ตอนที่ 291 กลัดกลุ้มใจ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 291 กลัดกลุ้มใจ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 สิบหกค่ำเดือนสาม ย่ำสู่กลางฤดูใบไม้ผลิ เหล่าวิหคอพยพกลับรังเดิม

ขบวนคณะทูตของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางออกจากเหมืองฝานหนิงไปสู่เมืองกวนหยุนอย่างเกรียงไกรภายใต้การนำทางของเหล่าขุนนางกรมพิธีการ ส่วนกวนถงนั้น…เมื่อวานเขาได้ตากฝนเสียครึ่งค่อนวันประจวบกับอารมณ์เดือดดาลจึงได้ล้มป่วยลงเสียจนแทบจะเดินเหินดังเดิมมิได้ เช่นนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองฝานหนิงจนกว่าจะหายดี

บัดนี้ระยะทางไปยังเมืองกวนหยุนเหลือเพียงแค่ร้อยกว่าลี้ ในระยะร้อยกว่าลี้นี้เป็นเนินเขาแทบทั้งสิ้น ดังนั้นขบวนจึงเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า

อู่หลิงนำข้ออ้างที่ว่าต้องการสนทนาเรื่องการค้ากับสองนางแห่งราชวงศ์หยูกระโดดขึ้นรถม้าของหยูเวิ่นหวิน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นโดนต่งชูหลานไล่ลงจากรถ เขาจึงกลับไปนั่งบนรถม้าของตนด้วยความเบื่อหน่าย

เวลานี้เขากำลังนั่งอ่านจดหมายลับ

เมื่อคืนก่อนที่ได้พูดข่มเหยียนหานยู่เรื่องศึกทางชายแดนตะวันออกนั้นล้วนแต่เป็นคำพูดปดทั้งสิ้น หลังจากองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนได้เข้าไปคุมชายแดนด้วยตนเองก็มิสามารถขับไล่กองทัพของแคว้นอี๋ให้ถอยร่นไปจนถึงเขตซางยู่ได้ กองทัพแห่งแคว้นอี๋มิได้ถูกโจมตีจนเละเป็นดินโคลน และข่าวคราวสถานการณ์ล่าสุดที่ได้รับมาจากหอซี่หยู่นั้นเป็นเช่นนี้

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 ยี่สิบค่ำเดือนสอง ตัวข้าและศัตรูสู้รบอยู่ที่เนินสิบลี้ รวมพลทหารทั้งสองฝั่งกว่าสองแสนหกหมื่นนาย ฝีมือการสู้รบของทั้งสองฝั่งสูสีกันยิ่ง

สงครามเริ่มตั้งแต่ยามฟ้าสาง แม่ทัพเฟ่ยได้นำกำลังกองทหารม้าหนักกว่าห้าหมื่นนายบุกเข้าโจมตีบนเนินสิบลี้ ยามสายกองทัพได้ทลายฐานที่มั่นคงของศัตรูได้สำเร็จ จากนั้นกองทหารม้าเบาของทั้งสองฝั่งได้มาประจันหน้ากัน ศัตรูได้ถอยทัพร่นไปจนถึงกวนซานจี๋

ทว่ากำลังพลของข้าบาดเจ็บล้มตายและพิการจำนวนมาก สงครามยืดเยื้อจนถึงรุ่งสางของอีกวัน ทั้งสองฝ่ายต่างยุติการรบ กองทัพของข้าก็ยังมิสามารถบุกโจมตีกวนซานจี๋ได้สำเร็จ

จากการสำรวจโดยคร่าว ๆ กองทหารม้าหนักทั้งหมด 50,000 นายตายกว่า 16,000 นาย บาดเจ็บอีก 20,000 นาย ในจำนวนนั้นบาดเจ็บสาหัสกว่า 5,000 นาย สามารถทำศึกต่อได้เพียงแค่ราว 20,000 นายเท่านั้น

กองทหารม้าเบาของข้ากว่า 60,000 นาย ที่ยังสามารถทำการศึกได้มีเพียง 40,000 นายเท่านั้น

ยามดึกคืนนั้น

แม่ทัพเฟ่ยได้นำกองทหารม้าหนักบุกโจมตีกวนซานจี๋ ครานี้ข้าศึกโดนโจมตีอย่างไม่ลดละ แต่มิอาจตีฐานที่มั่นให้แตกพ่ายได้ เมื่อยามรุ่งมาเยือนข้าศึกบุกโจมตีกลับ แล้วยึดกวนซานจี๋ไว้ได้อีกครา

ยี่สิบสามค่ำเดือนสอง หลังจากที่องค์ชายใหญ่ทรงออกคำสั่งให้กองทหารม้าเบากว่า 20,000 นายเดินทัพอ้อมฮวาซีและให้แม่ทัพเฟ่ยไปยังกวนซานจี๋ แม่ทัพเฟ่ยได้นำทัพกองทหารม้าหนักกว่า 15,000 นายจู่โจมกองกำลังของศัตรูที่กวนซานจี๋

ยี่สิบห้าค่ำเดือนสอง ศึกครานี้ลุล่วงตามความคาดหมาย กองกำลังของข้าได้ทวงคืนกวนซานจี๋ได้สำเร็จ ข้าศึกได้ถอยทัพไปจนถึงแนวป้องกันเขตซางยู่

แม่ทัพเฟ่ยถือเห็นฤกษ์งามยามดีที่คว้าชัยเหนือศัตรูมาได้จึงต้องการไล่โจมตีต่อ แต่ทว่าถูกองค์ชายใหญ่ห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน เหตุเพราะบัดนี้กองกำลังกว่า 300,000 นายได้เหลือเพียง 100,000 นายเท่านั้นที่สามารถสู้รบต่อได้ และส่วนมากเป็นกองทหารราบ

จากนั้น กองทัพของข้าได้เสริมกำลังป้องกันแนวเขตกวนซานจี๋ ฐานพำนักขององค์ชายใหญ่ได้เคลื่อนมาอยู่ที่กวนซานจี๋ด้วยเช่นกัน

หนึ่งค่ำเดือนสาม กองทัพของข้าศึกได้รวมตัวขึ้นอีกคราโดยมีกองกำลังมาหนุนมากกว่า 80,000 นาย ภายใต้การคุมกองทัพของแม่ทัพใหญ่เฟิงเซี่ยนชูที่บัดนี้ได้นำกองทัพหงหลิงมาถึงอย่างท้วมท้นเกินต้านทาน

ฝั่งข้านั้นได้ตั้งหลักรักษาการณ์ที่กวนซานจี๋ ห้าวันให้หลัง กองทัพของข้านั้นไร้สิ้นเสบียง ครานี้ฐานที่กวนซานจี๋จึงแตกพ่าย !

แม่ทัฟเฟ่ยนำทหารพิการ เหล่ากำลังรักษาการณ์และองค์ชายใหญ่ถอยจากกวนซานจี๋แล้วกลับไปตั้งหลักที่เนินสิบลี้อีกครา

วันถัดมา กรมยุทธนาการได้ส่งปืนใหญ่มา 25 กระบอก

ข้าศึกได้รุกล้ำมาจนถึงเนินสิบลี้ นี่คือคราแรกที่กองทัพของข้าได้ใช้ปืนใหญ่ในการศึก

ช่างทรงพลังดั่งฟ้าพิโรธ เสียงสนั่นดั่งมังกรผงาด !

กระสุนปืนใหญ่ได้ตกไปยังฐานทัพชั่วคราวของข้าศึก ม้าศึกจำนวนไม่น้อยขวัญกระเจิง และเหมือนว่าได้ทำลายฐานทัพของข้าศึกเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ หนีตายกันจ้าละหวั่น แม่ทัพเฟ่ยสั่งการให้ยิงปืนใหญ่อีกคราข้าศึกร่นถอยแพ้พ่าย ด้วยจำนวนกำลังพลของข้ามิอาจทำการศึกได้ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วนั้นมิอาจโจมตีกองทัพศัตรูได้เต็มที่ และแล้วทั้งสองฝั่งได้มาประจันหน้ากันที่เนินสิบลี้อีกครา

แปดค่ำเดือนสาม กองทัพข้าศึกได้บุกโจมตีอีกครา ครานี้พวกมันได้เอาก้อนฝ้ายอุดหูม้าศึกเอาไว้ แม้นว่าปืนใหญ่จะมีอานุภาพท่วมท้นเพียงใด แต่ทว่าด้วยจำนวนที่น้อยนิด จึงเป็นเหตุให้สังหารศัตรูได้อย่างจำกัด จนกระทั้งสิบค่ำเดือนสาม ฐานที่เนินสิบลี้ได้แตกพ่าย

กองทัพข้าได้ถอยกลับมาตั้งหลักที่เมืองหลานหลิง

เมื่อสามค่ำเดือนสามฝ่าบาททรงรับสั่งให้กองทัพชายแดนใต้ 150,000 นายออกเดินทัพจากหลานหลิง

……

ท้ายที่สุดก็ยังมิวายปราชัยแก่ศัตรู

ฟู่เสี่ยวกวนวางจดหมายลับฉบับนี้ลง เขาเลิกผ้าม่านขึ้นมา แล้วจึงหยิบจดหมายลับอีกฉบับขึ้นมาอ่าน

จดหมายลับฉบับนี้มาจากขนส่งซีซาน

ภัยพิบัติเนื่องจากหิมะและความหนาวเหน็บที่ซานซีได้นำความเสียหายมาให้อย่างใหญ่หลวง กระทั่งยี่สิบค่ำเดือนสอง ความหนาวได้คร่าชีวิตผู้คนในหย่งหนิงโจวไปแล้วกว่าหมื่นรายด้วยสาเหตุความหนาวหรือหิวโซจนถึงแก่ความตาย กงเซินจ่างแห่งภูเขาผิงหลิงได้ฉวยโอกาสนี้ในการนำกองทัพสวรรค์บุกโจมตีเมืองหย่งหนิงซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของหย่งหนิงโจว

เมืองหย่งหนิงได้มีหนอนบ่อนไส้แฝงตัวอยู่ ประตูเมืองถูกเปิดด้วยฝีมือของทหารที่เฝ้ารักษาการเสียเอง

จากการสืบค้นก็พบว่าจือโจวแห่งเมืองหย่งหนิงและทหารรักษาการณ์ล้วนแต่เป็นคนของตระกูลชือทั้งสิ้น

หลังจากที่กงเซินจ่างบุกเข้าเมืองไป กองทัพสวรรค์ 50,000 นายได้บุกปล้นสะดมติดต่อกันสามวันสามคืน จนทหารชายแดนเมืองซินโจวได้ส่งกำลังมาช่วยเหลือ พวกเขาถึงยอมถอยแต่โดยดี

ที่เดินร่วมทัพกันยังมีทหารรักษาการณ์แห่งเมืองหย่งหนิงอีก 10,000 นาย พวกเขานั้นได้ร่วมกันก่อกบฏ

เมื่อกงเซินจ่างได้กลับขึ้นไปบนเขา เขายังมีเชลยศึกติดตามมากว่า 30,000 ชีวิต !

กงเซินจ่างนั้นเป็นใหญ่ทางตอนเหนือ ม้าศึกของเขามาจากแคว้นฮวง เกราะป้องกันและทหารริมชายแดนของเขานั้นไร้ผู้ใดเทียบเคียงน่าเกรงขามยิ่งนัก หากคุณชายต้องการจะผ่านทางตอนเหนือนั้นจะเป็นภัยอย่างมหันต์ จึงใคร่วอนให้งดใช้เส้นทางนั้น !

บ้าเอ้ย !

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมเย็น ๆ เข้าไปเสียยาวเหยียด ศึกทางตะวันออกนั้นพวกเราได้ตกเป็นเบี้ยล่างของศัตรู แม้ว่าจะมีกองทัพทางใต้เร่งไปสมทบแล้ว ก็ทำได้เพียงแค่ฟื้นฟูค่ายที่โดนตีแตกไปเพียงเท่านั้น หากคิดจะตีฐานศัตรูตรงที่ราบสีหม่านั้นแทบจะไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อย

ที่เป็นเช่นนี้หาใช่เพราะกองทัพแห่งราชวงศ์หยูอ่อนแอไม่ ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสถานการณ์ภายในราชวงศ์หยูเป็นเยี่ยงไร

ความล้มเหลวในการควบคุมกองทัพขององค์ชายใหญ่หาใช่เพราะปัญหาที่เกิดจากแผนยุทธศาสตร์ไม่ หลัก ๆ แล้วนั้นมีสาเหตุสำคัญ 2 ประการด้วยกัน

ประการแรก เริ่มแรกที่พระองค์เข้าไปคุมกองทัพ แม้ว่าจะรับไม้ต่อมาจากเจี่ยงกาวหยวนที่คุมชายแดนเขตตะวันอยู่ก่อนหน้าก็ตาม แต่พลทหารในอารักขาของพระองค์นั้นเป็นอยู่เยี่ยงไรก็มิอาจทรงทราบได้

คุมกองทัพแต่ไม่เข้าใจในกำลังพลของตนอย่างถ่องแท้ นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงยิ่งสำหรับการทหาร !

ประการที่สอง งบประมาณที่ใช้สนับสนุนการศึกสงครามชายแดนตะวันออกนั้นขาดแคลนเกินไป ในกรณีนี้แม้ต่งคังผิงจะรับมือได้อย่างทันท่วงทีแต่ก็ยากมากนักที่จะช่วยเหลือได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ทหารราบจำนวนมากไม่มีแม้แต่ชุดเกราะป้องกัน หรือแม้แต่ยุทโธปกรณ์ก็ยังขัดสน สงครามนี้จะสู้รบได้เยี่ยงไร ?

บัดนี้ความหวังเดียวที่มีคือหวังว่าองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนจะไม่โฉดเขลาไปยิ่งกว่านี้ หากพระองค์นำปืนใหญ่มาป้องกันเมือง เมืองจินหลิงคงมิอาจตกเป็นเมืองขึ้นของศัตรูได้

ขอเพียงแค่ปกป้องเมืองหลานหลิงไว้ได้ แคว้นอี๋คงมิอาจย่างกรายเข้าสู่เมืองหลานหลิงได้เป็นแน่ เพียงแค่นำปืนใหญ่ติดตั้งทุกซุ้มประตูเมือง เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้แคว้นอี๋ขวัญผวาได้ ชายแดนตะวันออกจักสงบในเร็ววัน

ศึกทางตะวันตกนั้นใกล้เดินทางมาถึงกาลอวสานเต็มที่แล้ว บัดนี้เขาสนใจสถานการณ์ของทางเหนือมากกว่า

กงเซินจ่างได้รับการเกื้อกูลจากชาวแคว้นฮวง เขาขาดทุนแคลนทุนทรัพย์อาหาร ตระกูลชือแห่งหนิงโจวก็พร้อมเป็นท่อน้ำเลี้ยงจัดการปัญหานี้ให้อย่างดิบดี หากจับเชลยศึกได้เช่นนั้นอีกคราศึกทางตอนเหนือก็จะสามารถสู้ศึกด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองได้ มิจำเป็นต้องพึ่งกำลังพลของแคว้นฮวงอีกต่อไป ชาวฮวงนั้นอยู่นอกเขตเขาเยี่ยนซาน และกงเซินจ่างคือบุคคลภายใน !

หากไม่กำจัดกงเซินจ่างไปให้พ้นทาง ก็อย่าได้หวังถึงการเปิดโรงงานที่อำเภอชูอี้เลย หากจำต้องใช้เส้นทางนั้นเป็นทางผ่านก็เป็นอันตรายมากยิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนคิดตรึกตรองอยู่นาน เขาจับพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายให้ไป๋ยู่เหลียนหนึ่งฉบับ แล้วจึงเขียนถึงฉินเฉิงเย่อีกหนึ่งฉบับ

จงส่งกองกำลังไปกำหราบมันเสียโดยด่วน !

ทว่าก็มิอาจส่งทหารไปรบได้อย่างไม่ระมัดระวัง งานจะสำเร็จลุล่วงได้จะต้องลับอาวุธให้คมกริบ จงใช้กำลังพลทหารม้าหน่วยรบพิเศษ 2,000 นายต่อกองกำลัง 10,000 นาย และจงเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมมิเช่นนั้นก็จะเปรียบดั่งการเอาไม้ท่อนไปงัดไม้ซุง

ส่วนจดหมายที่เขียนถึงฉินเฉิงเย่นั้น เขาได้อธิบายถึงวิธีการประดิษฐ์กล้องส่องทางไกลและทฤษฎีการผลิตลูกบอลไฟ อีกทั้งยังเขียนถึงอาวุธที่มีอาณุภาพทำลายล้างสูงอย่างเช่น ระเบิด

สุดท้ายนี้ เขาได้เขียนจดหมายให้หวางเอ้ออีกหนึ่งฉบับ ได้เขียนเกี่ยวกับการจัดการฟู่อีต้าย และเน้นย้ำอีกคราถึงหนทางการเพาะปลูกฟู่เอ้อร์ต้าย

นี่เป็นจุดยืนของเขาในฐานะเศรษฐีที่ดิน ทั้งหมดก็เพื่อช่วยประเทศชาติบรรเทาสภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ให้ผ่านพ้นไปให้จนได้

ประชาชนอยู่ได้ด้วยปากท้อง การแก้ไขปัญหาปากท้องจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำความสงบสุขมาสู่มวลประชาได้ !