้าเอง”
“ชะช่างลึกล้ำนัก เด็กนี่เป็นสัตว์ประหลาดเป็นแน่”
ในตอนนี้ คลื่นความคิดประหลาดได้ถาโถมเข้าสู่หัวใจของหลิงเฟิง พร้อมใจที่อยากจะหนีใจจะขาด นี่ไม่ใช่เพราะความทรงพลังที่เจียงหยวนแสดงให้เขาเห็น แต่เป็นความสุขุมที่เขาได้พบเจอมาจนมาถึงตอนนี้
และในวันนี้ เขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าจะเอาชนะเจียงหยวนได้แม้แต่น้อย
หลิวเฟิงได้แข็งใจแล้วพูดออกมา “มันเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของท่านที่สั่งให้ทำ ข้าหวังว่านายน้อยจะยอมปล่อยพวก…”
เจียงหยวนพยักหน้ารับในทันทีราวกับว่าสถานการณ์ทุกอย่างตกอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “อืม ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ แต่ว่า ทำไมข้าต้องปล่อยพวกเจ้าไปด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลิวเฟิงที่ในตอนนี้เหงื่อแตกไปทั่วทั้งตัวได้ทรุดตัวลงกับพื้นในทันทีก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “นายน้อย ข้าสาบานว่าจะทำทุกอย่างให้กับท่าน โปรดปล่อยข้าไปเถิด”
“นายน้อย พะ..พวกเราเองก็สาบานเช่นกันว่าจะรับใช้ท่านอย่างสุดความสามารถ”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ลูกพี่ของตนก็ยังต้องคุกเข่าให้ เหล่าคนของหลิวเฟิงที่ถูกส่งลอยออกไปก็รีบเร่งคุกเข่าให้กับเจียงหยวนในทันที
“ดี ข้ามีเรื่องบางอย่างที่จะไหว้วานพวกเจ้าอยู่พอดีเหมือนกัน”
เจียงหยวนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“นายน้อย เชิญพูดออกมาได้เลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของหลิวเฟิงที่ในตอนแรกราวจะจุกอยู่ที่คอหอยก็กลับไปอยู่กับที่อย่างโล่งสบาย
“ตามข้ามา”
…
สี่วันได้เลยผ่านไป
คำคืนที่เงียบสงบได้กลายเป็นครึกครื้นขึ้นมา
ที่ห้องโถงตระกูลหวัง
“วันนี้ งานประมูลจะต้องราบรื่น และเจ้าต้องลอบเข้าไปในห้องประมูลส่วนตัวแล้วใส่ถุงยานี่ลงในถ้วยชาของเจียงเหวิ่นให้ได้”
ในขณะที่จ้องมองไปยังคนใช้ตรงหน้า หวังเย่ก็ได้พูดแผนการของตนออกมา
“ขอรับ นายผู้เฒ่า”
หวังเย่ที่ในตอนนี้คิ้วขมวด ได้เขย่าถุงชาของตน พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา
“ไม่มีโอกาสให้เจ้าทำผิดพลาด หากเจ้าทำพลาดเพียงก้าวเดียว มันจะนำพาหายนะมาสู่ตระกูลหวังของพวกเรา”
“และเจ้าเองก็ต้องรับผลกรรมจากหายนะที่เจ้ากำลังคิดจะก่อ”
เป็นตอนนี้ที่เสียงหนึ่งดังออกมาจากนอกห้องโถง
หวังเย่ที่ได้ยินก็นึกลัวจนเผลอปัดแขนขวาของตนออกไป ทำให้ถ้วยชาตกอยู่กับพื้นห้องโถงในทันที
“ใคร”
หลังจากตื่นจากอาการตกใจ หวังเย่รีบมองออกไปที่ประตูในทันที
เป็นชายหน้าบากคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
“ไม่ต้องส่งเสียงโหวกเหวกไปหรอกน่า สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังของข้าแล้ว ไม่มีเสียงใดที่จะเล็ดลอดออกไปได้”
เมื่อพูดจบ หลิวเฟิงได้นั่งลงที่ข้างหวังเย่
หวังเย่ที่จดจำหลิวเฟิงได้ จิตใจของเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ก่อนจะถามออกมา “ทำไมกลุ่มหัวเสือถึงต้องมาย่ำน้ำโคลนด้วยเล่า”
“แหม่ ก็ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเจียงบังคับข้าซะขนาดนี้ แล้วข้าจะไม่มาได้เยี่ยงใด”
หลิวเฟิงได้ยิ้มกริ่มออกมาพร้อมกับมองไปที่ด้านนอกของประตู
หวังเย่ที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็คิดเพียงว่าหลิวเฟิงเองก็ถูกเจียงหลี่จ้างวานมาจึงได้กระซิบบอกไป “พวกเราต่างก็เป็นคนของผู้อาวุโสสูงสุดและเจียงหวู่ แล้วท่านมาทำไมกัน”
“เขาเป็นคนของข้าน่ะ”
เป็นตอนนี้ที่เสียงของเจียงหยวนได้ดังขึ้นมา
“นายน้อยใหญ่รึ”
เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เข้ามา หวังเย่ก็นึกกลัวขึ้นมาจับใจในทันที เจียงหยวนเคยมีเรื่องกับเจียงหลี่มาก่อนหน้าเพียงหญิงรับใช้ของตน เรื่องนี้แม้แต่เขาเองก็ได้ยินมา
“เฮ้ออออ ข้าไม่ใช่นายน้อยอีกต่อไปแล้วนา แต่ก็นะ ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องพ่อของข้า นั่นก็ถือได้ว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
เจียงหยวนพูดพลางแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นยะเยียบ พร้อมกับที่มีกระบี่ขนาดสามนิ้วได้ปรากฎโดยการก่อร่างของชีพจรยุทธของเจียงหยวนได้จ่อไปที่คอของหวังเย่แล้วในตอนนี้
นี่เองทำให้เหงื่อที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลออกมาจากหน้าผากของหวังเย่ พร้อมใจที่สั่นกลัวจนพูดอ้อนวอนออกมา “นายน้อยใหญ่ โปรดปล่อยข้าไปเถิด”