เล่ม 1 ตอนที่ 374 เจ้าคือจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์จยาเซียนรึ

ราชินีพลิกสวรรค์

ครั้งก่อนนางพูดถึงเรื่องในอีกสามร้อยปีข้างหน้าว่าจะเกิดภัยพิบัติที่ทำให้โลกดับสูญ

เจียงหลีก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ว่าถ้าหากสงครามสิ้นโลกครั้งนี้เกี่ยวโยงกับความเป็นความตายของทุกคนจริงๆ เช่นนั้นนางก็จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป

“ขอเพียงเจ้าจำไว้ว่าเจ้าต้องรีบฝึกฝน พยายามกลับไปให้ได้ภายในสามร้อยปีนี้ แล้วยับยั้งเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่จะเกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา” วิญญาณได้กล่าวขึ้นอีกครั้ง

“…” เจียงหลีไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น

จะหลอกให้นางทุ่มสุดตัวด้วยคำพูดแค่นี้น่ะหรือ

กลับไป กลับไปไหนเอ่ย

แล้วก็ลู่เจี้ยเคยพูดไว้ว่าวิญญาณอีกดวงคือวิญญาณจักรพรรดิที่อยู่ระดับเดียวกับเขา

“เจ้าเป็นใครกันแน่” เจียงหลีถาม

“ข้ารึ” วิญญาณอีกดวงยิ้มให้เล็กน้อย “บนโลกนี้ไม่มีข้า เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า”

“…” เจียงหลีกัดฟันแล้วพูดว่า “พูดให้เป็นภาษาคนหน่อยได้หรือไม่”

“ไม่ได้” วิญญาณอีกดวงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

“…” ทันใดนั้นเจียงหลีก็กรีดร้องอยู่ในใจ

“เรื่องบางเรื่อง เจ้ารู้เร็วเกินไป ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้า ค่อยๆ เข้าใจเรื่องทั้งหมดตามขั้นพลังที่สูงขึ้นของเจ้าจะดีกว่า” วิญญาณอีกดวงพูดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

“เช่นนั้นเจ้ามาปรากฏตัวด้วยเหตุใด ก็เพื่อเตือนข้าว่าในอีกสามร้อยปีข้างหน้าจะเกิดวันสิ้นโลกอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าก็ต้องบอกข้าว่าในอีกสามร้อยปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อยู่ในความทรงจำที่เจ้ายังไม่มีความสามารถในการเปิดออมาก รอให้เจ้าสามารถเปิดความทรงจำได้เสียก่อนเรื่องราวทั้งหมดเจ้าจะรู้ด้วยตัวเอง” วิญญาณอีกดวงพูด

เจียงหลีเงียบไป

พูดไปพูดมาก็ยังโทษที่นางยังเด็กและอ่อนแออยู่อย่างทุกวันนี้ถูกไหม

“ที่ข้ามา ไม่เพียงเพื่อควบคุมการก้าวหน้าในการฝึกฝนของเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่เตือนเจ้าเรื่องอันตรายในอีกสามร้อยปีข้างหน้าอย่างเดียวเท้านั้นแต่มีอีกอย่างก็คือเจ้าต้องตามหาคนๆ หนึ่งให้เจอภายในสามร้อยปีนี้”

“ตามหาคนหรือ ใครกันเล่า”

เจียงหลีแววตาเปล่งประกาย

แต่ทว่าจู่ๆ วิญญาณอีกกดวงก็หยุดลง ภาพเหตุการณ์ก็ปรากฏขึ้นอยู่ข้างหลังร่างมายาของนาง ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนแต่เป็นภาพเหตุการณ์ของสงคราม นางเคยเห็นมาก่อนตอนที่นางบรรลุขั้นหลิงไซว่

เมื่อดูอีกครั้งในใจของนางก็ยังคงสั่นสะเทือนอยู่ สงครามระดับมหากาฬเยี่ยงนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้น เหมือนว่าภายใต้สงครามครั้งใหญ่นั้นผู้คนทั้งโลกล้วนต้องตกอยู่ในความลำบากทุกข์ยาก

“สงครามครั้งนั้น ถ้าหากฝั่งของพวกเรายังมีเหลืออยู่คนหนึ่ง ชัยชนะก็คือของพวกเรา แต่ว่าคนๆ นั้นกลับหายไปแล้ว หายไปอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาไม่เจอ ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องหาเขาให้เจอก่อน”

“แล้วเขาผู้นั้นคือใคร” เจียงหลีถามอย่างเร่งเร้า

“คือ”

แต่ทว่ายังไม่ได้พูดคำตอบที่นางต้องการออกมา วิญญาณอีกดวงก็หายไปพร้อมกับภาพเหตุการณ์นั้นแล้วนางก็ถูกผลักออกมาจากห่วงแห่งความมืดมิดนั้นเช่นกัน

“ให้ตายสิ! อีกแค่นิดเดียวเอง!” เจียงหลีลืมตาในแววตาสะท้อนความดุดันออกมามือข้างหนึ่งทุบลงบนเตียง

จะบอกว่าไม่เสียดายก็คงไม่ได้

วิญญาณอีกดวงนั้นไม่ถูกเจียงหลีควบคุมอีกแล้ว ทุกครั้งที่ปรากฏตัวก็จะทิ้งคำพูดที่เหมือนจะถูกก็ถูกเหมือนจะผิดก็ผิดไว้

“เดิมทียังอยากจะถามให้รู้เรื่องแล้วค่อยบอกลู่เจี้ยรับทราบ แต่ดูแล้วตอนนี้เพียงชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวยังถามไม่รู้เรื่องเลย” เจียงหลีพูดเบาๆ กับตัวเอง

ฝึกฝน! ฝึกฝน!

เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจที่ร้อนรุ่มให้สงบลง

หนึ่งเดือนต่อมา จักรพรรดิเซ่าตี้ไม่ได้ปรากฏตัวในพระราชวังอีก เจียงหลีก็โกรธเขาเรื่องที่โยนนางลงในน้ำจึงทำเป็นมองไม่เห็นในตอนที่เขาหายไป

วันนี้เป็นวันดีที่ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งนำขบวนเดินทางมาถึง ณ ราชวงศ์จยาเซียน เมืองซั่งตู

ด้วยเหตุนี้ เจียงหลีจึงตั้งใจเตรียมพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

ในตอนที่ลู่เสวียนขี้ม้ามาถึงหน้าประตูเมืองซั่งตู เมื่อเห็นประตูเมืองที่ตกแต่งใหม่ทั้งหมด แล้วยังมีผ้าไหมสีแดงปูทางเดินที่คุ้นเคย กลีบดอกไม้โปรยปราย ประชาชนยืนเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งถนนเพื่อต้อนรับ มีอาหารและสุราชั้นเลิศมาถวายสีหน้าเผยความหวาดหวั่นออกมา ซ้อเล็กโดนผีอะไรเข้าสิงมารึ

“ขอต้อนรับหยวนหวังกลับมาด้วยความยินดียิ่ง! ขอต้อนรับรถม้าขององค์หญิง”

เสียงโห่ร้องแสดงความดีใจของประชาชนดังขึ้นเป็นระลอก แต่กลับทำให้สีหน้าของลู่เสวียนยิ่งเก้อเขินมากขึ้น น้ำใจไมตรีของประชาชนเมืองซั่งตู ก็ทำให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งเปิดม่านออกมาด้วยความอยากรู้ เห็นกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายเต็มท้องฟ้า

นำมาซึ่งกระอักกระอ่วนพิลึก ลู่เสวียนพาเหวินเหรินชิ่งชิ่งมาถึงในวัง ในที่สุดก็ไม่มีดอกไม้โปรยปรายแล้ว ในที่สุดก็ไม่มีประชาชนที่มาต้อนรับแล้วและในที่สุดลู่เสวียนก็หายใจโล่งอกแล้ว

ณ ตำหนักหวงจี๋ พอเจอเจียงหลี ลู่เสวียนก็เดินดิ่งเข้าไปหาแล้วบ่นว่า “ซ้อเล็กนี่เจ้าจัดพิธีอะไร!”

เจียงหลีที่สวมชุดลายมังกรทั้งตัวยืนอยู่ในตำหนักอย่างทะนงองอาจมือทั้งสองข้างไขว้หลัง ได้ยินลู่เสวียนบ่น นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราจะมาขายหน้าต่อหน้าชาวเป่ยโหรวไม่ได้”

“…” ลู่เสวียนมองนางอย่างไร้คำพูด

นางก็คือจักรพรรดินีแห่งจยาเซียนเองหรือ ทั้งดูเด็กมากและงามเหลือเกิน! เหวินเหรินชิ่งชิ่งยืนอยู่ในตำหนักแววตาเผยให้เห็นความตะลึงในความงาม

เป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่นางกลับรู้สึกว่าจักรพรรดินีตรงหน้ามีความสูงส่งมาก งดงามจนทำให้คนอื่นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแต่ต้องก้มหัว และยอมสวามิภักดิ์ให้กับนาง

เมื่อรับรู้ได้ถึงการพินิจพิเคราะห์ของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง เจียงหลีหันมามองนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ชิ่งชิ่ง ข้าขอต้อนรับเจ้าสู่ราชวงศ์จยาเซียน”

เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองเจียงหลีด้วยความตะลึง

นางรู้สึกประหลาดใจ นางถือเป็นองค์หญิงของแคว้นศัตรู ราชวงศ์จยาเซียนและเป่ยโหรวไม่ช้าก็เร็วจะต้องทำสงครามกัน นางรู้ดีแต่ว่าทำไมจักรพรรดินีที่สูงส่งเหนือคนทั้งปวงถึงได้พูดกับนางด้วยหน้าตายิ้มแย้มและอ่อนโยนเช่นนี้ถึงขนาดมีความสนิทสนมในน้ำเสียง

“หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท” เหวินเหรินชิ่งชิ่งเก็บความตะลึงในใจแล้วก็ทำความเคารพตามกฎระเบียบ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ที่นี่ไม่มีคนนอก” เจียงหลีเดินลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าเหวินเหรินชิ่งชิ่ง

เหวินเหรินชิ่งชิ่งกะพริบตาด้วยความสงสัย ในใจของนางมีความหวาดกลัวจักรพรรดินีแห่งจยาเซียนคนนี้อยู่เล็กน้อย แล้วก็รู้สึกสนิทสนมแปลกๆ

“ไม่ต้องเขิน ทำตัวเหมือนเมื่อก่อนเถอะ” เจียงหลีพูด

เอ่อ…

วางตัวเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้น่ะหรือ

เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองนางด้วยความงงงวย

ยิ่งเข้าใกล้นางก็ยิ่งรู้สึกว่าจักรพรรดินีแห่งจยาเซียนงดงามมีเสน่ห์มากเหลือเกิน

“ซ้อเล็ก ข้าพานางมาแล้ว ข้าไปก่อนนะ” ลู่เสวียนเตรียมที่จะหนี

เจียงหลีหุบยิ้มแล้วตะโกนใส่เขา “หยุด”

ลู่เสวียนเสียวสันหลังวาบแล้วถอยกลับมาอย่างช้าๆ

เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองท่าทางที่ทั่งสองพูดคุยกันด้วยความสงสัย ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา พวกเขาไม่เหมือนกับที่คนข้างนอกเขาลือกันเลยนี่นา ระวังซึ่งกันและกัน มีความคิดที่แตกต่างกัน!

“ชิ่งชิ่งมาราชวงศ์จยาเซียนเป็นครั้งแรก เจ้ามีฐานะเป็นเจ้าบ้าน ไม่ต้อนรับให้ดีก็คิดจะไปแล้วรึ” เจียงหลีจ้องลู่เสวียน

ลู่เสวียนพลิกฝ่ามือชี้ตัวเองด้วยความตะลึง ราชวงศ์จยาเซียนก็มีคนตั้งมากมาย ทำไมต้องให้เขาอยู่เป็นเพื่อนด้วยเล่า พูดอีกอย่างทำไมเขาต้องพยายามทำตัวเป็นเจ้าบ้าน “พวกเจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แล้วก็คุยกันถูกคอ เจ้าต้อนรับก็ได้แล้วไหม ข้าจะกลับสถาบันไปฝึกฝน ตอนนี้ก็ถือว่าเสียเวลามากแล้ว”

เจียงหลีมุมปากกระตุกอย่างแรง พูดตำหนิอยู่ในใจ เด็กบ้า จะหนีไปคนเดียวนึ

“เจ้านี่มัน” เหวินเหรินชิ่งชิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับจักรพรรดินีที่อยู่ตรงหน้าขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะท่าทางที่นางและลู่เสวียนพูดคุยกัน ทันใดนั้นความคิดที่น่ากลัวก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง “เส้าจวิน!”

……………………..