ตอนที่ 292 เมืองกวนหยุน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 292 เมืองกวนหยุน

ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไป

พื้นที่ราบนั้นค่อย ๆ เคลื่อนหายไป ขบวนรถได้ข้ามผ่านทางป่าเขาที่เลี้ยวลด ทอดมองไปกลับมิเจอพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แต่กลับมีพุ่มเตี้ย ๆ สีเขียวปรากฏอยู่ในระดับสายตา มีต้นไม้ใบเล็กแหลมและพืชตระกูลสนอยู่กระจัดกระจาย

ในนั้นยังมีต้นดอกนกแขกเต้าที่มักจะขึ้นบนภูเขาสูงอยู่บ้างประปราย ราวกับพายุแห่งฤดูใบไม้ผลิมิสามารถพัดมาสู่ที่แห่งนี้ได้ ต้นดอกนกแขกเต้าบนเขาสูงเหล่านั้นผลิดอกออกมาแล้วแต่ยังมิถึงคราเบ่งบาน

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งชมวิวทิวทัศน์อยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ แต่จิตใจของขายหนุ่มนั้นกลับล่องลอยไปอยู่ในท้องพระโรงของราชวงศ์หยู

ศึกทางชายแดนตะวันออกนั้นได้ปราชัยแก่ศัตรูเสียแล้ว องค์ชายใหญ่คือผู้ที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ไปคุมศึกโดยตรง คราก่อนเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางนั้นได้ถูกคำปดที่ตนได้แต่งขึ้นลวงหลอกเสียจนสำเร็จ แท้จริงแล้วนั้นคนที่สามารถเข้ามานั่งในพระราชวังจินเตี้ยนได้ย่อมมิใช่คนที่โฉดเขลาเบาปัญญาอย่างแน่นอน

หากองค์ชายใหญ่ชนะศึก คำกล่าวหลอกลวงเหล่านั้นก็จะเป็นจริงขึ้นมา

แต่กลับมิเป็นไปตามที่คาด องค์ชายใหญ่ทรงพ่ายแพ้ในศึกครานี้ เหล่าขุนนางที่คอยจ้องซ้ำเติมฮ่องเต้ก็คงจะฉวยโอกาสนี้ในการโจมตี แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังถูกขุนนางเหล่านั้นนินทาตำหนิติเตียน แล้วขุนนางขั้นสี่ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์เยี่ยงเขาก็ย่อมมีชะตาเช่นเดียวกัน

แต่เขากลับมิได้กลัดกลุ้มกับเรื่องนี้มากนัก ในเมื่อท้องพระโรงยังมีเยี่ยนเป่ยซีคอยแก้ต่างแทนเขาอยู่เสมอ ในวังหลังก็มีฮองเฮาซั่งผู้ซึ่งคอยหนุนหลังเขาเช่นกัน แต่ลมปากคนหมู่มากสามารถทำถูกให้เป็นผิด ทำผิดให้เป็นถูกได้ คนพวกนั้นย่อมคิดจะจัดการเขาในทุกวิถีทางเป็นแน่ เขาจึงต้องหาทางป้องกันไว้จึงจะปลอดภัยกับตนเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู !

ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องฉวยโอกาสที่องค์ชายใหญ่แพ้ศึกมาก่อความวุ่นวายเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนมิปักใจเชื่อว่าหยูเวิ่นชูจะมีอำนาจเพียงแค่ภายในพื้นที่หยี่ฮวาถาย !

หากเขาคิดจะร่วมมือคิดการชั่วกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกครา หรือขึ้นกล่าวโน้มน้าวเซวี๋ยติ้งชานผู้เป็นลุงของเขาจนสำเร็จ แล้วรวมหัวกันโค่นล้มอำนาจ หากเป็นเช่นนั้นราชวงศ์หยูคงจักถึงคราล่มสลาย

แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิล่วงรู้ก็คือตอนนี้ฟู่ต้ากวนผู้เป็นบิดาของตนนั้นได้ล่วงหน้ามาถึงเมืองกวนหยุนตั้งนานแล้ว และได้กว้านซื้อที่ดินทำเลทอง ที่ซึ่งเขามิกล้าแม้แต่จะคิดฝัน

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินทางเข้าสู่เมืองกวนหยุน ฟู่ต้ากวนผู้เป็นพ่อก็เดินทางออกจากเมืองกวนหยุนพอดี แต่เขามิได้เดินทางกลับไปยังเมืองหลินเจียงแห่งราชวงศ์หยู แต่กลับขี่ม้าเดินทางอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อเดินทางเข้าสู่แคว้นฝาน !

ผู้ที่ร่วมขบวนไปกับฟู่ต้ากวนนั้นเป็นบุคคลที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดการณ์มิถึง นางเป็นสตรีนางหนึ่ง หากฟู่เสี่ยวกวนได้พบเห็นคงจะตกตะลึงมิน้อย

นางผู้นั้นคือหงซิ่วจาว อาจารย์เครื่องสายหูฉินหู !

หงซิ่วจาวก้มลงปอกเปลือกองุ่นแล้วเอ่ยถามฟู่ต้ากวน “ท่านกังวลถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

“ข้าจำต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า”

“ราชวงศ์อู๋นี้จะมีผู้ใดกล้าอาฆาตมากร้ายกับเขาได้อีก หรือการที่ท่านจะไปเยี่ยมเยือนแค้วนฝานในครานี้จะเป็นการเสียเวลาเปล่า ! ”

“หนทางหนีมีมากขึ้นมาอีกทาง ย่อมดีเสมอ”

อาจารย์หูฉินหูได้กลืนองุ่นเข้าไปในปาก นางขมวดคิ้วมุ่น ราวกับว่าองุ่นนั้นมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองฟู่ต้ากวน ท้ายที่สุดก็อดที่จะกล่าวออกมามิได้ “ที่จริงนั้นเขาควรจักมีแซ่อู๋มากกว่า ! ”

“ไม่… ! ” ฟู่ต้ากวนโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันใด “เขาคือบุตรชายของข้ากับหยุนชิง เขาควรมีแซ่ฟู่ ! ”

อาจารย์หูฉินหูผู้นั้นได้หลุดหัวเราะร่า นางส่ายหัวแล้วจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง

“หากเขาแซ่ฟู่จริง ท่านคงมิถ่อมาถึงเมืองกวนหยุนเพื่อซื้อตำหนักเสียนฉิง และท่านก็คงมิปฏิเสธที่จะไปเข้าเฝ้าองค์หญิงหยูหยู ตำแหน่งเขานั้นใหญ่ขึ้นเท่าใดศัตรูก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น ท่านกังวลว่าวันหนึ่งท่านจะไม่สามารถปกป้องเขาให้พ้นภัยได้ ท่านเลยหาที่ที่เขาสามารถหลบซ่อนได้อย่างไร้กังวลเพราะบนผืนปฐพีนี้มิมีที่ใดจะปลอดภัยเท่าเมืองกวนหยุนอีกแล้ว ท่าน…ท่านจำต้องหลอกตนเองไปเพราะเหตุใด ! ”

สีหน้าเคืองโกรธของฟู่ต้ากวนนั้นได้เหือดหายไป ใบหน้าอ้วนถ้วนนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมา “มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้ายังเข้าใจมิถ่องแท้นัก”

“ทว่าเขาจวนจะเดินทางถึงเมืองกวนหยุนอยู่แล้ว ต่อให้เขาเองมิคิดเสาะหาเบาะแส เยี่ยงไรเสียท้ายที่สุดก็คงมีคนไปแถลงความแก่เขาเอง ! ”

เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งช่วงบ่าย ขบวนรถก็ได้ฝ่าดงภูเขาออกมาได้สำเร็จ และสิ่งที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่เบื้องหน้าคือที่ราบสูงหลีลั่วเป็นสถานที่โด่งดังในอาณาเขตของราชวงศ์อู๋ กล่าวขานกันว่าหากหลีกหนีความวุ่นวายมายังที่แห่งนี้ก็จะได้พบกับแสงดาวตก

ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส ทอดมองไกลภูเขาหิมะสูงตระหง่าน รอบกายล้วนแต่เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีกลุ่มม้าหลากหลาย มีเพิงพักมากมาย และกลุ่มควันโขมงลอยสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า

เมืองกวนหยุนนั้นได้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงหลีลั่วแห่งนี้

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าม่านที่บดบังเบื้องหน้าของเขาออก แล้วจึงเห็นว่าตรงเส้นขอบฟ้ามีรูปทรงดั่งมังกรเผือกกำลังนอนเอนกาย !

และนี่คือเมืองหลวงของราชวงศ์อู๋

เพราะเมื่อหยุดอยู่ตรงใจกลางเมืองแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าจะสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆลอยอย่างเชื่องช้า ด้วยเหตุนี้จึงขนานนามว่าเมืองกวนหยุน !

เมืองแห่งนี้ได้มอบความรู้สึกน่าทึ่งเป็นอย่างมากให้กับฟู่เสี่ยวกวนและเหล่าปัญญาชนทั้งหลาย !

หากเปรียบเทียบกับเมืองจินหลิงแล้วนั้น เมืองแห่งนี้มิได้ให้กลิ่นอายดั่งสาวน้อยขี้อายเฉกเช่นเมืองจินหลิง และมิได้เป็นดั่งเช่นเมืองจินหลิงที่มีกลิ่นน้ำหมึกและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่อบอวลอยู่ทุกหนแห่ง

แต่เมืองแห่งนี้ช่างสดใสยิ่งและมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเมืองจินหลิงเป็นไหน ๆ

กำแพงเมืองนั้นได้ก่อมากจากหินดำ สูงใหญ่เกรียงไกรและดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเหมือนถูกกดขี่อย่างท้วมท้นแก่ผู้มาเยือน

สิ่งปลูกสร้างภายในกำแพงเมืองนั้นแตกต่างจากเมืองจินหลิงอยู่มากนัก

ณ เมืองจินหลิงตัวอาคารบ้านเรือนนั้นมีองค์ประกอบทำมาจากไม้ ตกแต่งด้วยความประณีต มีความวิจิตรตระการตา

ทว่าเมื่อขบวนรถได้เคลื่อนเข้าสู่ประตูเมืองกวนหยุนจนถึงวัดหงลู่ซื่อ ตัวอาคารสองข้างทางที่ฟู่เสี่ยวกวนได้พบเห็นนั้นล้วนแต่ทำสร้างมาจากหินทรายสีน้ำเงิน และส่วนมากนั้นมีสองชั้น ให้ความรู้สึกโอ่อ่ามากยิ่งนัก

หรือแม้แต่ถนนหนหางก็ยังกว้างกว่าเมืองจินหลิงมากยิ่งนัก ผู้คนสัญจรบนถนนไปมาและพวกเขาทั้งหมดต่างก็สะพายดาบไว้บนหลัง

ราชวงศ์อู๋นิยมการสู้รบ ส่วนราชวงศ์หยูนิยมวรรณกรรม เพิ่งจักได้รู้ซึ่งถึงคำกล่าวขึ้นมาก็ครานี้เอง

วัดหงลู่ซื่อตั้งอยู่ภายในตัวเมือง ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงที่แห่งนี้ก็ถึงยามย่ำสนธยาเข้าพอดี

ขุนนางผู้ที่มาทำการต้อนรับพวกเขานั้นเป็นชื่อหลางกรมพิธีการ มีแซ่ว่าจ้งนามว่าซาน อายุอานามราว 40 ปี

ท่านเสนาบดีจ้งผู้นี้ได้จัดพิธีต้อนรับพวกเขาอย่างเรียบง่ายในลานอันกว้างขวางของวัดหงลู่ซื่อ จากนั้นภายใต้การนำของผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการฝ่ายขวาผู้มีนามว่าเปียนหลินได้จัดการให้เหล่าปัญญาชนและผู้ติดตามจากทั้งสี่แคว้นได้พบปะกับเอกอัครราชทูตของตนที่ประจำการอยู่ที่เมืองกวนหยุน

ระหว่างนั้นได้มีเหตุการณ์มิคาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งก็คือเหยียนหานยู่องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ ได้โดยสารรถเชลยจนมาถึงที่นี่ และอู่หลิงเองก็มิได้บอกกล่าวอันใดให้กับจ้งซานล่วงรู้ก่อน จึงเป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยกับเอกอัครราชทูตจากแคว้นอี๋ด้านหลังม่าน

อู่หลิงได้บอกเล่าว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้ทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนแห่งราชวงศ์หยูอย่างอุกอาจ ต้องจับกุมเขาไปขังคุกของกรมราชทัณฑ์ เอกอัครราชทูตมิกล้ากล่าวอันใดทั้งสิ้น องค์ชายหกผู้สูงส่งของพวกเขาบัดนี้ได้โดนจับขังในรถเชลยศึก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอดสูยิ่งนัก หากพระองค์ต้องโทษสถานหนัก พวกตนหัวจะขาดออกจากบ่าหรือไม่ ?

เมื่อทำการพบปะกันเสร็จสิ้นแล้ว ท่านเอกอัครราชทูตแห่งแคว้นอี๋ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าในระหว่างที่องค์ชายได้พำนักอยู่ในเมืองกวนหยุนนั้นจะประพฤติตนอย่างดีจะมิทรงก่อความวุ่นวายใด ๆ ในที่สุดอู่หลิงก็ยอมใจอ่อนและส่งตัวเขาไปให้ท่านเอกอัครราชทูต

หลังจากนั้นอู่หลิงได้กล่าวร่ำลาฟู่เสี่ยวกวนด้วยความอาลัยอาวรณ์ นางต้องกลับเข้าพระราชวังและให้คำมั่นว่าพรุ่งนี้ตอนรุ่งเช้าจะกลับมาหาเขาอีกครา

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะนั้นเป็นคนของราชวงศ์หยู ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่เข้ามาต้อนรับพวกเขานั้นย่อมเป็นเอกอัครราชทูตแห่งราชวงศ์หยู

“กระหม่อมนามว่าเติ้งซิว ขอแสดงความเคารพต่อองค์หญิงเก้า ! ”

“มิต้องพิธีรีตองอันใดหรอก ที่พักของพวกข้าอยู่ที่ใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินรู้สึกอ่อนเพลีย หลังจากที่เดินทางมาถึงที่ราบสูงหลีลั่วนางมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ช่างบังเอิญที่ตรงกับรอบเดือนของนางพอดี นางจึงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากนอนพักเสียเต็มที

“ทรงตามกระหม่อมมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ทั้งขบวนได้ขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทางภายใต้การนำของเติ้งซิวออกจากภายในตัวเมือง พวกเขาได้เข้าสู่ถนนเส้นที่สงบและสวยงาม และแล้วขบวนก็ได้มาหยุดตรงที่ลานของเรือนที่ประทับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตำแหน่งใจกลางเมืองกวนหยุน

เรือนสี่ประสานแห่งนี้มีสองชั้น มีทางเข้าเพียงแค่สองทาง มิมีสวนดอกไม้หน้าเรือนและไร้ซึ่งโขดหินประดับประดาบริเวณลานกลางเรือน มีเพียงแค่ดอกไม้ใบหญ้าเล็กน้อยตรงบริเวณหลังเรือนเพียงเท่านั้น และพวกดอกไม้ใบหญ้าเหล่านั้นก็มิได้รับการดูแลรักษาใด ๆ ยามฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้จึงได้ออกดอกกลาดเกลื่อน

เรือนหลังนั้นมิได้กว้างขวางมากนัก แต่โดยรวมนั้นถือว่าสะดวกแก่สตรีที่จะใช้เป็นสถานที่พิงพัก

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานได้บอกลาฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นทั้งสองนางก็ได้ตามบ่าวรับใช้หญิงเข้าไปพักผ่อนในเรือนหลัง

เติ้งซิวยุ่งจนมือเป็นระวิง เขาใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการช่วยให้ปัญญาชนกว่าร้อยชีวิตและขุนนางข้าราชการกว่าสิบคนจัดแจงที่หลับที่นอนของตน

ส่วนทหารม้าเกราะอีก 500 นายที่อยู่ภายใต้การนำทัพของเซวียผิงกุยนั้นจำต้องพำนักรออยู่ที่เมืองฝานหนิง เพราะนี่คือกฎเหล็กของราชวงศ์อู๋ กฎที่ว่านั่นก็คือห้ามกองทัพจากแคว้นอื่นย่างกรายเข้าเมืองกวนหยุนเป็นอันขาด