ตอนที่ 356 ร้องไห้อ้อนวอนข้า

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 356 ร้องไห้อ้อนวอนข้า

อันหลิงเกอมิเคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งตนจักถูกอันหลิงอีสั่งให้คนมาลักพาตัวและยิ่งคาดมิถึงว่าเมื่อนางหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกโจรได้แล้ว อยู่ดีๆ จักมี ‘บุตรชาย’ ที่อายุมากกว่าคอยตามติดเช่นนี้

บุตรคนนี้มีใบหน้างดงามราวกับเทพเซียน แต่มีนิสัยที่เอาแต่คอยสังหารผู้อื่นตลอดเวลา

เยลู่ชิงโดนนางทุบศีรษะจนเสียสติ นอกจากเรื่องที่รั้นว่านางเป็นมารดาแล้ว เรื่องอื่นก็เหมือนมิมีผลกระทบใดต่อนางทั้งสิ้น

อันหลิงเกอก็รู้สึกปวดหัวมิน้อย เนื่องจากเยลู่ชิงดูมิใช่คนธรรมดา นางจึงมิสามารถพาเขากลับจวนได้จึงทำให้จัดการกับเขายากขึ้นมาทันที

เมื่อครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายอันหลิงเกอก็ตัดสินใจพาเขาไปหาฉู่หยู

ทำอย่างไรได้เล่า เพราะอำนาจของนางนอกจวนก็มีเพียงที่นี่ที่เดียว หากจักทำอันใดก็คงต้องฝากให้ฉู่หยูจัดการเท่านั้น

ส่วนที่หอจิ่นซิ่วนางมิได้รู้ตื้นลึกหนาบางของพวกเขา รู้แค่ว่าคนของหอจิ่นซิ่วให้เกียรตินาง แต่มิได้คิดว่านางเป็นบุตรของท่านแม่แล้วจักมาเป็นเจ้านายจริง ๆ ของพวกเขาได้ อันหลิงเกอจึงมิคิดให้คนของหอจิ่นซิ่วรับรู้เรื่องเยลู่ชิงในตอนนี้

ฉู่หยูเห็นอันหลิงเกอย้อนกลับมาก็คิดว่าอาจมีเรื่องอันใดที่ต้องการสั่งเพิ่มเติม แต่เมื่อมองผ่านไปทางด้านหลังของอันหลิงเกอกลับมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ นางจึงเบิกตากว้างด้วยความตกใจและดวงตานั้นก็ฉายแววประหลาดใจออกมา

“คุณหนู ท่านนี้คือใครเจ้าคะ ? ”

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะมิรู้ว่าควรเรียกเยลู่ชิงว่าอย่างไร

อันหลิงเกอก็รู้เพียงว่าเขาชอบเรียกแทนตัวว่าอาชิง ส่วนฐานะของเขาตอนนี้นางก็ยังมิทราบเช่นกัน

นางเม้มริมฝีปากแน่น สายตาหันไปทางเยลู่ชิง “เจ้าเรียกเขาว่าหลี่ชิงก็แล้วกัน”

ในเมื่อเรื่องของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลหลี่ทำให้นางได้พบเขา เช่นนั้นก็เรียกเขาว่าหลี่ชิงไปก่อน

ฉู่หยูพยักหน้ารับ อันหลิงเกอจึงกวักมือทำสัญญาณให้ฉู่หยูเอียงหูเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจักกล่าวออกมา “ข้าพบเขาโดยบังเอิญ เหมือนว่าสมองของเขามีปัญหาบางอย่าง เจ้าให้คนหาที่พักให้เขาแล้วตามท่านหมอมาดูอาการหน่อยก็แล้วกัน”

แม้ว่าตัวอันหลิงเกอก็เป็นหมอ แต่นางมิได้ถนัดรักษาโรคพวกนี้จึงมิกล้ารักษาตามอำเภอใจ

ฉู่หยูรับคำสั่ง อันหลิงเกอจึงได้วางใจแล้วหมุนตัวเตรียมกลับไปยังจวน

แต่นางเดินได้เพียงก้าวเดียว แขนเสื้อของนางก็ถูกดึงเอาไว้เบา ๆ

อันหลิงเกอหันกลับไปมองก็พบใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติราวกับเทพเซียนของเยลู่ชิง

“ท่านแม่ ท่านจักไปไหนขอรับ”

ริมฝีปากบางได้รูปของเยลู่ชิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ สายตาไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย เขาถามคำถามที่ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกจนปัญญาออกมา

ฉู่หยูที่อยู่ด้านหลังอดมิได้ที่จักยกมือขึ้นปิดปากเพื่อมิให้เผลอส่งเสียงออกมา

อันหลิงเกอรู้สึกว่าคิ้วของนางกำลังกระตุก ใบหน้าร้อนผ่าวคล้ายกำลังจักไหม้ก็มิปาน

นางฝืนยิ้มแห้งออกมาแล้วปลอบเยลู่ชิงเสียงเบาว่า “แม่จักไปซื้อของให้เจ้า เจ้าเป็นเด็กดีรอแม่อยู่ที่นี่ อย่าไปวิ่งซนที่ไหน”

“ท่านแม่โกหก” เยลู่ชิงดูเหมือนว่าโดนทุบจนสมองกลับ แต่ยังสามารถรู้ได้ว่าอันหลิงเกอเอ่ยมิตรงกับใจ

ดวงตาสีดำสนิทของเขาปรากฏหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นมา ใบหน้าที่งดงามแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าที่คนมองมิอาจทนได้

อันหลิงเกอมิรู้ว่าความโศกเศร้านี้มาจากสาเหตุอันใด แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความผิดหวังที่เกิดขึ้นในใจของเขาได้ ความผิดหวังราวกับโดนโลกใบนี้ทอดทิ้ง

นางเห็นแล้วก็อดใจอ่อนมิได้ อึดใจต่อมาตัวนางก็ถึงขั้นตกใจกับความรู้สึกที่มีต่อเยลู่ชิง นี่ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

อันหลิงเกอได้สติขึ้นมาทันที ความเจ็บปวดในใจหายไปในพริบตา

นางบิดข้อมือไปมาแล้วดึงแขนเสื้อออกจากมือของเยลู่ชิง แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ “มิใช่เยี่ยงนั้นหรอก แม่จักโกหกเจ้าได้อย่างไร แม่ก็แค่ไปซื้อของให้เจ้าเท่านั้นเอง อีกครู่เดียวก็กลับมาแล้ว”

เยลู่ชิงมองนางนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยมือออก เพียงแต่แววตาของเขายังเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

ฉู่หยูที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็แทบทนมิไหว อยากเอ่ยออกไปตั้งหลายครั้งแต่สุดท้ายก็อดกลั้นมิได้พูดสิ่งใดออกมา

บุรุษแปลกหน้าผู้นี้มีที่มาที่ไปเช่นไรยังมิทราบแน่ชัด นางมิเข้าไปขัดจังหวะน่าจักดีกว่า

อันหลิงเกอชักมือกลับ จากนั้นก็เดินออกจากโรงสุราเพื่อกลับจวนทันทีโดยมิหันไปมองอีก

เดิมทีนางคิดว่าฉู่หยูจักดูแลเยลู่ชิงจนหายดี แต่คาดมิถึงว่าเยลู่ชิงจักหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วและหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยภายในเวลามิกี่วันอีกด้วย

นั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้ ส่วนตอนนี้พักเอาไว้ก่อนจักดีกว่า

หลังจากที่อันหลิงเกอกลับไปที่จวนแล้วก็บังเอิญพบกับหลี่อี๋เหนียงเข้าพอดี

หลี่อี๋เหนียงมีสีหน้าดุดัน ใบหน้าไร้รอยยิ้มเสแสร้งดุจวันวานโดยสิ้นเชิง

“คุณหนูใหญ่กล้าดีเสียจริง ! ”

นางกัดฟันแล้วกล่าวลอดไรฟันออกมาคล้ายกำลังกัดอันหลิงเกออยู่ก็มิปาน แทบอยากกลืนกินอันหลิงเกอเสียให้รู้แล้วรู้รอด

อันหลิงเกอตอบกลับพร้อมรอยยิ้มยั่วยุ “หลี่อี๋เหนียง ท่านต่างหากที่กล้ากว่าข้า กลางวันแสก ๆ มิปิดบังความคิดชั่วร้ายที่มีต่อข้าแม้แต่น้อย มิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนมอบความกล้านี้แก่ท่าน”

เมื่อศัตรูคู่อาฆาตมาพบหน้า ความแค้นก็ยิ่งทวีความรุนแรง อันหลิงเกอคิดว่าเป็นเพราะพวกนางสองแม่ลูกทำให้ตนไปหาเรื่องคนลึกลับเยี่ยงเยลู่ชิงเข้า ทั้งยังถูกคนที่อันหลิงอีส่งมาวางยาจนเกือบเสียความบริสุทธิ์ ภายในใจจึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

นางยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา “มิทราบว่าอาการของท่านผู้เฒ่าหลี่เป็นอย่างไรบ้าง แต่เห็นหลี่อี๋เหนียงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ ดูท่าคงมิเป็นอันใดมากกระมัง หากตอนนั้นข้าแทงลึกกว่านี้ก็เกรงว่าหลี่อี๋เหนียงต้องเตรียมงานศพให้เขาเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ”

สีหน้าที่มิสู้ดีอยู่แล้วของหลี่อี๋เหนียงยิ่งดูแย่ไปอีกหลายเท่า อันหลิงเกอกล้ามาแช่งบิดาต่อหน้านาง แสดงว่ามิเห็นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย กล้ามาลองดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

ทั้งคู่แสดงตัวเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยมานานแล้ว แต่การปะทะกันด้วยวาจาอย่างเผ็ดร้อนเช่นนี้นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้

ใบหน้าถมึงทึงของหลี่อี๋เหนียงฉีกยิ้มที่ดูชั่วร้ายออกมา ใบหน้าที่ยิ้มแค่ปากแต่ไปมิถึงดวงตาช่างดูอำมหิตเสียจริง

“คุณหนูใหญ่เป็นห่วงตนเองดีกว่ากระมัง ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดีที่หนีรอดมาได้ แต่เรื่องเช่นนี้คงมิเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ถึงตอนนั้นคงมิมีผู้ใดช่วยเจ้าได้อีก ! ”

ท่าทางของหลี่อี๋เหนียงช่างดูกล้าหาญ แววตาเต็มไปด้วยความดำมืดแทบรอให้อันหลิงเกอมาคุกเข่าร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้าด้วยความเจ็บปวดเพื่อขอให้นางไว้ชีวิตมิไหวอยู่แล้ว

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมองว่าอันหลิงเกอทำลายแผนการใหญ่ของ ‘เขา’ ดังนั้นเขาจักทำให้อันหลิงเกอต้องชดใช้อย่างสาสม !

อาศัยแค่ความสามารถของคนผู้นั้น อันหลิงเกอก็มิมีทางหนีรอดได้แล้ว !

แววตาของอันหลิงเกอเย็นเยือก มุมปากของนางโค้งขึ้นแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “คำนี้มอบให้หลี่อี๋เหนียงดูจักเหมาะสมกว่า หลี่อี๋เหนียงช่างน่าสงสารจริง ๆ บิดาต้องมาเจ็บหนัก ทั้งลูกสาวก็ถูกส่งไปยังหมู่บ้านชนบทแสนห่างไกล คนต่อไปที่จักเกิดเหตุร้ายขึ้นอาจเป็นท่านเองก็ได้”

ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วจุกอยู่ภายในอกของหลี่อี๋เหนียง หากมิใช่เพราะอันหลิงเกอตัวดี ท่านพ่อคงมิบาดเจ็บหนักเช่นนี้ อีเอ๋อก็คงมิถูกส่งไปยังเรือนจวงจื่อด้วย

“อันหลิงเกอ เจ้าอย่าได้ลำพองใจไป เพราะอีกมินานเจ้าต้องมาร้องไห้อ้อนวอนและคำนับแทบเท้าข้า ! ”