ตอนที่ 290 เหยียนซือหนิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 290 เหยียนซือหนิง

ราวกับว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เดินชมสวนแพร์จนทั่วแล้ว เพียงแค่ฟังตนสาธยายเกี่ยวกับวัดวาแห่งแคว้นฝานเพียงเท่านั้น เขาก็สามารถสร้างสรรค์บทกวีมาได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังสามารถขับกล่อมออกมาอย่างวิจิตรบรรจงถึงเพียงนี้ !

งานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงครานี้ผู้ใดจะสามารถฟาดฟันเอาชนะเขาได้กัน ?

เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนได้หันหน้าไปมองแสงของดวงดารานอกหน้าต่าง เขายกจอกสุราขึ้นกระดกจนหยดสุดท้าย แล้วกล่าวบทกวีออกมาจนจบบท

“ดั่งบังอรผู้หาญกล้า ทีท่าอรชร กมลมั่นแลสูงส่ง

สารพันน้อยใหญ่ใคร่ประสงค์ หอมบุษบงมิแม้นเหมือน

เกรียงไกรส่องสะเทือน เดื่อนดุจพรสวงสวรรค์ ปักธรณินไซร้ยากแยกแยะ

มองจากถิ่นสุราลัย แสนวิสุทธ์สกาวตา

……

บทกวีทั้งบทได้จบลงเพียงเท่านี้ เวลานี้ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใด ๆ แต่ทว่าราวกลับมีเสียงดนตรีบรรเลงเคล้าคลออย่างแผ่วเบา ชวนให้เคลิบเคลิ้ม

แต่ช่วงเวลาที่ขับลมหายใจเข้าออกได้เพียงสิบครา ฝานเทียนหนิงก็ได้ลุกขึ้นมาคำนับต่อฟู่เสี่ยวกวนด้วยความหนักแน่น “ท่านพี่ฟู่ผู้มากความสามารถ น้องชายผู้นี้มิอาจเทียบเคียงอันใดได้เลย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “น้องฝานชมข้าเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่ประพันธ์ตามอารมณ์เท่านั้น เพียงแค่ต้องการให้บรรยากาศของวงสนทนาของพวกเราน่ารื่นรมย์ขึ้นก็เท่านั้น”

ฝานเทียนหนิงได้เกิดความศรัทธาต่อฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเป็นทวีคูณ ชายหนุ่มผู้เป็นอัจฉริยภาพเช่นนี้แต่กลับถ่อมตนยิ่งนัก มิแปลกใจนักว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงเกิดความเคารพต่อเขามากถึงเพียงนี้

อาจารย์ของฝานเทียนหนิงนั้นเป็นนักปราชญ์แห่งแคว้นฝาน เป็นมหาบัณฑิตประจำตำหนักเหวินยวนและเป็นอาจารย์ของจางเสี่ยวหร่านมกุฎราชกุมารแห่งแคว้นฝานเช่นกัน !

ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้นี้มาก่อน เขานั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในแคว้นฝาน มีชื่อเสียงเสียยิ่งกว่าชางกวนเหวินซิ่วผู้โด่งดังแห่งราชวงศ์หยูเสียอีก

ฝานเทียนหนิงยังคงจำคำกล่าวของอาจารย์ในวันที่ออกเดินทางมาอาณาเขตของแคว้นฝานได้อย่างตราตรึง “ในด้านบทกวีฟู่เสี่ยวกวนนั้นไร้เทียมทานยิ่งนัก เช่นนั้นท่านอย่าได้ทรงใส่พระทัยกับชัยชนะหรือความแพ้พ่าย จงมีมิตรไมตรีแก่เขา หากสามารถเชื้อเชิญเขามายังแคว้นฝานได้นั้นจะถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอันสูงสุดของการเดินทางในครานี้ ”

ฝานเทียนหนิงนั้นเข้าใจความหมายของอาจารย์ได้อย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุเช่นนี้แล้วการเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปเยี่ยมเยือนแคว้นฝานนั้นจึงเป็นสิ่งที่เขารอคอยมากที่สุด

จากบทสนทนาเมื่อครู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เปรยไว้ว่าปีนี้เขาแทบจะไม่มีเวลาซึ่งได้ทำให้ฝานเทียนหนิงผิดหวังยิ่งนัก แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีอายุเพียงเท่านี้แต่กลับไต่เต้าขึ้นมาเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ได้ คาดว่าจะมีงานราชการให้บริหารเสียมากมาย หากว่านัดเป็นปีหน้า อ่า…ไม่ เมื่อกลับแคว้นแล้วจักไหว้วานให้เสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการ หากเรียนเชิญฟู่เสี่ยวกวนมาในนามของแคว้นแล้วนั้นเรื่องนี้ก็จะเป็นหนึ่งในงานราชการของฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน และเขาต้องมาเยือนแคว้นฝานอย่างแน่นอน

เมื่อมีแผนไว้ในใจแล้ว ฝานเทียนหนิงได้เปิดฝาขวดสุราออกแล้วรินจนเต็มแก้วให้ฟู่เสี่ยวกวนอีกครา

“สำหรับท่านพี่นั้นอาจจะเป็นเพียงแค่กวีที่แต่งขึ้นมาตามอารมณ์ แต่สำหรับน้องชายนั้น นี่เป็นสุดยอดแห่งกวี ท่านพี่ฟู่ พวกเรามาชนจอกด้วยกันอีกคราเถิด ให้แก่ไร้ซึ่งปรารถนา บทกวีสวนแพร์แห่งตำหนักเสียนฉิง ! ”

แล้วทั้งสองคนก็ชนจอกกันอีกครา

อู่หลิงมิได้เข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อชนจอกแสดงความชื่นชม แต่นางกลับกำลังอ่านบทกวีของเขาอย่างพินิจพิจารณา

นางพึมพำออกมาเบา ๆ “คำประพันธ์ท่อนบนนั้นได้กล่าวถึงดอกแพร์โดยการนำคำว่าขาวนวลและปานหิมะพรรณนาถึงความไร้มลทินของดอกแพร์ อีกคำหนึ่งก็คือ หนาวเหน็บ ราวกับทำให้ดอกแพร์นั้นเบ่งบานภายใต้แสงจันทร์ผ่องอำไพ สะท้อนรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนยิ่งนัก ดุจสวรรค์บนดิน แสงจันทร์นวลผ่อง ดอกไม้ขาวปานหิมะ ทั้งหมดนี้ทำให้ดอกแพร์นั้นแลดูเลอค่ายิ่งนัก ! ”

ซูซูได้มองบทกวีบนโต๊ะอย่างใช้สมองใคร่ครวญ ระหว่างคิ้วของนางนั้นเต็มไปด้วยความใคร่รู้ แล้วจึงโพล่งถามออกมา “บังอรผู้หาญกล้าหมายถึงผู้ใด ? ”

อู่หลิงหัวเราะร่า “ ในคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อบทอิสระจร ได้กล่าวไว้ว่า ณ ภูเขากูเช่ออันไกลโพ้น มีผู้วิเศษพำนักอาศัยอยู่ ผิวพรรณของนางขาวผ่อง ดั่งสาวบริสุทธิ์ผู้เบิกบาน ท่านพี่ฟู่ได้อ้างอิงบังอรผู้นั้นมาจากบทนี้ แล้วนำมาอุปไมยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและท่าทีสงบเสงี่ยมของดอกแพร์ไงเล่า”

“อ่า…” ซูซูไม่เข้าใจแต่ก็แสร้งว่าเข้าใจ นางชายตาไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา พลันนึกคิดในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างมีความรู้มากยิ่งนัก

อู่หลิงเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนเล็กน้อย นางคิดว่าครานี้ได้ใช้ดอกแพร์ในการบรรยายความรู้สึก หรือทว่าในใจเขาจะรู้สึกไร้ซึ่งความปรารถนาใด ๆ อย่างแท้จริง ?

เมื่อเมิ่งซีดึงสติของตนกลับมาได้อีกครา นางจึงเดินไปข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนแล้วถอนสายบัว จากนั้นนางจึงเอ่ยถามด้วยความรอคอยยิ่ง “ขออนุญาตเจ้าค่ะคุณชาย มิทราบว่าบทกวีนี้ข้าน้อยสามารถคัดลอกและใส่ทำนองบรรเลงได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”

หากได้ครอบครองบทกวีนี้แล้วชื่อเสียงของนางจะต้องเป็นที่เลื่องลืออย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ข้าจะทวงคืนพื้นที่ทะเลสาบสิบลี้และหลิวหยุนถายมาให้ได้ !

ความหมายของบทกวีนี้ช่างเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง และเป็นบทกวีบทแรกของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อมาถึงอาณาเขตของแคว้นอู๋ และชื่อของบทกวีนั้นมีตำหนักเสียนฉิงสามคำนี้อยู่ด้วย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนี่เป็นบทกวีที่ถูกประพันธ์ออกมาโดยฟู่เสี่ยวกวน

หากไปหาเฟิงเย่วให้นางประพันธ์ทำนองให้ แล้วนางเป็นผู้ร้องนำ พวกนกกาแห่งทะเลสาบสิบลี้มิมีทางเทียบนางได้เป็นแน่ !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แยแสต่อคำขอนี้มากนัก เขาจึงพยักหน้าเพื่อบอกเป็นการตอบรับคำขอ

เมิ่งซีดีใจดั่งได้เม็ดพลอย นางรีบไปหยิบกระดาษแล้วนำมาคัดลอกบทกวี ไร้ซึ่งปรารถนา บทกวีแห่งตำหนักเสียนฉิงนี้ด้วยความตั้งใจแน่วแน่

ทันใดนั้นอู่หลิงเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา นางนำกระดาษแผ่นต้นฉบับนั้นพับเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องจ้องมองนางพับกระดาษแผ่นนั้นเข้าชายแขนเสื้อด้วยสายตามิพอใจนัก

“ฮ่า ๆ พี่สาวทั้งสองนั้นมีบันทึกหมึกพู่กันของเขาอยู่แล้ว บทกวีนี้น้องสาวขอเก็บโดยพละการเสียเลยก็แล้วกัน”

ฝานเทียนหนิงรู้สึกเสียดายยิ่ง แต่ทุกบททุกคำของบทกวีนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในสมองของเขาแล้ว เขาเลยมิได้เก็บเอาเรื่องนี้มาคิดเล็กคิดน้อย

มีเพียงแค่ต่งชูหลานเท่านั้นที่คอยหยุดยั้งปากของตนมิให้เอ่ยสิ่งใดออกมา แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดใจก็ตาม

สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดเข้ามาทางหน้าต่างและได้พัดน้ำค้างเข้ามาด้วย ราวกับมีกลิ่นหอมของดอกแพร์เจือจางลอยล่องมาตามลม

ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บอยู่เล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนดื่มจนเมาแล้ว บัดนี้ผู้คนทั้งคณะก็ได้เดินทางออกจากตำหนักเสียนฉิง แล้วนั่งรถม้ากลับหอต้อนรับ

ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางออกไปได้เพียงแค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น อาคารท่ามกลางสวนลูกแพร์แห่งนี้ก็ได้มีคนผู้หนึ่งเหินเวหาเข้ามาเยือน

มือเขาถือไหสุราบนหลังของเขาได้แบกดาบเล่มหนาเอาไว้ เขาหกเหินมาจากแม่น้ำหลีสุ่ยแล้วบินเข้ามาทางหน้าต่างบานที่เปิดอ้าอยู่ เขาเหินไปหยุดอยู่บนชั้นสองของอาคารแล้วนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวที่คณะของฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ก่อนหน้านี้

เมิ่งซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวนั้นเช่นกัน นางเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ได้ก้มลงเชยชมบทกวีที่เพิ่งคัดลอกมาเมื่อครู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

เมื่อยิ่งอ่านนางก็ยิ่งชื่นชอบมากขึ้น ใบหน้านั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นเป็นระลอก ๆ

ชายหนุ่มผู้นั้นที่กำลังดื่มสุราอยู่ก็ได้เข้าไปร่วมวงด้วย หลังจากนั้นเพียงครู่ชายหนุ่มก็ได้เลิกหัวคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยแล้วจึงเอ่ยถาม “ผู้ใดประพันธ์บทกวีนี้กัน ? ”

“ฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มอัจฉริยะแห่งราชวงศ์หยู ! ”

ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึงมากยิ่งนัก “ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? คืนนี้เขามาที่นี่เยี่ยงนั้นรึ ? ”

เมิ่งซีพยักหน้าเล็กน้อย “มากันเป็นหมู่คณะแต่ดื่มสุราหมดไปเกือบครึ่งของที่กักตุนไว้ แล้วถือจังหวะที่เขาเริ่มมึนเมาประพันธ์บทกวีนี้ขึ้นมา”

ชายหนุ่มผู้นั้นได้มองบทกวีด้วยความตั้งอกตั้งใจเช่นกัน สองคิ้วนั้นได้ผูกกันเป็นปมเล็กน้อย สีหน้าที่แฝงไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางนั้นได้เลือนลางหายไป จากนั้นก็ได้รู้สึกขึงขังขึ้นมาเล็กน้อยราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เขาก็ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแล้วสีหน้าถากถางไม่เป็นมิตรเช่นเดิมก็กลับมาประดับบนใบหน้าของเขาอีกครา

“เมิ่งซี ยามนี้ดึกมากแล้ว”

เมิ่งซีชำเลืองตามองชายหนุ่มแล้วเบ้ปากเล็กน้อย “ซือเหยียน ต้องขออภัย คืนนี้ข้ามิสะดวกจริง ๆ ”

“มาแล้วหรือ ? ”

“อืม”

เช่นนั้นแล้วคงมิสะดวกจริง ๆ

ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเหยียนซือหนิง บุตรชายของคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนและคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ !

เขาเป็นเจ้านายน้อยของตำหนักเสียนฉิงแห่งนี้ แต่เขากลับมิได้แยแสที่จะมาจัดการกิจการนี้เลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับผู้ที่เป็นบิดาเมื่อปีกลาย เขาก็ไม่คิดจะกลับมาจับดาบอีกเลย เขามักจะถือสุราไหใหญ่ไว้ในมือเสมอ

เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดสมญานามคลั่งกระบี่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับได้สมญานามเป็นคนคลั่งสุรามาแทน

เขาไม่เคยคิดจะเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ จะเป็นกระบี่หรือสุรานั้นมันมิได้สำคัญอันใดมิใช่รึ ?

ข้าไร้ซึ่งความปรารถนาอื่นใด ชาตินี้ข้าขอเพียงแค่ได้ประพันธ์บทกวีเพื่อเป็นเกียรติแก่ภาพวาดเป็ดหยวนยางผู้เศร้าโศกา และทำให้ความตั้งใจของท่านแม่สำเร็จลุล่วง นี่คือความตั้งใจหนึ่งเดียวที่ข้ามี

ประพันธ์บทกวีเยี่ยงนั้นหรือ ?

ช้าก่อน !

ฟู่เสี่ยวกวน !

เขาโพล่งถามขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวนไปที่แห่งใดกัน ? ”