“ไม่รู้ว่าเหมยซูจะได้ชิมปลาเค็มย่างของใต้เท้าหรือไม่…ฮ่าๆ…แค่กๆ…” โจวอวี่พิงกับต้นไม้ไอเบาๆ
ชิวเยี่ยไป๋ส่งถุงน้ำให้พลางกล่าวเนือยๆ ว่า “คนที่ใช้สมองย่อมเป็นผู้บัญชาคน เขาไม่ไล่ล่าเองหรอก ย่อมต้องคอยกำกับสถานการณ์อยู่ที่ใดที่หนึ่ง วางแผนดุจตาข่ายฟ้า”
นางเห็นโจวอวี่ดื่มไปหลายอึกแล้วสำลักจึงเอื้อมมือช่วยลูบให้โล่ง “ว่าแต่เจ้า ข้านึกไม่ถึงเลยว่าฝีมือบังคับม้าจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”
โจวอวี่เป็นผู้มีฝีมือการบังคับม้าที่ล้ำเลิศ สามารถทำให้ม้าควบขับไปเหมือนมีคนคอยกำกับทั้งๆ ที่ไม่มีใครควบคุม ห้อตะบึงไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็คิดอย่างละเอียดรอบคอบโดยขนก้อนหินแถวนั้นไปไว้ในรถเพื่อตบตาทหารที่ตามล่า ให้พวกเขาคิดว่าในรถมีสามคน
ดังนั้น ‘แผนรถม้าเปล่า’ ครั้งนี้จึงสัมฤทธิ์ผลอย่างราบรื่น
หลังโจวอวี่ค่อยโล่งขึ้นแล้วจึงกระตุกมุมปากเล็กน้อย หัวร่อเยาะหยันตนเอง “นี่เป็นเพียงลูกเล่นของพวกลักเล็กขโมยน้อยเท่านั้น สมัยก่อนข้าน้อยชอบเล่นพนันม้าแข่งม้าจึงพอจะรู้อยู่บ้าง ข้าน้อยเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้นำมาใช้ช่วยชีวิตในวันนี้”
ชิวเยี่ยไป๋ตบไหล่เขาหัวร่ออย่างดีใจว่า “จื่อเฟย อย่าดูถูกตัวเอง ถ้าฝีมือการควบคุมม้าของเจ้าเป็นลูกเล่นของพวกลักเล็กขโมยน้อย อย่างนั้นฝีมือปลาเค็มชุบน้ำมันเผาคนของข้ามิใช่ยิ่งต่ำต้อยกว่าหรือ”
จื่อเฟยเป็นชื่อรองของโจวอวี่ โจวอวี่งงงันจู่ๆ ได้ยินชิวเยี่ยไป๋เรียกชื่อรองของตน มิทราบเพราะเหตุใดในใจจึงมีความรู้สึกประหลาด
จากนั้นเขามองดูใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองที่อยู่ใกล้เขาแค่คืบ ถึงกับเบือนหน้าหนีอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง และผงกศีรษะอย่างเลอะเลือน
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาในชุดสตรี เดิมทีถูกพิษไข้รุมเร้าจนแก้มแดง บัดนี้จู่ๆ ก็เหมือนทาแป้งแดงไว้อีกชั้น ดวงตาเจ้าชู้หม่นมัวเหมือนมีหมอกคลุมกลับมีประกายวิบวับ ดูแล้วเหมือนเอียงอาย นางจึงเย้าว่า “เป็นอะไรไป เมียข้าไม่สบายหรือ หรือว่าเดินไม่ไหวจะให้สามีอุ้มอีก”
โจวอวี่ได้ยินนางหยอกล้อก็นึกขึ้นได้ว่าเพราะตนเองอ่อนระโหย ไม่มีปัญญาควบคุมม้าคนเดียว จึงต้องให้ชิวเยี่ยไป๋อุ้มไว้จึงทำสำเร็จ ตอนนั้นตนเองนั่งบนตักเขาเหมือนสตรี ใบหน้าจึงยิ่งร้อนผ่าว!
ในใจลอบคิดว่า แม้จะเหลวไหล แต่ถ้าได้สามีที่เก่งกาจเช่นใต้เท้า ต่อให้เป็นบุรุษก็ยังคงยอมแต่งกับใต้เท้ากระมัง
ทางด้านโน้นหยวนเจ๋อกำลังประคองใบบัวที่รองน้ำไว้เดินเข้ามา เห็นชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่อิงแอบระริกระรี้ บรรยากาศสนิทสนมมาก มองแต่ไกลเหมือนกับเป็น ‘สามีภรรยา’ คู่หนึ่ง ดวงตาสีเทาเงินของเขาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง แล้วถอนใจเบาๆ
ช่างเถอะ เขาช่วยอาชูรอบนี้ก็แล้วกัน ไม่ว่าอาชูอยากได้ประสกเสี่ยวไป๋ด้วยเป้าประสงค์อะไรก็ตาม แต่ถึงอย่างไรประสกเสี่ยวไป๋ยังคงเป็นคนแรกที่กำหัวใจของอาชูไว้ได้
ครู่หนึ่งเขาจึงประคองใบบัวเดินมาถึงราวกับไม่เห็นคนทั้งสองกำลังหัวร่อต่อกระซิก วางใบบัวไว้ระหว่างคนทั้งสอง “ในถุงน้ำเกือบหมดแล้วเดี๋ยวอาตมาเอามาให้เอง ดื่มนี่ก่อนเถิด เมื่อครู่อาตมาสำรวจพบตาน้ำ อีกสักครู่ค่อยบรรจุให้เต็มถุง”
ชิวเยี่ยไป๋มิได้สงสัยรับมาจิบดู น้ำจากลำธารหอมหวานรสชาติดีมาก นางนึกในใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าดูแลจื่อเฟยก่อนนะ ข้าจะไปจัดการกับพวก…คราบสกปรกบนตัวก่อน”
พูดจบนางพลันหันกายจากไปอย่างรวดเร็ว
หยวนเจ๋อที่อยู่ข้างๆ แลดูเงาหลังนางจากไป แล้วกล่าวกับโจวอวี่อย่างนุ่มนวลว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ริดสีดวงทวารแตก นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก อาตมาไปช่วยเขาจัดการสักหน่อยดีกว่า”
ในรถม้าเมื่อครู่ โจวอวี่ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานถึงได้เป็นข้อสรุปหนึ่งขึ้นมา ในบุรุษสิบคนจะเป็นริดสีดวงเก้าคน เขาเห็นชิวเยี่ยไป๋นั่งไม่เป็นสุข แต่ไม่เหมือนท่าทางของคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงคิดไปถึงโรคชนิดหนึ่งที่จะทำให้คนนั่งไม่เป็นสุข เลือดไหลไม่น้อย แต่ไม่ถึงชีวิต ทั้งยังทำให้ทรมานแต่ไม่กล้าเอ่ยบอก นั่นก็คือ…ริดสีดวงทวารแตก
หยวนเจ๋อผู้ไม่รู้สาเหตุ เห็นโจวอวี่แจกแจงได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล จึงเห็นด้วยกับเขา
โจวอวี่ไอไปพลางเอ่ยอย่างกังวลไปพลางว่า “อืม ไปเถิด ทางที่ดีไปควรไปเย็บแผลริดสีดวงไว้ก่อน น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเข็มกับด้ายเย็บแผลและยาห้ามเลือด”
เข็มกับด้ายเย็บแผลและยาห้ามเลือด?
หยวนเจ๋อครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันพยักศีรษะแล้วเอ่ย “อามิตาภพุทธ อาตมามี”
โจวอวี่ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนพกของจำพวกเข็มกับด้ายเย็บแผลติดตัวด้วย แต่ก็ยังพยักหน้า เร่งเขา “ดี เจ้ารีบไปเถิด ข้าอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากจัดการริดสีดวงของใต้เท้าไม่ดี เกรงว่าจะเดินทางไม่สะดวก”
หยวนเจ๋อพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันกายเดินไปตามทิศทางที่ชิวเยี่ยไป๋หายตัวไป พกเข็มกับด้ายเย็บแผลและยาห้ามเลือดเตรียมไปช่วยชิวเยี่ยไป๋ ‘เย็บแผล’
…
ชิวเยี่ยไป๋พบลำธารอย่างรวดเร็ว เห็นสายน้ำใสสะอาดเต็มลำธาร นางจึงถอนใจเฮือกอย่างโล่งใจ เหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีคนก็รีบเด็ดใบไม้ใบหญ้า ยองกายลงเปิดห่อผ้าเล็กๆ ดึงเสื้อผ้าเก่าออกมาหลายตัวพับซ้อนกัน ทำเป็นของใช้ยามฉุกเฉินเสร็จอย่างรวดเร็ว
ในยุคนี้แม้นางจะเคยนำสำลีและผ้าแพรนุ่มมาทำเป็นผ้าอนามัยเองบ้าง แต่จนใจที่ขณะนี้ไม่ได้พกติดตัว ยังดีที่สมัยอยู่ชนบทเคยเห็นพวกสตรีทำของเช่นนี้ แม้จะไม่สะดวก แต่ยามฉุกเฉินคงต้องใช้ก่อน
หลังทำ ‘งานหัตถกรรม’ จนเสร็จ นางก็จุ่มมือลงธารน้ำใส ความเย็นที่ปลายนิ้วทำให้นางขมวดคิ้วน้อยๆ สตรีในวันเบาๆ เช่นนี้ไม่ควรถูกน้ำเย็น แต่สภาพขณะนี้ก็จนใจ นางจึงได้แต่แก้กางเกง ใช้แถบผ้าจากเสื้อผ้าเก่าที่ได้มาจากบ้านหลิวต้าเช็ดล้างร่างกาย
แถบผ้าเย็นเยียบสัมผัสกับต้นขา พริบตานั้นนางพลันสยิวกายอย่างอดมิได้ รู้สึกปวดตุบที่ท้องน้อย ยังดีที่ตะวันร้อนแรง นางจึงกัดฟันเช็ดล้างด้วยคิดจะรีบทำให้เสร็จๆ
จนกระทั่งชำระล้างเรียบร้อยแล้วชิวเยี่ยไป๋จึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก กำลังจะรัดกางเกงให้เรียบร้อย พลันได้ยินนกตัวหนึ่งบินผ่านศีรษะส่งเสียงร้องตกใจแล้วกระพือปีกบินหนีไป
เดิมทีนางไม่คิดอะไร แต่ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในใจ นางตัวแข็ง นกนั่นคงมิใช่ตกใจบินออกมาโดยไร้สาเหตุ
นางหันกายช้าๆ ก็สบตากับใบหน้างดงามใบหนึ่งที่ตะลึงอยู่ไม่ไกลนัก ท่ามกลางสีเขียวเข้มและอ่อน แสงตะวันที่ตกอยู่บนร่างนั้น ทำให้เขาดูบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับเทพเทวาที่มาสู่แดนมนุษย์