โจวหมิ่นไม่ได้สนใจว่าลูกของหล่อนจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ขอแค่เป็นลูกของหล่อนกับเย่หมิงเป่ย หล่อนขอแค่คำเดียวคือให้ร่างกายแข็งแรงก็พอแล้ว

อย่างอื่นไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

นอกจากนี้หล่อนก็ปรึกษากับเย่หมิงเป่ยแล้วว่ามีลูกแค่คนนี้คนเดียวพอ

แต่ถ้าบอกว่าต้องการแค่คนเดียว แม่สามีจะคิดอย่างไร?

เย่หมิงเป่ยเองก็ลืมบอกว่าเป็นลูกสาวหรือลูกชาย คุณแม่เย่ก็ไม่ได้ถาม นางไม่ได้เคร่งครัดเกี่ยวกับการคลอดลูกชายและลูกสาว ในยุคนี้ผู้คนต่างก็คลอดลูกเป็นโขยง คนนี้ไม่ใช่ลูกชายก็ยังรอคนต่อไปได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลเรื่องลูกชาย ในเมื่อเป็นแบบนี้ยังจะไปสนใจทำไม

“งั้นลูกก็ต้องป้อนนมเยอะ ๆ นะ ลูกสาวนับเป็นเสื้อนวมตัวน้อย โตขึ้นทำให้อบอุ่นร่างกายและอบอุ่นหัวใจ” คุณแม่เย่จับมือของทารกตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม นุ่มเสียจนใจละลาย

โจวหมิ่นเห็นว่าแม่สามีไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกชายจึงสบายใจ และถามเรื่องระหว่างทางที่มาที่นี่

“ระหว่างทางราบรื่นมาก พี่ใหญ่ของเธอมาส่งแม่ที่รถไฟ จากนั้นก็นั่งมาถึงเมืองหลวง แม่ว่าที่นี่อบอุ่นกว่าบ้านพวกเราทางฝั่งนู้นอีกนะ” คุณแม่เย่กล่าว

“ทางนี้มีตึกสูง รถเยอะ คนเยอะ พวกเราทางฝั่งนั้นมีคนน้อย จึงต่างกันหลายขุมเลยค่ะ” โจวหมิ่นกล่าว

คุณน้าที่เป็นพี่เลี้ยงกลับไปไม่นานก็ทำอาหารมาส่งให้

คุณน้าคนนี้อายุยังน้อย ประมาณสี่สิบกว่า หล่อนเก็บกวาดทุกอย่างได้สะอาดสะอ้านและคล่องแคล่ว

“นี่คือแม่ผมเองครับ” เย่หมิงเป่ยแนะนำ

น้าพี่เลี้ยงกล่าวทักทายคุณแม่เย่ด้วยรอยยิ้ม

“ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ คงทำให้เธอเป็นกังวลแย่เลยนะ” คุณแม่พูดด้วยความเกรงใจ

คุณน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว อีกอย่าง นี่ก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น เด็กก็เพิ่งคลอด ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ตอนนี้คุณมาแล้ว ฉันต่างหากล่ะคะที่หมดห่วง”

คุณน้าเป็นคนปากไวใจถึง คุณแม่เย่ก็รู้สึกถูกชะตามาก

หลังจากนั้นสามวัน เมื่อโจวหมิ่นรู้สึกว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงออกจากโรงพยาบาล

อยู่โรงพยาบาลทำอะไรก็ไม่สะดวก สู้กลับไปอยู่ไฟที่บ้านให้สบาย ๆ ดีกว่า

ตอนขากลับไม่สามารถนั่งรถสามล้อถีบได้ ต่อให้อุณหภูมิของเมืองหลวงจะสูง แต่ก็ไม่ได้อบอุ่นอยู่ดี เพราะกลัวว่าเด็กจะถูกลมหนาว เย่หมิงเป่ยจึงเรียกรถแท็กซี่เพื่อกลับไป

ตอนขามาไม่ได้นำของมาเยอะ ขากลับกลับมีของกองใหญ่ ทั้งหมดก็คือของของทารกตัวน้อย อย่ามองว่าคลอดแค่สามวัน แต่ของใช้กลับมีเยอะจนตามผู้ใหญ่ได้หลายปีทีเดียว

คุณน้ากลับไปที่บ้านก่อนแล้ว เพื่อทำความสะอาดเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย และยังเตรียมอาหารไว้แล้ว

ตอนที่คุณแม่เย่มานางก็ต้มไข่ไก่ไปหนึ่งถุง นี่เป็นไข่ที่ไก่ในบ้านออกไข่ไว้ เป็นเพราะไข่ดิบเก็บไว้ได้ไม่นาน นางจึงนำแต่ไข่สุกแล้วมาให้ แต่ก็ไม่กล้าหยิบมามากนัก แม้อากาศตอนนี้จะไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเน่าเสีย แต่หากได้รับประทานแบบสดใหม่ก็น่าจะดีกว่าหน่อย

เมื่อปอกเปลือกไข่แล้วก็ใส่ลงไปในหม้อโจ๊ก ซึ่งโจ๊กถูกต้มไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้นไข่ไก่ร้อนดี คุณแม่เย่จึงยกมาให้โจวหมิ่นรับประทาน ส่วนน้าพี่เลี้ยงก็เป็นคนทำอาหารส่วนของพวกเขา

“ได้เลี้ยงแม่ไก่ไว้ที่บ้านหรือเปล่า เอามาตุ๋นซุปให้หมินหมิ่นกินสิ อย่าไปซื้อไก่ของฟาร์มไก่นะ ไก่ของฟาร์มไก่ใช้เวลาไม่นานไม่มีสารอาหารอะไร” คุณแม่เย่พูดกับลูกชาย

เย่หมิงเป่ยกล่าว “ตอนบ่ายผมจะไปที่หมู่บ้านซื้อไก่เป็น ๆ กลับมาสักสามสี่ตัวเอามาเลี้ยงไว้น่ะครับ เวลากินก็จะได้เชือดแบบเป็น ๆ เลย”

“ถูกต้อง ซื้อไก่เป็น ๆ กลับมานะ ของที่แช่แข็งในตู้เย็นไม่ได้อร่อยอะไรเลย” อย่ามองว่าคุณแม่เย่เป็นคุณย่าอยู่ในชนบท เพราะนางเองก็มีความรู้ไม่น้อย

โจวหมิ่นได้ยินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่คะ ทำไมแม่ถึงรู้ว่ามันไม่ดีคะ? ตอนนี้คนในเมืองต่างก็ซื้อของมาแช่แข็งในตู้เย็นกันทั้งนั้นเลย”

คุณแม่เย่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “แม่ทำอาหารมาทั้งชีวิต ของแค่นี้ยังไม่รู้อีกเหรอ? ในหมู่บ้านของเราเวลาจะกินผักก็ต้องกินแบบเก็บสด ๆ ผักที่ถูกเก็บขึ้นมาจากพื้นดินล่วงหน้าหนึ่งวันก็มีรสชาติไม่เหมือนเดิมแล้ว ดูอย่างมันฝรั่งนั่นสิ ต้องเพิ่งขุดออกมาจากใต้ดินถึงจะอร่อย! เนื้อสัตว์นั่นก็เหมือนกัน แม่ไม่เคยใช้ตู้เย็นแบบของพวกเธอหรอก แต่เนื้อในฤดูหนาวของบ้านเราก็ถูกแช่แข็งไว้ข้างนอกทั้งนั้น เวลาได้กินก็ไม่ได้รู้สึกอร่อยเหมือนเนื้อจากสัตว์ที่เพิ่งเชือดสด ๆ อยู่ดี นี่แหละคือเหตุผล!”

“แม่สุดยอดจริง ๆค่ะ!” โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่พูดถูก ไม่ว่าจะของอะไรก็สู้ของสดใหม่ไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่คนในเมืองตอนนี้ได้กินของสดใหม่น้อยมาก”

น้าพี่เลี้ยงยกอาหารมาวางบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ของกินในเมืองหาที่สดใหม่ได้ยากมาก โดยเฉพาะผลไม้ที่เก็บไว้ตั้งหลายวัน ไม่เหมือนกับบ้านพวกเรา อยากกินตอนไหนก็ไปเก็บลงมาจากต้นได้เลย”

คุณแม่เย่กล่าว “ต่อให้เป็นแบบนี้แต่คนก็ยังอยากมาอยู่ในเมือง ไม่มีใครอยากไปอยู่ชนบทหรอก”

“ในเมืองใช้ชีวิตดีกว่าหน่อย” น้าพี่เลี้ยงพูดเรื่องจริง “ช่องทางทำเงินก็เยอะ เฮ้อ ได้อย่างเสียอย่าง ย้อนแย้งจริง ๆ เลย”

ครอบครัวของหล่อนก็อยู่ในชนบท

“นั่นน่ะสิ ในชนบทล้าหลังแล้ว หมู่บ้านที่อยู่ข้าง ๆ ของพวกเราเพิ่งจะมีไฟฟ้าข้าถึง หมู่บ้านของเรายังไม่มีเลย เธอดูสิในเมืองมีไฟฟ้าสว่างไสวแล้ว ตอนกลางคืนก็เหมือนกับตอนเช้า ทำอะไรก็ได้หมดเลย” คุณแม่เย่กล่าว

“ถูกต้อง แบบนี้แหละ” น้าพี่เลี้ยงพยักหน้า

โจวหมิ่นและเย่หมิงเป่ยฟังทั้งสองคนพูดคุยกัน ต่างก็พากันยิ้มแย้ม ทั้งสองคนดูเข้าขากันได้ดีเลย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่หมิงเป่ยก็ไปซื้อไก่ให้โจวหมิ่น ซึ่งคุณน้าแนะนำว่าถ้ามีไก่ดำก็ให้ซื้อไก่ดำมาสักตัว เพราะถ้านำไปตุ๋นซุปจะได้สารอาหารมากกว่า

คุณแม่เย่คอยปลอบหลานให้ ตอนนี้หลานเองก็กินอิ่มนอนหลับเต็มที่ ไม่ต้องดูแลอะไร

ส่วนคุณน้าก็ไปซักผ้าอ้อมให้เจ้าตัวน้อย

เป็นเพราะในบ้านมีคนคอยดูแลลูกให้ โจวหมิ่นจึงได้นอนหลับแบบสงบ

คุณแม่เย่มาในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่โจวหมิ่นที่สงบ เย่หมิงเป่ยก็สงบมากเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ต่อให้มีคุณน้าอยู่ด้วย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นคนนอก เขาเองก็เป็นห่วงโจวหมิ่นมาก ตอนนี้แม่มาที่นี่แล้ว เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เขาจึงมีเวลาคิดถึงเรื่องแฟชั่นวีคแล้ว

การแข่งขันแฟชั่นครั้งใหญ่ครั้งนี้ ผลลัพธ์ก็คือเสื้อผ้าของเย่ฉูฉู่ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น ได้รับแค่รางวัลน้องใหม่โดดเด่นมาหนึ่งรางวัล แต่ในฐานะของคนที่มาใหม่ในวงการก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

หลังจากนี้ก็คือการเข้าร่วมแฟชั่นวีค

โจวหมิ่นพูดไว้แล้วว่าสิ่งนี้ทำเพื่อให้สินค้าขายดีในช่วงปีใหม่ ถ้าสินค้าดังแบบพลุแตก ถึงเวลานั้นยอดสั่งตัดก็ไม่รู้ว่าจะมากขนาดไหน

เย่หมิงเป่ยเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ว่าอะไรคือดังแบบพลุแตก และไม่ได้มีความคิดในเรื่องทำนองนี้ การแข่งขันแฟชั่นครั้งใหญ่ทำให้เขาได้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถชื่นชมมันได้จากใจจริง

เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นไม่สามารถสวมใส่ออกไปข้างนอกได้ และเขาก็มองไม่ออกว่าสวยตรงไหน แต่น้องสาวของเขาออกแบบมาได้ดีหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็สามารถใส่ได้ ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่าได้แค่รางวัลน้องใหม่ผู้โดดเด่น ซึ่งเขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย

โจวหมิ่นบอกว่ามันเป็นแฟชั่น แฟชั่นก็คือการใช้เงิน ดูดีแต่ใช้ไม่ได้จริง หล่อนบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวล หล่อนจะทำให้เสื้อผ้าที่ฉูฉู่ออกแบบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

เย่หมิงเป่ยไม่ได้ตรึกตรองถึงเรื่องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขั้นตอนทั้งหมดของการแข่งขันแฟชั่นทำให้เขาเหนื่อยสุด ๆ เขาไม่อยากให้โจวหมิ่นเหนื่อยแบบนั้น นี่ก็กำลังอยู่ไฟ ถ้าเหนื่อยจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร?

เขาหวังว่าโจวหมิ่นจะได้รักษาร่างกายให้ดี ๆ โชคดีที่ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่า ๆ

คุณแม่เย่เดินทางมาถึงเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพ คุณพ่อเย่ที่ได้รับสายจากลูกชายจึงสบายใจ จ้าวเหวินเทาเองก็วิ่งมาที่บ้านพ่อตารอบหนึ่งเหมือนกัน เพราะกังวลว่าแม่ยายมาถึงหรือยัง จะหลงทางหรือไม่

โชคดีที่คุณแม่เย่ฉลาด เมื่อทราบเรื่องจากพ่อตา เขาจึงรีบกลับมาบอกภรรยาทันที

แม้เย่ฉูฉู่จะทราบว่าแม่ของตนฉลาด แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการเดินทางครั้งแรก แน่นอนว่าเธอเองก็ต้องเป็นกังวลเรื่องแม่อยู่แล้ว แต่โชคดีที่นางเดินทางไปถึงอย่างปลอดภัย

“คุณยายไปถึงเมืองหลวงแล้ว แถมยังช่วยดูแลน้องให้ลุงสามด้วย เสี่ยวไป๋หยาง คิดถึงคุณยายไหมเอ่ย?” เย่ฉูฉู่ล้างหน้าให้ลูกชายพลางพูดคุยกับเขาไปด้วย

เธอใช้น้ำนมล้างหน้าให้ลูกชายตัวน้อย เมื่อล้างแล้วผิวหน้าก็จะขาวนุ่ม สวยมาก ๆ

เสี่ยวไป๋หยางยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนแม่ของเขา คิ้วและดวงตาดูราวกับภาพวาด ดวงตาดำขลับทั้งแวววาวและเป็นสีดำ ดู ๆ ไปแล้วแฝงด้วยความเฉลียวฉลาด

“อาๆ อือๆ” เสี่ยวไป๋หยางยกมือเล็ก ๆ ตอบรับแม่ของเขา

เย่ฉูฉู่ยิ้มพร้อมกับหยอกลูกชาย “เสี่ยวไป๋หยางของพวกเราคิดถึงคุณยายแล้วสินะ รอให้คุณยายกลับมาจะเอาของอร่อย ๆ มาฝากนะ”

แค่พูดถึงของอร่อย ลูกลิงก็กระโดดเข้ามา ทั้งยังส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ ด้วย

ลูกลิงได้กินดีนอนหลับเต็มอิ่ม เมื่อทำงานเป็นบางครั้งก็จะได้รับรางวัลด้วย หลายเดือนมานี้มันจึงอ้วนฉุ ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นก็ยิ่งฉายแววความฉลาดออกมา

“ไฉไฉเองก็คิดถึงคุณยายแล้วสินะ” เย่ฉูฉู่ลูบหัวของลิงน้อย “ตอนที่คุณยายกลับมาก็จะเอาของอร่อยกลับมาฝากแกด้วยนะ”

ลูกลิงพึงพอใจ มันพิงข้างตัวเย่ฉูฉู่พลางส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ

เย่ฉูฉู่รู้สึกได้ว่าลูกลิงเห็นเธอเป็นแม่ ไม่เช่นนั้นคงไม่พึ่งพิงเธอขนาดนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เจอมันก็สนิทกับเธอแล้ว

“ภรรยาจ๋า พวกคุณคุยกันสนุกสนานเชียวนะ!” จ้าวเหวินเทาเดินเข้ามาจากด้านนอก

“แอ๊ ๆ!” เมื่อเสี่ยวไป๋หยางเห็นพ่อของเขากลับมา จึงโบกไม้โบกมือเล็ก ๆ เรียกเขา เท้าเล็ก ๆ ทั้งสองข้างเตะไปมาไม่หยุด ท่าทางดูเหมือนว่าจะดีใจมากทีเดียว …………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ทางฝั่งนี้ก็เลี้ยงทั้งเด็กทั้งลิง ครอบครัวสุขสันต์ไม่แพ้กันเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)