ไม่ต่างกับหยกทั่วไปที่ใส่ไว้นาน มีกลิ่นอายของคนใส่ติดอยู่ สดใสนุ่มลื่น รู้สึกอุ่นเล็กน้อย
เขารู้สึกเหมือนมีอุ้งมือเล็กกำลังจับมือตนเอง แม้จะเป็นเวลาอันสั้น ทว่าสัมผัสถูกผิว มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ถือโอกาสตอนที่นางไม่ได้สนใจ ยกแขนเสื้อมาปิดไว้ ดึงมือนางมากุมพลางหลบเลี่ยงสายตาผู้คน เดินต่อไปไม่หยุดจนกระทั่งถึงหน้าประตูหออวิ๋นไหล เป็นบริเวณคนพลุกพล่านจึงปล่อยมือ
เมื่อเข้าไปในร้านอาหาร ซย่าโหวซื่อถิงจองห้องรับรองที่ชั้นสามกับพนักงานต้อนรับ สั่งอาหารท้องถิ่นของเยี่ยนหยางมาเต็มโต๊ะ
สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องหมาล่า ชาวบ้านชื่นชอบรสเผ็ด ไม่ว่าจะทำอะไรต่างก็ชอบใช้พริกและพริกหมาล่ามาปรุงรส ได้ชื่อว่า ‘กินอาหารของเยี่ยนหยาง เสมือนตากแดดในฤดูร้อน’ มักใช้เพื่ออธิบายว่าอาหารของเยี่ยนหยางนั้นร้อนเท่ากับแสงแดดในฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว พริกขี้หนูซึ่งทำให้ร่างกายอบอุ่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกครัวเรือนแล้วก็เป็นวัตุดิบหลักของร้านอาหารเช่นกัน
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ชอบอาหารรสเผ็ด แต่ในเมื่อนานๆ ทีนางจะได้ออกไปข้างนอก อย่างน้อยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ไปลองชิมอาหารท้องถิ่นก็ดีเหมือนกัน
ดังนั้นทั้งโต๊ะจึงเต็มไปด้วยอาหารรสเผ็ดประจำท้องถิ่นของเยี่ยนหยาง ซึ่งก็คือ ไก่เผ็ดพริกไทย พะโล้ผัดเผ็ด ถั่วแปบผัดพริกไทยดำ ปลานึ่งพริก เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ตรงกลางมีหม้อผัดเผ็ดเนื้อแกะใส่หัวผักกาดแดง
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่กลัวเผ็ด กินเผ็ดตามท่านแม่สวี่ตอนเด็กๆ กินไปกินมาก็คุ้นชิน ไม่ว่าจะมีพริกกี่มากน้อย ก็สามารถเข้าไปในท้องนางได้อย่างสบายๆ เห็นว่ามีอาหารเต็มโต๊ะแล้วจึงไม่เกรงใจ รีบยกตะเกียบขึ้นคีบโดยเร็ว
ตอนแรกก็พยายามจะรักษาภาพลักษณ์ให้ดูส่งส่ง อย่าน่าเกลียดมากเกินไป ทว่าพริกเย้ายวนใจเหลือเกิน บวกกับท้องนางว่างเปล่ามาหลายวันแล้วด้วย เพียงครู่เดียวก็ล่อลวงกะเพราะของนางได้อยู่หมัด จะแสร้งทำเป็นสุภาพได้อย่างไรอีก คีบอาหารซ้ายขวาไม่หยุดหย่อน
ตอนอยู่เมืองหลวงซย่าโหวซื่อถิงไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับนางมาก่อน และการกินอาหารแต่ละครั้งก็ดูดีอยู่ เห็นท่าทางสุขสมของนางในครั้งนี้ ก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ เห็นพริกหมาล่าติดมุมปากนาง ก็ยื่นมือออกไปเช็ดให้ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “ทำไมถึงหิวโซเหมือนตัวอะไรที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงเลยเล่า”
เห็นนางแกะเปลือกปูอันเผ็ดร้อน พลางสูดปาก ก่อนจะเอ่ย “ตอนที่อยู่กับโจรโพกผ้าเหลือง เข้ามาในเมืองเยี่ยนหยาง เดิมทีพวกเขาเป็นผู้ประสบภัยอยู่แล้ว จะมีอาหารให้กินได้อย่างไร ต้องประหยัดเสบียงอยู่ทุกวัน มีหมั่นโถวไม่กี่ลูกตกมาถึงข้าก็ดีแค่ไหน ต้องมานั่งหิวตอนกลางคืนจนนอนไม่ได้ทุกวัน เมื่อมาถึงค่ายบัญชาการ ก็ดีขึ้นหน่อย แต่ข้าอยู่ในสถานะสาวใช้ ทั้งยังมาจากโจรโพกผ้าเหลืองอีก ก็ไม่กล้ากินเยอะ ต่อมาก็ต้องไปอยู่บนภูเขาอีกคืนสองคืน องค์ชายสามคิดว่าโจรภูเขาจะให้อาหารข้ากินไหม ก็ยิ่งหิวจนท้องกิ่วท้องแขวนสิ…ตอนนี้จะไม่เหมือนถูกปล่อยออกมาจากกรงได้อย่างไร…” ระหว่างพูดก็รอไม่ไหว จึงวางปูลง ตักน้ำแกงเนื้อแกะเข้ามาในถ้วยหนึ่งทัพพี
กินอย่างเอร็ดอร่อย ภายในห้องรับรอง นอกจากเสียงตนเองแล้ว ทุกอย่างก็เงียบสงบ
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้า เห็นเขาจ้องมองตนเองนิ่งๆ รอยยิ้มของความสบายใจหายไป จึงคีบเนื้อไก่ใส่จานของเขา “กินอันนี้สิ เผ็ดน้อย”
เขาไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ได้ขยับตะเกียบด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นผงะครู่หนึ่ง น้ำตาไหลออกมา เอ่ยด้วยเสียงคัดจมูก “ไม่อย่างนั้นสั่งอาหารรสจืดมาอีกสองสามอย่างไหม” รสเผ็ดทำให้เลือดไหลเวียน บาดแผลของเขาไม่อาจรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เกรงว่าจะกินเผ็ดมากไม่ได้
ซย่าโหวซื่อถิงส่ายหน้า ไม่ได้หิวมาแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแค่ได้อยู่กับนางแล้วเพลิน พอฟังนางพูดจบ ก็ไม่รู้ว่าทำไม กลับกินอะไรไม่ลงเสียแล้ว หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้นาง “ไหนบอกว่ากินเผ็ดได้ น้ำหูน้ำตาไหลหมดแล้ว” ก่อนจะใช้ผ้าเปียกทำความสะอาดมือ นำจานปูรสเผ็ดมาวางไว้หน้าตนเอง แล้วแกะให้ทีละอัน นำเนื้อที่แกะเสร็จแล้วใส่ไว้ในจานนาง
นางก็ไม่ได้สนใจ กำลังยุ่งอยู่กับการกิน ทว่าได้ยินเสียงของเขาลอยมา “ชิ่นเอ๋อร์ ข้าจะไม่ให้เจ้าได้รับความลำบากอีกแม้แต่นิดเดียว”
อวิ๋นหว่านชิ่นกินเนื้อเยอะเกิน กำลังหยิบคื่นช่ายกับพริกแดงสดและขูดมันเยิ้มๆ ออก แล้วคีบเข้าปากพอดี ตะเกียบพลันหยุดนิ่งและพริกแดงก็สำลักลงคอ มันแสบร้อนมาก จนไอออกมาทันที
เขาทิ้งปูไว้ ก่อนจะลูบหลังให้นาง นางดื่มชาไปสองสามอึก ถึงจะหายใจได้สะดวก
เขาคิดว่านางไม่ได้ยิน ทว่ากลับเป็นนางประคองแก้วชามาทางตน พลางยิ้ม “ข้าไม่ได้รับความลำบาก ข้าได้รับปู”
ซย่าโหวซื่อถิงลูบผมนาง นัยน์ตาเผยยิ้มบางๆ นำปูที่ตายแล้วแกะเปลือกไปเรื่อยๆ
ปูที่เขาแกะสมบูรณ์แบบและสวยงามมาก ราวกับไม่มีบาดแผลใดๆ เลย คีมเป็นคีม เปลือกเป็นเปลือก อวิ๋นหว่านชิ่นเคยได้ยินมาว่าคนที่แกะปูเก่งจริงๆ เปลือกและก้ามที่แกะออกมาแล้ว สามารถเอาไปวางต่อกันเป็นปูหนึ่งตัวได้ใหม่ นี่มันเขาชัดๆ
ทว่า แม้นางจะแกะไม่เป็น แต่กินเป็น!
จุ่มลงในน้ำจิ้มน้ำส้มสายชูของหออวิ๋นไหลที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ นางกินเนื้อทุกส่วนในทุกมุมของปู เห็นว่าปูตายอย่างไม่เสียเปล่าแล้ว นางถึงจะยอมแพ้
ครั้นกินไปจนถึงตัวที่สี่ ชายหนุ่มถึงได้เอ่ยห้าม “ปูเป็นของเย็น กินสามตัวก็พอแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นมอง ทั้งๆ ที่เขาแกะปูหมดจานแล้ว ปกติสตรีที่แต่งงานใหม่จะล้างมือเพื่อทำอาหาร ทว่าเขากลับล้างมือเพื่อแกะปู แต่นางก็กลัวจะไม่สบายท้อง จึงไม่กินต่อ
เห็นนางกินเสร็จแล้ว ก็ตักอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่นให้นางกิน ซย่าโหวซื่อถิงสั่งน้ำแกงหวานซึ่งเป็นอาหารรสจืดสองสามอย่าง คราวนี้ถึงได้กินไปพร้อมกับนางด้วย
กินอาหารเที่ยงเสร็จ ตะวันก็คล้อยแล้ว ทั้งสองคนลงมาจากร้านอาหาร ขึ้นรถม้า ก่อนจะกลับค่ายบัญชาการ
สองวันให้หลัง ทหารของฉินอ๋องกับทหารตระกูลเฉินออกจากเมืองเยี่ยนหยาง กลับเมืองหลวง เพื่อรายงานสถานการณ์
หลังจากเมืองทางตะวันออกเกิดเรื่องวุ่นวาย เว่ยเสี่ยวเถี่ยกลับเข้าสู่กองกำลังทหารของตระกูลเฉิน และกลับเมืองหลวงด้วยกัน
ม้าเร็วเร่งความเร็ว วิ่งอย่างต่อเนื่องกันสามวันสามคืน ตอนกลางวันของวันที่สามจึงถึงหน้าประตูเมืองเยี่ยจิง
มีจดหมายเกี่ยวกับเรื่องราวจลาจลในเขตฉังชวน มาถึงเมืองหลวงเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว ฮ่องเต้หนิงซีพอพระทัยมาก ออกพระราชโองการพิเศษให้จิ่งหยางอ๋องและสมุหนายกอวี้เหวินผิง ไปต้อนรับฉินอ๋องและทหารตระกูลเฉินแล้ว
สิ่งที่เรียกว่าการต้อนรับ หมายถึงการที่ฮ่องเต้หรือคนสนิทคนสำคัญออกจากพระราชวังพร้อมกับพระราชโองการ ต้อนรับพวกเขาด้วยตนเองตั้งแต่นอกประตูเมือง สำหรับผู้ที่เข้ามาในเมืองแล้วได้รับสิ่งนี้ ถือเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่และความรุ่งโรจน์
คนที่ได้รับการต้อนรับอันเป็นเกียรติในรัชศกหนิงซี มีไม่เกินห้าคน
ทว่าจิ่งหยางอ๋องและอวี้เหวินผิงต่างเป็นคนที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในด้านการทหารและการพลเรือนพอดิบพอดี ดังนั้นระหว่างทางพวกทหารต่างตื่นเต้น เมื่อได้ยินพระราชโองการนี้
กล่าวกันว่าตอนแรกฮ่องเต้หนิงซีจะเสด็จออกจากเมือง เพื่อไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง เพียงแต่ดูเหมือนว่าจะไม่สบาย เมื่อสองสามวันก่อนทรงพระประชวร ถึงได้ส่งขุนนางออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังเดินทางโดยนั่งอยู่ในรถม้าสี่ล้อ โดยมีหลี่ว์ชีเอ๋อร์และป้าผู้ติดตามมาดูแลที่เยี่ยนหยางจากเมืองหลวงอีกหลายคน
ก่อนที่จะออกไปจากเยี่ยนหยาง ได้มีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับเข้าสู่ประตูเมืองหลวง องค์ชายสามเข้าวังเพื่อรายงานสถานการณ์ ซือเหยาอันจะแอบพานางไปเปลี่ยนรถม้าและส่งนางกลับจวนฉินอ๋องอย่างลับๆ
ทันทีที่มาถึงเมืองหลวง ซย่าโหวซื่อถิงได้ส่งองครักษ์ที่ไว้ใจได้กลับไปที่เมืองหลวงก่อนล่วงหน้า เพื่อสืบ ทุกอย่างในจวนฉินอ๋องเป็นไปตามปกติ ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีใครรู้เกี่ยวกับการจากไปของอวิ๋นหว่านชิ่น
เมื่อวงล้อหยุดหมุน อวิ๋นหว่านชิ่นก็เปิดม่าน และเห็นประตูเทาตั้งสูงตระหง่านอย่างสง่างาม
หน้ากำแพงประตู อวี้เหวินผิงและจิ่งหยางอ๋องกำลังยืนอยู่ใต้ม้า ทำท่าทางต้อนรับ ฉินอ๋องเดินมาข้างหน้าเพื่อขอบคุณและรับพระราชโองการ ผู้ตรวจราชการเหลียงโค้งคำนับด้วยความเคารพอยู่ข้างๆ