ตอนที่ 170.3 แกะปูป้อนภรรยา กับ การต้อนรับอย่างเอิกเริก (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ความสงสัยของเว่ยอ๋องเพิ่มมากขึ้น “เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง จะมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าสามขี้ระแวงจะตายไป ราวกับกำลังจะถูกฆาตกรรมไม่มีผิด ไม่เชื่อใครเลยแม้แต่คนเดียว จะให้เด็กบ้านนอกช่วยเขาวางแผนหรือ” 

 

 

“เอ่อ ข้าน้อยได้ยินมาแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เว่ยอ๋องลูบคาง ใบหน้าดูมีเลศนัย แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ให้คนไปเก็บของและเตรียมตัวออกเดินทาง 

 

 

สองวันต่อมา กลุ่มบรรเทาทุกข์ของเว่ยอ๋องออกจากอำเภอเพ่ย และกลับไปเมืองหลวงก่อน 

 

 

ในขณะเดียวกัน ร้านรวงต่างๆ ในฉังชวนก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น บ้าน สะพาน ถนนและพื้นที่เพาะปลูกที่ประสบภัยพิบัติก็ได้รับการซ่อมแซมทีละน้อย 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงออกคำสั่งเพื่อขอให้ผู้ตรวจราชการเหลียงและข้าหลวงสวี ร่วมมือกันช่วยประชาชนซ่อมแซม ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามในเวลาที่มีจำกัด ก่อนที่เขาจะจากไปต้องพลิกโฉมหน้าเมืองฉังชวนใหม่ทั้งหมด 

 

 

สร้างถนนและบ้านในพื้นที่ประสบภัย ต้องจ่ายเงินไม่ใช่หรือ! 

 

 

ผู้ตวรจราชการเหลียงและข้าหลวงสวีจะเต็มใจได้อย่างไร เพราะทั้งโลภและตระหนี่ขนาดนี้ 

 

 

แต่เรื่องถนนบนภูเขาระเบิดเกือบจะคร่าชีวิตฉินอ๋อง แม้ว่าฉินอ๋องจะไม่ได้ถือโทษอย่างชัดเจน แต่ผู้ตรวจราชการเหลียงก็ยังคงกลัว เขาทำสิ่งไม่ดีและไม่กล้าที่จะร้องไห้อ้อนวอน หากเขาไม่ตอบรับคำสั่งของฉินอ๋อง ถ้าฉินอ๋องโกรธ จงใจคิดหาวิธีบางอย่างค้นหาการค้าขายของตระกูลและตรวจสอบทรัพย์สิน เมื่อถึงเวลาก็คงร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้วจริงๆ 

 

 

แทนที่จะรอให้ฉินอ๋องออกเงินเอง เขายอมควักกระเป๋าด้วยตัวเองดีกว่า การสูญเสียก็จะน้อยลง! การที่ผู้ตรวจราชการเหลียงเป็นคนเจ้าเล่ห์มานานขนาดนี้ ก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ตรวจราชการเหลียงจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงมากนัก รีบควักกระเป๋าเงินอย่างไม่รอช้า 

 

 

ข้าหลวงสวีและผู้ตรวจราชการเหลียงเป็นพวกเดียวกัน พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาดูเหลียงป๋อคุนว่าจะเดินไปในทิศทางไหนมาโดยตลอด และพวกเขาย่อมออกเงินออกแรงตามไปทางนั้นเช่นกัน 

 

 

ขุนนางสองคนที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในเขตฉังชวนต่างกำลังใช้เงินทองมาแก้ปัญหาภัยพิบัติ ขุนนางระดับล่างมีหรือจะไม่คล้อยตาม ตัดเนื้อตัวเอง พากันควักเงินเดือนและการค้าของตระกูลตนเองกันเป็นพัลวัน 

 

 

เมื่อมีเงินเยอะแล้ว การทำนุบำรุงบ้านเมืองก็รวดเร็วในทันควัน 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงจะนำองครักษ์ไปลาดตระเวนดูความคืบหน้าทุกวัน 

 

 

ก่อนออกจากเมืองหนึ่งวัน ยังคงออกจากค่ายบัญชาการไปลาดตระเวนเมืองดังปกติ 

 

 

การแจกจ่ายอาหารสิ้นสุดลงไปแล้วหลายวัน อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ในพระราชนิเวศน์เก็บตัวจนร่างกายแทบจะขึ้นรา เห็นซือเหยาอันจูงม้าในคอก ก็ตื้ออยากจะตามออกไปด้วย 

 

 

ซือเหยาอันไปรายงานเจ้านาย คิดว่าจะไม่เห็นด้วย ทว่าสายตาขององค์ชายสามกลับกระตุก ก่อนจะเปิดปากเอ่ย “อนุญาต” 

 

 

หืม? ซือเหยาอันตกใจ องค์ชายสามไม่ชอบให้นายหญิงออกไปเถลไถลที่สุด แม้แต่วันที่จะไปแจกจ่ายอาหารที่ค่ายบัญชาการ ยังไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายต้องสั่งให้ตนไปเป็นเพื่อนถึงจะวางใจ แต่ซือเหยาอันก็จับไต๋ได้ หึๆ วันนี้ไม่เหมือนกันสินะ เพราะทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน มีโอกาสได้ใกล้ชิด องค์ชายสามจะปล่อยไปได้อย่างไร 

 

 

ภายนอกค่ายบัญชาการ เตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อย ทัพทั้งหน้าหลังต่างสวมเกราะและอาวุธครบชุดพร้อมออกแล้ว 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายตามติดไปตรวจเมืองด้วย แต่นั่งรถคันเดียวกับซย่าโหวซื่อถิงและซือเหยาอัน 

 

 

เพียงครู่เดียว กองทัพม้าเดินทางออกจากค่ายบัญชาการสู่ถนนเส้นหลัก มองดูแล้วเหมือนลูกชายตระกูลเศรษฐีที่ออกไปเที่ยวเล่นตอนฤดูหนาว 

 

 

เพียงไม่กี่วัน ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนราวกับคนละที่ สิ่งส่วนใหญ่ที่ซบเซาหลังภัยพิบัติ ทุกอย่างต่างได้รับการฟื้นฟู 

 

 

เดินบนถนน ร้านรวงต่างคึกคัก รุ่งเรืองและสงบสุข 

 

 

ขณะที่รถม้าเคลื่อนไปตามถนนสายยาว การเร่ขายและเสียงหัวเราะในตลาดก็ไหลเข้ามาในหน้าต่างดั่งเกลียวคลื่น 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นละสายตา หันสายตากลับมาตกอยู่ที่ร่างกายขององค์ชายสาม คนที่บริหารประเทศได้ เพียงแค่ทำให้เขตฉังชวนสงบสุขจะไปยากอะไร 

 

 

เคลื่อนพลกลับเมืองหลวงด้วยชัยชนะในครั้งนี้ เขาจะต้องได้รับความสนใจจากทั้งราชสำนักและประชาชน ตอนนี้ที่เมืองหลวงอาจมีการป่าวประกาศไปแล้วก็ได้ 

 

 

ณ เวลานี้ เขามองลอดหน้าต่างไปยังทิวทัศน์ด้านนอก สีหน้าไม่ได้ดีใจอะไร ในทางกลับกันคิ้วขมวดเป็นปม 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคาดเดาความคิดของเขาออก 

 

 

ภายในเมืองฟื้นฟูเร็วเท่าไร เท่ากับว่าเหล่าขุนนางผู้นำเขตฉังชวน ได้แก่เหลียงป๋อคุนและสวีเทียนขุย หลายปีมานี้โกงกินจนได้ดิบได้ดีไปแล้ว หมกเม็ดเงินทอง ถึงได้เก็บทรัพย์สินได้เยอะเพียงนี้ และขุนนางเหล่านี้ต่างก็ไม่โง่ เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาไปพูดได้ เงินที่นำออกมาในวันนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูล เกรงว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น! 

 

 

เบื้องหลังของเขตฉังชวนจะต้องมีสายพานทางผลประโยชน์อย่างแน่นอน! 

 

 

ทว่าคนที่อยู่บนสุดของสายพานนั้น ในเมื่อมอบความร่ำรวยให้กับเหล่าขุนนางในเขตฉังชวนแล้ว จะต้องอยู่ในการควบคุมของพวกเขาอย่างใกล้ชิด 

 

 

เรียกได้ว่าเล่นแร่แปรธาตุกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน 

 

 

เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ ดึงความคิดอวิ๋นหว่านชิ่นกลับมา ยกม่านของรถม้าที่มีพู่สีแดงขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง พูดติดตลกว่า “นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่ขอมาจากประชาชน และได้ใช้โดยประชาชนอย่างแท้จริง” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงชะงัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “เป็นเพียงแค่ตัดเนื้อส่วนหนึ่งออกมาเท่านั้น ไม่ได้มีแค่นี้หรอก” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเขาอยากจับตัวคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นออกมา จึงเอ่ยถาม “ครั้งนี้ผู้ตรวจราชการเหลียงก็จะตามองค์ชายสามกลับเมืองหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์ด้วยใช่ไหม” 

 

 

เขาเป็นขุนนางขั้นสูงในพื้นที่ เขตฉังชวนเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้แล้ว เขาควรกลับไปรายงานต่อหน้าพระพักตร์ 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงพยักหน้า ราวไม่อยากพูดคุยเรื่องโสมมพรรค์นี้ของราชสำนักกับนาง หันข้างออกไปมองนอกหน้าต่าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “หยุดรถ ข้าจะลงไปเดินเสียหน่อย” 

 

 

คนขับรถคิดเพียงว่าท่านอ๋องจะลงเดินลาดตระเวน จึงตะโกนสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะจอดไว้ข้างถนน 

 

 

รถกำลังข้ามผ่านตลาดอันคึกคัก ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นในฐานะสาวใช้ ย่อมต้องทำตามหน้าที่ของสาวรับใช้และตามหลังออกจากรถม้าไป ซือเหยาอันกำลังจะตามหลังไป แต่เห็นซย่าโหวซื่อถิงหันกลับมา “เหยาอัน เจ้ารออยู่บนรถก็พอ” 

 

 

ซือเหยาอันพยักหน้า รอกับองครักษ์ในชุดปฏิบัติการณ์อยู่ข้างรถม้า คอยมองสถานการณ์ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ด้านหลังซย่าโหวซื่อถิงเพียงลำพัง เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เงยหน้าขึ้น ด้านหน้าเป็นร้านขายแป้งร่ำน้ำปรุง 

 

 

เยี่ยนหยางไม่เหมือนเมืองหลวง ความต้องการซื้อเครื่องสำอางไม่มากนัก ร้านขายแป้งร่ำน้ำปรุงที่หาได้ยากบนถนน ทำเอาซย่าโหวซื่อถิงจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ 

 

 

ทั้งสองก้าวเข้าไปในร้านตามกัน 

 

 

ข้างรถม้า ไม่ไกลนัก มีองครักษ์คนหนึ่งกำลังสงสัย “เหตุไฉนท่านอ๋องถึงเข้าไปในร้านขายของผู้หญิง” 

 

 

“คงจะซื้อของท้องถิ่นไปฝากนายหญิงกระมัง” ซือเหยาอันยิ้ม คำพูดนี้ก็ไม่ได้โกหก ไม่ได้ซื้อให้นายหญิงหรืออย่างไร ก็อยู่ข้างกายเขาตรงนั้น 

 

 

ภายในร้าน ผู้ดูแลเป็นคนวัยกลางคน เห็นว่ามีลูกค้ามา ทั้งยังเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมยาว แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นผ้าเนื้อดีทำจากวัสดุชั้นสูงอย่างแท้จริง กริยาท่าทางก็ดูมีเกียรติอย่างอธิบายไม่ถูก ในเมืองเยี่ยนหยางนี้ มีคนที่มีสาวใช้เดินตามไม่มากนัก จึงรีบออกมาต้อนรับอย่างเป็นมิตร “ลูกค้าเชิญเข้ามาเถิด ซื้อให้ภรรยาใช่หรือไม่” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเดินมือไพล่หลังเข้าสู่ธรณีประตู 

 

 

อวิ่นหว่านชิ่นจึงรีบตามเข้าไป เห็นแต่เพียงเขาพูดกับผู้ดูแลร้านว่า “ข้าอยากได้เครื่องสำอางต้องการทั้งที่แต่งหน้า ตา คิ้วและปากครบครัน เอาของที่ดีที่สุดในร้านนี้ อย่าเอาของที่ทำร้ายผิวและของคุณภาพธรรมดามาล่ะ” 

 

 

“ขอรับๆ จะต้องเป็นของชั้นสูงแน่นอน จะเอามาให้ท่านค่อยๆ เลือก” ผู้ดูแลร้านเจอเข้ากับลูกค้ารายใหญ่ที่มีกำลังจ่ายสูงเช่นนี้ ก็ยิ้มตาหยีรีบเข้าไปเตรียมสินค้าทันที 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า เมื่อสองวันก่อนเคยบ่นกับเขาว่า ผงชาดที่มีอยู่ใกล้หมดแล้ว ตอนแรกก็แค่พูดไปอย่างนั้น ถึงเวลาค่อยไปขอป้าอู๋มาก็ได้ อย่างไรเสียตอนนี้ตนเองดังแล้ว ป้าอู๋ทำตามที่นางบอกแน่นอน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คิดไม่ถึงว่าเขาจะใส่ใจด้วย