“ลูกชายของพ่อคิดถึงพ่อขนาดนี้เลยเหรอ!” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาและลูกชายต่างสนิทกันจริง ๆ เมื่อเข้ามาก็ทำท่าจะอุ้ม

เย่ฉูฉู่รีบพูด “รีบไปล้างหน้าล้างมือก่อนค่ะ ในหม้อมีน้ำร้อนอยู่”

“เจ้าลูกชาย รอพ่ออาบน้ำเสร็จแล้วจะมาอุ้มนะ” จ้าวเหวินเทาไปอาบน้ำแล้ว กลับมาจึงมาอุ้มลูกชาย ช่างเป็นภาพที่งดงามนัก สองพ่อลูกต่างยิ้มกันอย่างมีความสุขทีเดียว

เย่ฉูฉู่เห็นท่าทางแบบนั้นของเขาก็ทราบได้ นี่คือหัวหน้าครอบครัวที่อยากได้ลูกชาย!

ก่อนหน้านี้บอกว่าจะลูกชายหรือลูกสาวก็ได้ทั้งนั้น แล้วดูเขาประคบประหงมลูกชายสิ

แต่ก็อย่าพูดเลย ลูกชายของตัวเองน่ารักขนาดนี้ ใครเห็นก็ชอบกันทั้งนั้น ไม่แปลกใจที่พ่อของเขาจะรักขนาดนี้

ลูกลิงก็เข้าร่วมความครึกครื้นนี้ด้วย จ้าวเหวินเทาจึงต้องปลอบลิงสักหน่อยอย่างช่วยไม่ได้ เย่ฉูฉู่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“เสี่ยวไป๋หยาง แม่ของลูกเห็นพวกเราเป็นตัวตลกล่ะ!” จ้าวเหวินเทากล่าว

“เรื่องเหมาภาพยนตร์เป็นยังไงบ้างคะ?” เย่ฉูฉู่เปลี่ยนประเด็นสอบถามด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเหวินเทาคลี่ยิ้มกล่าว “ภรรยา ขอแค่สามีคุณลงมือ มีอะไรบ้างที่ไม่สำเร็จล่ะครับ?”

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขาด้วยรอยยิ้ม คนคนนี้มีโรคประจำตัว ยังไม่ได้พูดก็อวดก่อนแล้ว “เลิกอวดได้แล้วค่ะ เล่ามา”

“อวดอะไรกัน เรื่องใช้เงินใครก็สู้สามีคุณไม่ได้หรอกนะ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

คำพูดนี้ก็เป็นความจริง ไม่เพียงแค่ตนเองใช้เงินเก่ง แถมยังช่วยคนอื่นใช้เงินได้สุดยอดอีกด้วย

ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่เขาวิ่งไปกลับ เขาก็คุยเสียจนทีมใหญ่ของหมู่บ้านใกล้เคียงคล้อยตามและยินดีที่จะร่วมเหมาภาพยนตร์และงิ้ว

แต่ละหมู่บ้านจะมีการแสดงงิ้วในช่วงเช้า ตอนค่ำฉายภาพยนตร์ เป็นเวลาสามวัน ห้าหมู่บ้านรวมเข้าด้วยกันก็สิบห้าวัน เริ่มจากหมู่บ้านตะวันออกก่อน

ก่อนหน้านี้เดิมทีจองไว้เจ็ดวัน แต่ไปๆ มาๆ กลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“คณะงิ้วทางฝั่งนั้นเตรียมตัวกันวันนี้ พรุ่งนี้ผมจะไปพามา ส่วนพรุ่งนี้ตอนค่ำก็ฉายหนังได้แล้ว วันนี้ช่วงบ่ายผมจะไปเรียกชาวบ้านมาตั้งเวทีการแสดง ถึงเวลานั้นฝั่งนั้นมาก็แสดงได้เลย” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่ถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณพูดยังไงพวกเขาถึงยอมล่ะคะ? หมู่บ้านอื่นไม่เป็นไรหรอก แต่หมู่บ้านเราคุยยากจะตายไป”

“ยากอะไรกันล่ะ คนส่วนมากชอบดูหนังจะตายไป คนแก่ ๆ ก็ชอบฟังงิ้ว ทำงานหนักมาทั้งปีแล้ว ยังไงก็ต้องผ่อนคลายสักหน่อย คนจำนวนน้อยยอมก็กลายเป็นคนจำนวนมาก ก็เลยประสบความสำเร็จ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างสบาย ๆ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนี้อยู่แล้ว ทั้งยังต้องใช้ความพยายามนิดหน่อยด้วย

“แล้วแต่ละบ้านออกเงินบ้านละเท่าไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม

“แต่ละหมู่บ้านออกเงินสามร้อยหยวน หมู่บ้านเรามีหนึ่งร้อยกว่าครัวเรือน นำมาเฉลี่ยแล้วก็บ้านละไม่ถึงสามหยวน” จ้าวเหวินเทากล่าว

“แบบนั้นก็ไม่น้อยอยู่ดี” เย่ฉูฉู่กล่าว

อย่ามองว่ามันเป็นเงินไม่ถึงสามหยวน คนอื่นแม้แต่เงินสามเหมาก็ยังเสียดายที่จะใช้เลย เงินสามหยวนจึงไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ

“ก็ยังได้อยู่นะ เลี้ยงกระต่ายเพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้เงินคืนแล้ว” จ้าวเหวินเทาไม่ได้ใส่ใจ

“ตอนนี้จะเปิดปากหรือปิดปากก็มีแต่กระต่ายแล้วนะคะ” เย่ฉูฉู่ยิ้ม

“เลี้ยงกระต่ายดีจะตาย ไม่เปลืองสมองไม่เปลืองแรงก็ได้เงินคืนกลับมาอย่างรวดเร็วแล้ว มีอะไรไม่ดีล่ะ” จ้าวเหวินเทาพูดถึงตรงนี้ดวงตาก็เป็นประกาย “ภรรยา ผมจะบอกอะไรให้ ครั้งก่อนที่ผมเล่าเรื่องที่จะให้คนจากคณะงิ้วสองคนนั้นช่วยโฆษณาเรื่องกระต่ายให้พวกเรา มันสำเร็จแล้วนะ!”

เย่ฉูฉู่รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก “พวกเขายอมแล้วเหรอคะ?”

“ยอมแล้ว ผมพูดกับพวกเขาแบบนี้ คนในชนบทต่างก็พึ่งพาทุ่งนาเพื่อขายผลผลิตเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้น แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ต้องพัฒนาอาชีพเสริมด้วย กระต่ายนี้เลี้ยงง่าย แถมยังได้ประสบการณ์ด้วย ถ้าพวกนายช่วยโฆษณาเรื่องเลี้ยงกระต่าย ก็จะมีคนจำนวนมากขึ้นที่เลี้ยงกระต่าย รายได้ก็จะมากขึ้นด้วย หลังจากนี้ก็จะเชิญพวกนายให้มาแสดงละคร เงินก็สามารถให้ได้เยอะขึ้นด้วย พอพวกเขาได้ยินว่าสมเหตุสมผลก็ตอบตกลงเลย” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่ฉูฉู่เองก็มองเขาด้วยรอยยิ้ม

“แล้วหลังจากนี้จะโฆษณายังไงคะ?” เย่ฉูฉู่ถามถึงเรื่องสำคัญว่าจะโฆษณาเรื่องกระต่ายผ่านการแสดงงิ้วอย่างไร?

“ก็ฉางเอ๋อเหินจันทราไง!” จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึหึ “ภรรยา คุณไม่เคยได้ยินละครนี้เหรอ?”

“เคยได้ยินสิ ฉางเอ๋อเหินจันทรา ดังมากเลยนะ แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับกระต่ายยังไง…” เมื่อพูดถึงตรงนี้เย่ฉูฉู่ก็ตระหนักขึ้นได้ “หรือในตำหนักจันทรามีกระต่าย?”

“ถูกต้อง!” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในตำหนักจันทรามีกระต่าย ถึงเวลานั้นก็ให้ฉางเอ๋ออุ้มกระต่าย จากนั้นพูดเกี่ยวกับกระต่ายสักสองสามประโยค แบบนั้นก็สามารถขายกระต่ายได้แล้วไมใช่เหรอ!”

“คุณจะให้พวกเขาอุ้มกระต่ายตัวเป็น ๆ?” เย่ฉูฉู่ถาม

“ไม่ถึงกับอุ้มกระต่ายตัวเป็น ๆ หรอก กระต่ายหนึ่งตัวมีราคามากนะ ถ้ามันตกใจขึ้นมาจะทำยังไง ถึงเวลานั้นก็ทำกระต่ายปลอมขึ้นมาสักตัว ทำแบบที่ดูดีหน่อย ด้านบนก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ด้วย จริงสิ ภรรยา คุณวาดรูปเสื้อผ้าได้ไม่ใช่เหรอ แล้วคุณทำกระต่ายตัวนั้นได้ไหม?” จ้าวเหวินเทาถาม

เย่ฉูฉู่แอบรู้สึกขบขัน

ต่างอาชีพก็ห่างดั่งขุนเขากั้น วาดเสื้อผ้ากับวาดกระต่ายมันเหมือนกันตรงไหน? แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของสามี เธอก็ทำใจปฏิเสธไม่ได้ ครุ่นคิดแล้วตอบกลับไป “ฉันจะลองดูนะคะ”

“ตกลง ภรรยา ผมเชื่อว่าคุณทำได้แน่นอน!” จ้าวเหวินเทายิ้มตาหยี

เย่ฉูฉู่โบกมือ “คุณอย่ารีบให้น้ำแกงมึนงงกับฉันสิ จะวาดออกมาได้หรือเปล่ามันคนละเรื่องกันเลยนะ”

จ้าวเหวินเทาโอบภรรยาและหอมไปหนึ่งที “ภรรยา นี่ไม่ใช่น้ำแกงมึนงงนะ มันคือคำพูดจริง ๆ ต่างหาก”

เย่ฉูฉู่ไม่เชื่อเขาหรอก ตอนนี้เขาออกไปวิ่งค้าขาย ได้เห็นโลกภายนอก ฝีปากนี้ของเขาก็มีแต่จะเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ เรื่องที่ให้วาดรูปกระต่ายก็ยังต้องวาด เธอย่อมสนับสนุนเรื่องงานของสามีอยู่แล้ว

ด้วยในบ้านเลี้ยงกระต่าย เย่ฉูฉู่จึงวาดรูปเป็น การวาดออกมาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากตรงที่จะทำออกมาอย่างไร และทำอย่างไรให้ดูดี เรื่องนี้ต้องคิดให้รอบคอบ

ส่วนทางฝั่งพี่สะใภ้รองจ้าว หล่อนกำลังถามพี่รองจ้าวด้วยเสียงสูง “อะไรนะ บ้านละสามหยวน?!”

“ไม่ใช่สามหยวน สองหยวนกว่า ๆ” พี่รองจ้าวแก้คำ “2.67 หยวน”

“แต่มันก็ยังมากอยู่ดี!” พี่สะใภ้รองจ้าวไม่พอใจ “ฉันไม่เข้าใจเลย ติดหนี้จนอดอยากปากแห้งแบบนี้แล้ว ยังจะดูหนังอะไรกัน คนพวกนี้ไม่มีสมองเลยหรือไง?”

“คุณพูดอะไรของคุณ นี่ก็ยุ่งมาทั้งปีแล้ว ดูหนังหน่อยมันจะทำไมกันเชียว? เงินสองหยวนกว่า ๆ เอง ไม่จ่ายก็ไม่ได้ทำให้รวยขึ้น จ่ายไปก็ไม่ได้ทำให้จนลง” พี่รองจ้าวกล่าว

เขาชอบดูภาพยนตร์ นี่ก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้ดู จึงอยากดูมากจริง ๆ

ตอนนี้น้องชายเป็นผู้นำในการเหมาภาพยนตร์แล้ว นี่นับเป็นเรื่องที่ดีมาก เขาไม่อยากฟังภรรยาบ่นเรื่องเงินแล้ว ปีนี้หล่อนบ่นจนเขาปวดหัวไปหมด ทำเอาเขารู้สึกไม่มีประโยชน์อย่างไรอย่างนั้น

พี่สะใภ้รองจ้าวกลับพูดด้วยความโมโห “ยังจะพูดอีกว่าสองหยวนกว่า ๆ ทำตัวอย่างกับคุณมีเงินเยอะเลยนะ ไม่ดูบ้างเลยว่าชีวิตของตัวเองเป็นยังไง…”

พี่รองจ้าวทนไม่ไหวแล้ว เขาจึงขึ้นเสียง “คุณไม่อยากจ่ายก็ไม่ต้องจ่าย ไม่มีใครบังคับให้คุณไปดูสักหน่อย!”

พูดจบก็เดินออกไป

พี่สะใภ้รองจ้าวตกตะลึงจนหายโมโห เป็นเพราะภาพยนตร์เน่า ๆ เขาถึงกับตะคอกใส่หล่อนแบบนี้ สามีหล่อนกินยาผิดขวดหรือเปล่าเนี่ย?

ไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคนที่ทะเลาะกัน

ทางพี่สามจ้าวก็โกรธมาก อยู่ดี ๆ ก็ต้องจ่ายเงินเกือบสามหยวน นี่มันอะไรกัน? เงินสามหยวนต้องขายเต้าหู้อีกกี่ก้อนกว่าจะหากลับมาได้?

แต่พี่สะใภ้สามจ้าวกลับร้องเพลงแล้ว หล่อนชอบฟังงิ้ว จึงไม่ได้สังเกตสีหน้าของพี่สามจ้าวในขณะที่พูดกับตัวเอง “พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปบ้านแม่ จะพาแม่แล้วก็พวกพี่สะใภ้มาที่นี่ จะได้ดูงิ้วด้วยกันสักวันสองวัน”

พี่สามจ้าวได้ยินก็โกรธมาก นี่มันอะไรกัน? เพิ่งจะจ่ายเงินไป พ่อตาแม่ยายก็จะมาอีก หากพวกเขามาที่นี่ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้แล้ว แค่ผักดองเค็มและข้าวโพดบดคงไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงอาหารสามสี่ชนิด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีสักจาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามาที่นี่หนึ่งวันเลย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มาหานานมากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องต้อนรับดี ๆ แต่นั่นมันอะไรกัน เงินทั้งนั้นเลยนะ!

พี่สามจ้าวรู้สึกว่าการทำเต้าหู้ของเขาในช่วงนี้ช่างเปล่าประโยชน์ ไม่เพียงแต่ทำโดยเปล่าประโยชน์แล้ว แต่ยังเข้าเนื้ออีกไม่น้อยเลยด้วย

“ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นะ คุณไม่ได้ยินหรือไง?” พี่สามจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

“พูดอะไรเหรอ?” พี่สะใภ้สามจ้าวไม่ทันได้สังเกตจริง ๆ

“บ้านหนึ่งต้องจ่ายเงินเกือบสามหยวนเลยนะ!” พี่สามจ้าวเน้นเสียงตรงคำว่าสามหยวน

พี่สะใภ้สามจ้าวไม่เข้าใจ “ฉันรู้แล้ว คุณพูดตั้งหลายรอบแล้วนะ”

พี่สามจ้าวโกรธจนร่างแทบระเบิดแล้ว “สามหยวนเลยนะ สามหยวน ต้องขายเต้าหู้อีกกี่ก้อนถึงจะได้มา คุณรู้บ้างหรือเปล่า ยัยผู้หญิงฟุ่มเฟือยเอ๊ย!”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สะใภ้รองลืมไปแล้วหรือเปล่าคะว่าใครเป็นคนยุให้สามีตัวเองสร้างบ้านใหม่ กลืนน้ำลายตัวเองแล้วเหรอ

ส่วนพี่สามนี่ก็งกไปไหน

ไหหม่า(海馬)