แต่เวลานี้ชิวเยี่ยไป๋ไม่สนใจที่จะชื่นชมความงามเช่นนี้แม้แต่น้อย ยามนี้นางมือหนึ่งกุมกระบี่ อีกมือกุมสายผ้าอนามัยไว้ จิตใจสับสนอย่างยิ่ง
นางควรฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้สติ ‘ประหารเทพ’ อย่างรวดเร็วหรือว่าควรรัดสายกางเกงก่อน ถึงอย่างไรการโถมเข้าฆ่าคนทั้งที่ท่อนล่างเลอะเทอะด้วยเลือด สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าอย่างมาก
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงหนอ!
แต่เห็นอีกฝ่ายท่าทางงงงันเซ่อซ่าชิวเยี่ยไป๋ก็ลอบถอนใจ แล้วตัดสินใจหันหลังจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อน
ประมาณว่าเพราะ ‘ความลับ’ นี้ถูกคนที่ไม่ควรรู้ที่สุดรู้เข้าแล้ว ในใจของนางจะมากหรือน้อยก็เตรียมใจไว้แล้วว่า ‘ความลับ’ จะไม่เป็น ‘ความลับ’ อีกต่อไป ดังนั้นจึงมิได้ลนลานมากนัก อย่าว่าแต่ก่อนหน้านี้นางก็สงสัยอยู่แล้วว่าไอ้หมอนี่น่าจะล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของนางอยู่แล้ว
จนกระทั่งนางจัดการกับตนเองเสร็จอย่างรวดเร็ว จึงก้าวทีละก้าวเข้าหาหยวนเจ๋อ แลดูเขาถามเนือยๆ ว่า “อาเจ๋อ ทำไมอยู่ที่นี่”
มิรู้ว่าหยวนเจ๋อเพราะตกใจจนเกินไปกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่หรือไม่ เวลานี้จึงยังคงมีท่าทางเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“พูด!” ชิวเยี่ยไป๋ใช้ฝักกระบี่ในมือเคาะขาเขาคราหนึ่ง หยวนเจ๋อจึงได้สติ แต่ยังคงท่าทางงงงันเซ่อซ่า “ประสกโจวให้อาตมาช่วยรักษาบาดแผลให้ประสกเสี่ยวไป๋”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “รักษาบาดแผล?”
หยวนเจ๋อยังคงใบหน้าว่างเปล่า ผงกศีรษะและชูของในมือให้ดู “ใช่แล้ว ประสกโจวสงสัยว่าประสกเสี่ยวไป๋ริดสีดวงแตกจึงเลือดออกมาก อาตมามีด้ายและเข็มพร้อมที่จะช่วยประสกเสี่ยวไป๋เย็บไว้ และยานี่ก็มีสรรพคุณในการขจัดของเน่าเสียสร้างเนื้อใหม่ เมื่อถูกเลือดก็จะผนึกตัวอย่างน่าอัศจรรย์”
เย็บไว้…
ชิวเยี่ยไป๋มองดูด้ายเส้นเล็กและยาห้ามเลือดที่มิรู้ว่าเขาไปได้มาจากที่ใด ปากกระตุกคราหนึ่งแล้วหลับตาลง บอกตัวเองว่าจื่อเฟยกับเจ้าหลวงจีนงี่เง่าล้วนมีเจตนาดี เช่นนี้จึงสามารถสะกดความคิดที่อยากจะซัด ‘จอมยุ่งไม่เข้าเรื่อง’ ทั้งสองคนสักตั้ง
นางลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาวาววับเย็นเยียบ เดินเข้าใกล้ก้าวหนึ่งจ้องหยวนเจ๋อเขม็ง โค้งมุมปากกล่าวว่า “แล้วตอนนี้เล่า เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไร ยังคิดจะเย็บบาดแผลอีกหรือ”
หยวนเจ๋อจู่ๆ ก็เห็นใบหน้างดงามในระยะใกล้และแววตาเย็นเยือกที่คุกคามผู้คน เขาจึงคิดหลบตามสัญชาตญาณ แต่ชิวเยี่ยไป๋กระชากคอเสื้อไว้ลากเข้ามาหาตน “เจ้าหลบอะไร”
หยวนเจ๋อเกือบชนใส่นาง รู้สึกถึงไออุ่นของลมหายใจของนาง ดวงตาบริสุทธิ์สีเทาเงินเนื่องจากอยู่ในระยะประชิดจึงฉายแววลนลานวูบหนึ่ง ใบหน้างดงามขาวผ่องจนแทบโปร่งใสก็คลุมด้วยสีแดงระเรื่อชั้นหนึ่ง “อาตมา…อาตมา…อาตมาเปล่า…อาตมาเพียงคิดว่าประสกน่าสงสารมาก…”
“น่าสงสาร?” ชิวเยี่ยไป๋นึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบที่พิลึกกึกกือเช่นนี้ นางมองดูหยวนเจ๋ออย่างงงงัน กลับพบว่าดวงตางดงามที่แสนบริสุทธิ์เปี่ยมด้วยความเห็นใจ
เห็นใจนาง?
นางน่าสงสารตรงไหน
เห็นใจที่นางเป็นสตรี หรือเพราะเขาก็ล่วงรู้…คำสาปแช่งบุตรีคนที่สี่ของตระกูลชิว!
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาอย่างน่าหวาดเสียว มือกุมด้ามกระบี่ที่เอว คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “อาเจ๋อ เจ้าเคยได้ยินอะไรใช่ไหม”
ถ้าเขากล้าดีคิดจะนำเอาเรื่องนี้ไปโพทนาแม้แต่น้อยนิด นางจะต้องหาวิธีปลิดศีรษะบนบ่าให้ได้ ด้านพลังฝีมือแม้นางจะสู้เขามิได้ แต่การฆ่าคนมีร้อยพันวิธี ไม่ใช่แค่ว่าต้องปะทะตรงๆ คนโง่ง่มเช่นหยวนเจ๋อ หากนางคิดจะเด็ดชีพเขาย่อมมีวิธีเป็นพันเป็นหมื่น
หยวนเจ๋อแลดูคนเบื้องหน้า แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่เห็นใบหน้าชิวเยี่ยไป๋ส่อแววรำคาญมากขึ้นทุกที ในที่สุดจึงหน้าแดงอธิบายว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ ท่านอย่ารีบร้อน แม้บาดแผลตรงนั้นจะหนักหนาสาหัส แต่หลังจากพวกเราได้ออกจากที่นี่แล้ว ข้างนอกย่อมมีหมอเทวดาที่เก่งกล้าสามารถแน่ ท่านจะต้องแต่งเมียมีลูกมีเต้าได้”
มือของชิวเยี่ยไป๋ที่กระชากคอเสื้อเขาหยุดกึก สมองหมุนไม่ทัน “แต่งเมีย มีลูก?”
หยวนเจ๋อเห็นท่าทางของชิวเยี่ยไป๋ก็คิดว่าอีกฝ่ายยังไม่เชื่อตน จึงรีบยัดยาสมานแผลใส่มือนางทันที กล่าวอย่างจริงจังเปี่ยมด้วยเมตตาว่า “อามิตาภพุทธ ประสกเสี่ยวไป๋ ท่านเป็นคนใจดี ยานี้ท่านเอาไว้ใช้ก่อน นี่เป็นตัวยาที่ได้มาจากท่านอาจารย์ของอาตมา สามารถขจัดเนื้อเน่าเปื่อยสร้างเนื้อใหม่ แม้จะมิรู้ว่าจะทำให้ท่านฟื้นคืนเหมือนเดิมหรือไม่ แต่ก็น่าจะลองดู ไว้อาตมาพบกับท่านอาจารย์แล้วค่อยเรียนถามท่านอาจารย์ว่ายังมีวิธีอื่นรักษาได้หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูของในมือ นางพลันเข้าใจบ้าง พริบตานั้นก็ตัวแข็ง แทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับสรุปเช่นนี้ได้”
เจ้าหลวงจีนหน้าโง่คิดว่า ‘สัญลักษณ์บุรุษ’ ของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงหลบมาจัดการบาดแผลตรงนี้!
โลกใบนี้ยังมีคนบริสุทธิ์ถึงปานนี้เชียวหรือ
ให้นางเชื่อว่าแม่หมูปีนต้นไม้ได้ยังจะง่ายกว่า
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อยแววตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง ยกมือใช้กระบี่ยาวในมือกดที่คอของเขา กล่าวอย่างถากถางว่า “หยวนเจ๋อ เจ้าคิดว่าข้าโง่มากใช่ไหม และเจ้ายังคิดว่าตนเองฉลาด จะดีจะร้ายก็ถือว่าเราทุกข์สุขร่วมกัน เจ้าแต่งเรื่องพวกนี้มาหลอกข้าทำไม ให้ข้าลองเดาดูไหมว่าเช้าวานนี้คนที่อุ้มข้าลงเรือเป็นใคร คงมิใช่ภูตผีกระมัง”
หยวนเจ๋อแววตางงงัน เขามิรู้ว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงว่าเขาหลอกนาง
“เมื่อวานมิใช่ประสกเอาตัวอาตมาลงเรือหรอกหรือ”
เขาตื่นมาก็อยู่ในเรือแล้ว ทำไมประสกเสี่ยวไป๋จึงถามคำถามนี้
แม้ชิวเยี่ยไป๋จะคิดว่าหยวนเจ๋อก็แค่แกล้งโง่ ในโลกนี้ใครบ้างที่เห็นร่างกายของสตรีแล้วยังแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ยากจะคาดคิดจริงๆ!
แต่เห็นท่าทางโง่เง่าใสซื่อของเขาแล้ว นางก็อดงงงันในใจมิได้
จะอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็เป็นคนคลุกคลีในยุทธจักรมานานปี การดูคนยังนับว่าแม่นยำมาก จะหลอกนางมิใช่เรื่องง่าย คนที่อยู่เบื้องหน้านี้ถ้ามิใช่นักแสดงละครแต่กำเนิด ก็คงเป็นคนที่ไม่รู้จริงๆ
นางจ้องดวงตาที่สดใสงงงันแล้วพิเคราะห์สีหน้าท่าทางรายละเอียดทุกอย่าง ความสงสัยของนางก็เริ่มสั่นคลอน คนทุกคนยากจะควบคุมอากัปกริยาเล็กน้อยของตนเอง คนพูดโกหกต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางควบคุมสีหน้าท่าทางเล็กน้อยได้ทั้งหมด
หยวนเจ๋อ…หรือว่าเจ้าเป็นคนพิสดารที่ไม่รู้เรื่องทางโลกเลย ช่างยากจะเชื่อจริงๆ
ชิวเยี่ยไป๋จ้องหยวนเจ๋อเขม็งอยู่เนิ่นนาน แต่หยวนเจ๋อยังคงมีท่าทางงุนงงและไม่เข้าใจ จึงคลึงหว่างคิ้วของตนเองอย่างจนใจ “อาจารย์ของเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่ และเจ้าเติบโตในสถานที่เช่นไร”
สถานที่แบบไหนหนอจึงเพาะเลี้ยงคนพิสดารที่รวมเอาความย้อนแย้งทั้งหมดในใต้ฟ้าไว้ในร่างเดียวกัน
ถ้าจะว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องของคนเลย แต่พอกล่าวถึงพุทธะและธรรมะกลับคล้ายคนชราที่ผ่านชีวิตมาหลายสิบหรือเป็นร้อยปี เห็นทะลุปรุโปร่งทุกเรื่องราว วาจาล้วนคล้ายถือเอาคนทั่วหล้าเหมือนหุ่นฟางรูปสุนัข[1] พฤติกรรมกลับคล้ายเมตตากรุณาต่อสรรพสิ่งและสรรพสัตว์
——
[1] เป็นประโยคจากคัมภีร์เหลาจื่อของจีนโบราณ ‘ฟ้าดินไร้เมตตาธรรม ถือสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟางรูปสุนัข’ หุ่นฟางรูปสุนัขเป็นเครื่องเซ่นสรวงในพิธีกรรมโบราณ ในที่นี้เน้นที่ความไร้เมตตาธรรม