โจวอวี่ไม่พูดอีก เขารู้ว่านี่มิใช่จังหวะที่ดีในการหยุดรถเด็ดขาด
ชิวเยี่ยไป๋รั้งบังเหียนพลางรู้สึกไม่สบายที่ท้องน้อย ในใจก่นด่าฟ้าดินเป็นครั้งที่หนึ่งพันหนึ่ง ทำไมถึงไม่ยุติธรรมกับลูกผู้หญิงเช่นนี้หนอ!
รถม้าที่บรรทุกคนสามคน ย่อมไม่มีทางเร็วไปกว่าทหารที่ไล่ล่า
ยิ่งไปกว่านั้นม้าที่ใช้ลากรถของชิวเยี่ยไป๋ ยังเป็นม้าลากรถแสนธรรมดาในหมู่บ้านด้วย
แม้นางจะพยายามหวดแส้เร่งรัด แต่ขณะผ่านหมู่บ้านแห่งที่สองยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากด้านหลัง
นางหน้าเครียด หันไปพูดกับโจวอวี่และหยวนเจ๋อว่า “ประเดี๋ยวพวกเจ้าลงจากรถก่อน สามคนเป้าหมายใหญ่เกินไป ต้องแยกกันไป ข้าจะขับรถม้าไปข้างหน้า แล้วสมทบกันที่หมู่บ้านซิ่งฮวา!”
แม้นางจะมิรู้ว่าอู่เรือของหมู่บ้านซิ่งฮวาอยู่ที่ใด แต่คนอยู่กับภูเขาอาศัยภูเขากิน อยู่กับทะเลอาศัยทะเลกิน ดังนั้นหมู่บ้านแถบนี้ย่อมต้องมีอู่เรือแน่เพื่อความสะดวกในการซ่อมเรือ
โจวอวี่หน้าเปลี่ยนสี เขารู้ดีว่าถ้าชิวเยี่ยไป๋ตัวคนเดียวย่อมสามารถขวางดาบฆ่าศัตรูแล้วทะลวงวงล้อมฝ่าไปได้ คนพวกนั้นไม่มีทางขวางนายน้อยของสำนักหอซ่อนกระบี่ไว้ได้แน่
หากมิใช่เพราะตนที่ร่างกายไม่พร้อมและหยวนเจ๋อที่โง่งม ชิวเยี่ยไป๋ย่อมไม่จำเป็นต้องเอาตัวเป็นเหยื่อล่อชักนำศัตรูไป เขาพลันแววตาหม่นลง ปวดร้าวในใจอีกครั้งถึงความไม่เอาไหนของตน
เขาเห็นท่าทางของนางพร้อมที่จะหยุดรถทุกเวลา จึงเอื้อมมือดึงชายเสื้อของนาง “ใต้เท้า เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องเสี่ยงเช่นนี้!”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แลดูโจวอวี่ แผนของนางเป็นแผนที่ดีที่สุดในเวลานี้ หรือว่าเขายังมีวิธีที่ดีกว่านี้
โจวอวี่สีหน้าขาวซีด แต่จ้องมองชิวเยี่ยไป๋ด้วยแววตามั่นคงแล้วยิ้ม “แต่ต้องรบกวนใต้เท้าอุ้ม ‘เมีย’ คนนี้แล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขายังมีกะจิตกะใจล้อเล่น จึงหยุดลงแล้วหัวร่อบ้าง “ได้”
…
“องครักษ์ใหญ่เจิ้งหยาง ข้างหน้ามีรถม้า ดูจากรอยล้อแล้วบนรถมีสามคนเป็นอย่างน้อย!”
ขบวนม้าที่ห้อตะบึงภายใต้การนำของคนแรกจู่ๆ ก็หยุดลงอย่างพร้อมเพรียง องครักษ์คนหนึ่งเอี้ยวตัวกระโดดลงจากม้า กอบดินบนพื้นบีบและดมดู จากนั้นรีบนั่งตัวตรงรายงานเสียงดังต่อหน้าหัวหน้าบนม้า
เจิ้งหยางสีหน้าเย็นเยือก “ไม่ผิดจากที่นายท่านคาดไว้ บนรถเป็นคนที่พวกเราเสาะหา เมื่อครู่ต้องมีสามคนแน่ ฟังว่าหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นหลวงจีนปีศาจผมขาว เมื่อครู่คงฟุบอยู่ใต้รถ ตบตาทหารที่ตรวจค้น!”
“ดูจากความเร็วของพวกเขา ยามนี้น่าจะห่างจากพวกเราไม่ถึงหนึ่งลี้” องครักษ์คนเดิมตอบทันที
“ให้มันหนีออกจากตงอั้นมิได้ นายท่านส่งนกพิราบสื่อสารไปแล้ว สั่งให้ตั้งด่านสกัดจับ พวกเราแค่บีบพวกมันให้เข้าสู่วงล้อม พวกมันมีปีกก็บินไม่พ้นแล้ว!” ดวงตาเจิ้งหยางฉายแววดุดันรั้งบังเหียนตวัดแส้ฟาดใส่ม้าชั้นดีที่ควบขับ กล่าวเสียงเย็นว่า “หลังสกัดไว้แล้ว ไว้ชีวิตชิวเชียนจ่งนั่นคนเดียวก็พอ ที่เหลือฆ่าทิ้ง!”
“ขอรับ” บรรดาองครักษ์และทหารทางการรับคำพร้อมกัน และพากันลงแส้ห้อตะบึงต่อจนฝุ่นฟุ้งตลบ
และแล้วก็เป็นความจริง พวกเขาไล่ตามไม่ถึงสิบห้านาที ก็เห็นฝุ่นตลบฟุ้งอยู่เบื้องหน้ารำไรซึ่งเกิดจากการห้อตะบึงปานเหินบินบนทางน้อยของรถม้าคันหนึ่ง
“ข้างหน้าฟังไว้ หยุดเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นอย่าโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!” เจิ้งหยางตวาดเสียงดัง
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ยังคงห้อตะบึงต่อไป รถม้าคันนั้นตะบึงอย่างบ้าคลั่งจนแทบแตกเป็นเสี่ยง
หลังเจิ้งหยางตวาดเตือนสามครั้งแล้ว แววตาเกรี้ยวกราด เห็นกับตาว่าค่อยๆ เข้าใกล้รถคันนั้น เขายื่นมือไปข้างๆ “เอาธนูมา!”
องครักษ์ที่ตามมาข้างๆ รีบโยนคันธนูสีคล้ำให้ทันที เจิ้งหยางรับไว้ สองขาหนีบท้องม้าปล่อยบังเหียนยกมือ พริบตาเดียวก็ขึ้นลูกธนูสีดำ น้าวคันศรสุดหล้าหยีตาเส้นเอ็นที่หน้าผากปูดโปน แล้วคลายมือปล่อยศรออกจากแล่ง!
ธนูยาวดอกนั้นมิทราบทำจากอะไร ยามแหวกอากาศถึงกับมีเสียงโลหะกระทบกันด้วย
เสียง ตูม ดังสนั่น ธนูดอกนั้นพุ่งทะลุตัวรถ ทำให้รถที่เดิมทีเหมือนจะแยกสลายอยู่แล้วแตกออกจริงๆ ในพริบตา
องครักษ์อีกหลายนายขว้างค้อนดาวตกออกไปในเวลาเดียวกัน ค้อนดาวตกกระแทกเข้าใส่ล้อรถอย่างพร้อมเพรียงพันล้อไว้แน่น รถม้าคันนั้นช้าลงทันควัน และในเวลาเดียวกันบ่วงบาศก็ฉวยจังหวะคล้องกับเท้าของม้าแคระตัวนั้น
ม้าแคระไม่ทันระวัง พริบตานั้นส่งเสียงร้องโหยหวน ล้มกลิ้งพร้อมพารถกลิ้งไปด้วย
รถม้าพังยับเยิน
บรรดาองครักษ์ระลอกที่สองเตรียมธนูสั้นไว้พร้อมแล้ว เพียงรอให้คนบนรถม้าเหินกายหลบหนี ก็จะยิงให้พรุนเหมือนตัวเม่น
การเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นไปอย่างคล้องจองกันรวดเดียวไม่ติดขัด ราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล ทหารทางการที่ตามหลังพวกเขาพากันถอนใจอย่างทึ่งจัด หลังหายตะลึงแล้วก็อดอับอายมิได้ที่พวกตนเสียทีที่เป็นถึงทหารของทางการ กลับฝึกปรือสู้พวกองครักษ์ที่ลงมืออย่างเฉียบขาดมิได้
ทว่า…
ความร้ายกาจและความสามารถทั้งมวลล้วนมาจากการเปรียบเทียบ ถ้าพวกเจิ้งหยางปะกับยอดฝีมือทั่วไป ยามนี้คงเหยียบอีกฝ่ายไว้ใต้ฝ่าเท้า นำตัวไปรับรางวัลกับเจ้านายแล้ว แต่นี่พวกเขาปะกับชิวเยี่ยไป๋
เกลือกกลั้วในยุทธจักรมานานปี ครานั้นวรยุทธ์และกำลังการฝึกปรือของนางยังไม่เท่าปัจจุบัน และยังเทียบกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหอซ่อนกระบี่มิได้ด้วยซ้ำ แต่ยังคงติดตามเซียนเฒ่าท่องทั่วยุทธจักรเรียนรู้เล่ห์กระเท่ห์และฝีมือทุกอย่าง
ดังนั้นพริบตาที่รถม้าพังทลาย ที่บินออกมาจึงมิใช่คน แต่เป็นปลาเค็มทั้งคันรถ
ปลาเค็มพวกนั้นพอตากแห้งแล้วก็มีน้ำหนักไม่มาก ยามนี้จู่ๆ บินว่อนและไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงติดไฟได้ ปลาเค็มแห้งติดไฟบินออกไปทั่วสารทิศ ทำเอาพวกองครักษ์ตระกูลเหมยที่อยู่แถวหน้าสุดตกใจจนสะดุ้งโหยง ยังคิดว่าเป็นอาวุธลับเสียอีกจึงพากันรั้งบังเหียนหยุดม้า
แต่นึกไม่ถึงว่าม้าที่พวกเขาขับขี่ไหนเลยจะเคยเห็นฉากปลาเค็มแห้งติดไฟบินว่อนเต็มฟ้า เดรัจฉานกลัวไฟอยู่แล้วจึงตกใจจนพยศ บวกกับกลิ่นเหม็นปลาเค็มไหม้ไฟรมจนกององครักษ์ตระกูลเหมยและพวกทหารทางการหัวหมุน ม้าเหล่านั้นหลังตกใจแล้วยังถูกปลาเค็มไหม้รมใส่อีก จึงพากันกระโดดโลดเต้นเป็นพัลวัน สะบัดผู้ขับขี่ฟาดกับพื้นแล้ววิ่งตะบึงหนีไปทั่ว
ครานี้กองกำลังที่ไล่ล่าทั้งขบวนอลหม่านแล้ว หลายคนถูกม้าสะบัดตกลงมาแล้วถูกม้าของตนเองเหยียบย่ำจนไม่เป็นผู้เป็นคน ร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อน
เรื่องนี้ยังไม่ทันจบ รถม้าพอระเบิดออก ที่บินออกมานอกจากปลาเค็มแห้งติดไฟแล้ว ยังมีก้อนหินกลิ้งเกลื่อนพื้น ม้าจำนวนไม่น้อยเหยียบเข้าก็สะดุดล้มจนหลังหัก กลายเป็นด่านธรรมชาติ ทำให้สภาพที่ชุลมุนวุ่นวายสับสนอลหม่านยิ่งขึ้น
“องครักษ์ใหญ่ ปลาแห้งพวกนั้นชุบน้ำมัน!” องครักษ์คนหนึ่งพยายามปลอบม้าของตนที่สะบัดตนตกลงไป ขว้างมือไม้สะเปะสะปะเป็นระวิงใส่คนที่อยู่ข้างๆ ปราศจากท่าทางองอาจสง่างามของผู้นำเช่นกาลก่อนแม้แต่น้อย
“ขายหน้าจริง!” เจิ้งหยางถูกปลาเค็มติดไฟลวกจนศีรษะพองไปทั่ว ก่อนที่เขาจะสวามิภักดิ์ต่อเหมยซูเคยเป็นรองแม่ทัพกองทัพชายแดนมาก่อน เห็นทหารและม้าที่ตนฝึกมากับมือต้องมาทุลักทุเลและอนาถถึงเพียงนี้ และสิ่งที่ทำให้มีสภาพเช่นนี้กลับเป็นปลาเค็มเข่งใหญ่ บวกกับถูกลวงด้วยแผนรถม้าเปล่า เขาจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เขม้นใส่ข้างหน้า “ไอ้คนแซ่ชิว ไอ้สารเลว แน่จริงก็อย่าตกอยู่ในเงื้อมมือของนายข้าก็แล้วกัน!”