ตอนที่ 170.4 แกะปูป้อนภรรยา กับ การต้อนรับอย่างเอิกเริก (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เพียงไม่นาน ผู้ดูแลกระโดดโลดเต้น พลางถือสินค้าของร้านออกมา ซย่าโหวซื่อถิงแสดงท่าทีให้อวิ๋นหว่านชิ่นไปดูเอง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปถึงหน้าโต๊ะ ดมพลางแตะเพื่อลอง เลือกมาสองสามอย่าง ผู้ดูแลเห็นว่านางเหมือนจะคุ้นเคยกับสินค้าดี ก่อนจะยิ้มเอ่ย “ฮูหยินของลูกค้าช่างโชคดีเหลือเกินนะ มีสามีคอยซื้อของใช้เสริมความงามให้ด้วย ทั้งยังพาสาวใช้มาลองสินค้าอีก” 

 

 

เลือกอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ดูแลก็นำสินค้าห่อใส่ถุง พออวิ๋นหว่านชิ่นถือ กลับรู้สึกหนักอยู่นิดหน่อย 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่านางเหมือนจะพึงพอใจ สีหน้าเผยความสุขขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงผู้ดูแลคำนวณราคาด้วยลูกคิดอยู่หลังโต๊ะ ก่อนจะบอกรายการชำระเงิน 

 

 

เขาขานรับไปหนึ่งที ก่อนจะยื่นมือขวาคลำเข้าไปด้านในแขนเสื้อ พลางหรี่ตา 

 

 

ผู้ดูแลยังคงหรี่ตายิ้มมองเขา 

 

 

มือซ้ายของเขาคลำเข้าไปในแขนเสื้อข้างขวา คราวนี้อยู่ข้างนั้นนานกว่าหน่อย ทว่ายังคงเป็นมือเปล่าที่ยื่นออกมา 

 

 

“ลูกค้า” ผู้ดูแลพบบางสิ่งที่ผิดปกติ รอยยิ้มพลันหายไป ก่อนจะทวนราคาอีกรอบ 

 

 

บรรยากาศตึงเครียดไปชั่วชณะ 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองอวิ๋นหว่านชิ่นปราดหนึ่ง ก่อนจะสารภาพ “ไม่มีเงิน” 

 

 

ผู้ดูแลเหม่อ เห็นอยู่ว่าเสื้อผ้าลูกค้าราคาแพง แต่ไม่มีเงินหรอกหรือ ไม่ได้หลอกตนใช่ไหม คนที่หลอกกินแล้วไม่จ่ายเงินมีถมไป แต่จะมาหลอกซื้อเครื่องสำอางเนี่ยนะ ไม่มีเงินแล้วจะใช้ของฟุ่มเฟือยไปทำไมเล่า 

 

 

เขาก็โมโหขึ้น “ลูกค้า ท่านไม่ได้กำลังล้อเล่นใช่ไหม ไม่มีเงินแต่เข้ามาซื้อของในร้านเนี่ยนะ ข้ายุ่งจนเหงื่อตก แต่ท่านมาบอกว่าไม่มีเงิน นี่ท่านแกล้งกันหรือ ท่านอยากให้ข้าแจ้งทางการหรือไม่!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นก็เหม่อไปครู่หนึ่ง ไม่อยากจะเชื่อ เอ่ย “แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่มีหรือเจ้าคะ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เปิดแขนเสื้อทั้งสองข้างออกอย่างเปิดเผย สายลมเย็นพัดผ่าน ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยซื้อของข้างทางเลย ในเมื่อไม่เคยซื้อของ จะพกเงินทำไม ต่อให้ต้องใช้เงิน ก็ไปขอจากผู้ติดตาม เป็นเช่นนี้จนชินแล้ว คราวนี้จะต้องจ่ายเงินถึงจำได้ว่าไม่มีผู้ติดตามมาด้วย 

 

 

ผู้ดูแลหายใจเข้าลึกๆ คิดแต่เพียงว่าได้พบลูกค้ารายใหญ่แล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นพวกฉวยโอกาสในช่วงชุลมุน แย่งของในอ้อมกอดอวิ๋นหว่านชิ่นมาในคราวเดียว ก่อนจะถ่มน้ำลาย “ข้าเปิดร้านมานานขนาดนี้ เจอคนมาทุกรูปแบบ ไม่เคยเจอคนแบบท่านมาก่อน แต่งกายหรูหรา ทว่าแม้แต่เงินสองสามตำลึงยังคลำออกมาไม่ได้! ได้! ถือว่าข้าเจอผีก็แล้วกัน!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นถูกว่าจนใบหน้าและหูแดงก่ำ จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ ก่อนจะรีบยื่นมือไปหยิบ “เถ้าแก่ ไม่ได้จะไม่จ่าย บ่าวของบ้านเราอยู่ข้างนอกนั่น เดี๋ยวข้าจะไปเอาเงินมาให้ท่านเดี๋ยวนี้” 

 

 

เชื่อก็บ้าแล้ว! ผู้ดูแลส่ายหัว “แม่นาง อย่าหาว่าข้าตระหนี่ขี้เหนียวเลยนะ เงินมาของไปเป็นหลักการพื้นฐานในการทำการค้า เจ้าเอาของไปแล้วออกไปเอาเงิน หากเจ้าหนีไปเล่า ข้าจะไปหาใครได้ พวกเราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย!” 

 

 

ในช่วงกลางวันที่กำลังคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ เสียงเอะอะโวยวายนี้ ดึงสายตาพ่อค้าข้างๆ และผู้คนที่เดินผ่านไปมามองเข้าไป 

 

 

“ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย ดูดีมีชาติตระกูล แต่งตัวหรูหรา ที่แท้ก็เป็นนักต้มตุ๋นเบี้ยวเงินเสียได้” 

 

 

“นั่นน่ะสิ เบี้ยวเงินเครื่องสำอางเสียด้วย ภรรยาเขาคงขายหน้าน่าดู” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหน้าแดงเข้าไปใหญ่ อดที่จะถลึงตาใส่ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้ แถมเขายังไม่รู้สึกผิด ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย 

 

 

เดิมทีซย่าโหวซื่อถิงก็ไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว ในเมื่อซื้อร้านนี้ไม่ได้ ก็แสดงว่าหมดสิ้นวาสนาต่อกัน เช่นนั้นก็ออกจากร้านไปขอเงินซือเหยาอัน แล้วไปซื้อร้านถัดไปก็ได้นี่ เห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นไปขอเถ้าแก่คนนั้น แต่กลับถูกเถ้าแก่ปฏิเสธแล้ว แค่รู้สึกว่าไม่อาจอดทนได้ กดความโมโหนี้ไว้ไม่อยู่ คิ้วได้รูปขมวดปม ก่อนจะขวานหาทั้งตัว แม้แต่แดงเดียวก็ไม่มี ยกมือขึ้น ถอดแหวนหยกยิงธนูออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะ “เถ้าแก่ ใช้สิ่งนี้จำนองไว้ก่อน”  

 

 

ผู้ดูแลเห็นท่าทีที่จริงจังของเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าล้อเล่นหรือตั้งใจ จนสุดท้ายก็โมโห “ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับคนต้มตุ๋นเช่นเจ้า! ไม่มีเงินจะมาเดินซื้อของทำไม……” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสาบานเลยว่าทั้งชีวิตนี้ไม่เคยขายหน้าเท่านี้มาก่อน ซื้อของแต่ถูกคนอื่นชี้หน้าด่าว่าเป็นนักต้มตุ๋น ขายขี้หน้าชะมัด 

 

 

ผู้ดูแลเดือดปุดๆ ก่อนจะเก็บของกลับไป ทว่ากลับได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ตรงธรณีประตู มีคนกำลังมา 

 

 

ซือเหยาอันอยู่ไม่ไกล และจ้องอย่างไม่คลาดสายตา เห็นว่าภายนอกร้านมีคนรุมล้อม เหมือนว่าเจ้านายของตนจะมีปากเสียงกับเถ้าแก่ จึงรีบวิ่งมา เอ่ยปากให้คนอื่นถอย ก่อนจะฟังอีกครั้งว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น รีบล้วงเงินออกมายื่นให้โต๊ะเก็บเงิน “เข้าใจผิดกันเท่านั้น พอใช่ไหม ที่เหลือถือเป็นรางวัลก็แล้วกัน” 

 

 

ผู้ดูแลเห็นว่าเงินมากเพียงพอแล้ว ก่อนจะยิ้มตาหยี รีบโค้งตัวออกมานอกโต๊ะเก็บเงิน นำสินค้าออกมาส่งให้อวิ๋นหว่านชิ่นกับมือด้วยความเคารพ “เข้าใจผิดแล้วๆ”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมีร้านค้าเป็นของตนเอง รู้ถึงความยากลำบาก ไม่อยากทำให้คนอื่นลำบากด้วย อีกทั้งนี่เป็นความเลินเล่อของคนบางคนด้วย ถือเครื่องสำอางที่ห่อใส่ถุงเรียบร้อยเอาไว้ เหล่ตามองซย่าโหวซื่อถิงอย่างไม่หนักไม่เบา แล้วเดินออกไปก่อน 

 

 

“เหยาอัน ถือของไว้ แล้วเอาไปวางก่อน” ซย่าโหวซื่อถิงเดินออกมา พลางกำชับ 

 

 

ซือเหยาอันรีบรับของในมืออวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนจะถาม “ทำไมหรือ องค์ชายสามอยากจะเดินเล่นต่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ “สายแล้ว เยี่ยนหยางมีร้านอาหารหลายร้านที่รสชาติดี ไปกินแล้วค่อยกลับเถอะ” 

 

 

ซือเหยาอันก็รู้ว่าท่านอ๋องอยากอยู่กับนายหญิงต่อ อ่านสีหน้าออก พลางหอบของขึ้น ยังไม่ได้หันตัวไป ทว่าได้ยินองค์ชายสามเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เดี๋ยว” 

 

 

ซือเหยาอันชะงัก ถาม “องค์ชายสามมีอะไรจะสั่งอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงแบมือ “เอาเงินมาให้ข้าหน่อย” 

 

 

ซือเหยาอันหยิบกระเป๋าเงินยื่นให้องค์ชายสาม คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่วางใจ จะให้องค์ชายสามขายหน้าต่อหน้านายหญิงไม่ได้อีกแล้ว จึงให้ตั๋วเงินไปอีกหนึ่งใบ ถึงเดินกลับมาที่ข้างรถม้า 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมีเงินแล้ว ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาก ก่อนจะเดินไปข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่น “ไปกันเถอะ ไปหออวิ๋นไหลที่อยู่แถวนี้กัน” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขาทีหนึ่ง “กินข้าวแล้วเบี้ยวเงิน จะถูกเสี่ยวเอ้อร์ตีตายได้นะ ทางการก็ช่วยอะไรไม่ได้ด้วย” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหน้าแดง สะบัดแขนเสื้อ “คราวนี้นำเงินมาพอแล้ว” เห็นว่านางหน้าตึงไม่พูดอะไร จึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “โกรธหรือ” 

 

 

เลือกของเสร็จอย่างสุขใจ ห่อใส่ถุงเตรียมจะเอาออกมาแล้ว สุดท้ายก็ถูกคนอื่นหาว่าเป็นนักต้มตุ๋น แถมยังมีคนบนถนนมามุงดูอีก ใครจะดีใจได้ อวิ๋นหว่านชิ่นเบะปาก เหลือบมองแหวนหยกยิงธนูในนิ้วของเขาที่ส่องแสงภายใต้ดวงอาทิตย์แล้ว ถึงจะปล่อยวางได้ 

 

 

แหวนหยกยิงธนูนั้นเป็นของติดตัวที่มีค่าชิ้นสำคัญที่สุด ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นางไม่เคยเห็นเขาถอดออกเลย 

 

 

สิ่งของที่สำคัญกับเขาขนาดนี้ กลับนำไปจำนองเพื่อแลกเครื่องสำอางมาให้นาง 

 

 

คิดไปคิดมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็สงสัยไม่น้อย “องค์ชายสามนำแหวนหยกนี้มาจากวังหรือ” 

 

 

ซย่าซื่อโหวถิงเห็นนางอารมณ์ดีแล้ว จึงลอบถอนหายใจ เดินเตร่อย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “อืม เสด็จแม่ให้ข้าพกติดตัวตอนที่จะออกจากวัง กำชับว่าหลังจากนี้ต้องพกติดตัวตลอด” 

 

 

ที่แท้พระสนมเอกเป็นคนให้มา มิน่าเล่า แต่ว่าพระสนมเอกให้สิ่งที่กินไม่ได้ใส่ไม่ได้มาให้ ทั้งยังไม่ใช่แหวนที่ช่วยชีวิตหรือเป็นยารักษาโรคได้อีก เอามาให้เด็กสามสี่ขวบทำไม หรือว่าอยากให้เขาจำได้ว่าท่านแม่อยู่ในวัง เพื่อเอามาปลอบใจตนเอง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเกิดความรู้สึกแปลกใหม่กับของสำคัญติดตัวของเขา และไม่อาจให้เขาถอดออกมาให้ดูบนถนนแบบนี้ ก้มหัวเห็นแขนเสื้อของเขาปลิวไปมา เงาสะท้อนจากแหวนหยกวาววับ อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วมือออกไป ลูบเบาๆ