เห็นว่ามีสองสามคนกำลังกระซิบกระซาบกัน เหมือนกำลังพูดเรื่องสถานการณ์ของเขตฉังชวนโดยสังเขป
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไม่เคยมาพระราชฐานเลย ไม่เคยเห็นราชสกุลเรียงรายเป็นแถวขนาดนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยเห็นบุคลตำแหน่งสูงสุดทั้งหมดในใต้หล้าตรงหน้ามาก่อนด้วย หัวใจเต้นแรงตึกตัก
อวิ๋นหว่านชิ่นรอรถม้าเข้าเมืองเป็นเวลานาน เห็นดวงตาของอวี้เหวินผิงมองข้ามบรรดาทหาร ดวงตาเรียวเล็กและปราดเปรียวคู่นั้นเผยรอยยิ้ม ก่อนจะมองมายังรถม้าที่ตนอยู่ เสียงของเขาชัดเจนมาก “ข้าได้ยินมาว่า ไปเยี่ยนหยางครั้งนี้องค์ชายสามพาหญิงสาวกลับมาเมืองหลวงด้วยหรือ”
เมื่ออวี้เหวินผิงเอ่ยจบ บรรยากาศก็ตึงเครียดโดยพลัน
ภายในรถม้า เห็นได้ชัดว่าป้าหลายคนได้ยินคำพูดของสมุหนายกเช่นกัน ก็พากันตกใจราวกับนกกระจอกแตกรัง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์หันหน้า เอ่ยอย่างเยินยอ “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ใต้เท้าสมุหนายกเรียกชื่อท่านแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นการชื่นชม ชีเอ๋อร์ยินดีกับแม่นางชิ่งเอ๋อร์ล่วงหน้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นจับม่านแน่น ตัวนางยังไม่ถึง ทว่าชื่อเสียงกลับแพร่สะพัดมาถึงเมืองหลวงแล้ว ใครทำเรื่องงามหน้านี้กัน
นางไม่ได้เอ่ยอะไร มองสถานการณ์ข้างนอกรถ
หลี่ว์ชีเอ๋อร์และบรรดาป้าๆ เห็นว่าสีหน้าของแม่นางชิ่งเอ๋อร์ไม่ได้ดีใจ คิ้วยังขมวดเป็นปมอีก แถมยังนั่งนิ่งไม่ได้และรอยยิ้มพลันหายไปด้วย
ซย่าโหวซื่อถิงและเฉินจ้าวได้ยินคำพูดของอวี้เหวินผิง หน้ากระตุกเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ตอบอะไร
แต่ผู้ตรวจราชการเหลียงได้ทำลายความเงียบโดยการประจบสมุหนายก “ใต้เท้าอวี้ช่างฉลาดคล่องแคล่ว สามารถสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ได้รอบด้าน ข่าวสารรวดเร็วเสียจริง! การจลาจลในเยี่ยนหยางครั้งนี้ ได้รับการช่วยเหลือจากสาวใช้คนหนึ่งในค่ายบัญชาการอย่างมาก ฉินอ๋องพร่ำบอกว่านางมีคุณูปการ จึงพานางกลับมาด้วย!”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นสายตาของผู้ตรวจราชการเหลียง แม้จะเป็นเพียงการกวาดสายตา ทว่าก็เป็นดั่งอุกกาบาต ที่ร้อนจนผู้ตรวจราชการเหลียงตัวสั่น ก่อนจะถอยไป
ทุกคนได้ยินเพียงน้ำเสียงไม่แยแสของฉินอ๋อง “สาวใช้คนเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องพูดถึง”
อวี้เหวินผิงละสายตาจากม้าคู่ที่ขับโดยผู้ใต้บังคับบัญชา เอ่ยยิ้ม “ตั้งแต่การจลาจลเยี่ยนหยางได้เริ่มขึ้น ฮ่องเต้ก็ได้ตรัสถึงแล้ว ทุกคนต่างมีคุณงามความดีเท่ากัน ขาดใครไปไม่ได้ ให้รางวัลตามคุณงามความดี แสดงถึงความยุติธรรมของราชสำนัก ดังคำกล่าวที่ว่า วีรบุรุษจะมีหัวนอนปลายเท้าเช่นไรนั้นไม่สำคัญ ราชสำนักจะมาคิดเล็กคิดน้อย เรื่องความสูงส่งของผู้ทำคุณประโยชน์ได้อย่างไร การจลาจลเกิงซวีในปีหนิงซีที่ห้า กองทัพตระกูลเหยียนนำทัพสังหารพวกกบฏ ฮ่องเต้ก็ให้รางวัลแก่ทหารสามพันนาย ครั้งนี้ฝ่าบาทปฏิบัติต่อคนของฉินอ๋องไม่ดีได้อย่างไร ฮ่องเต้ได้เตรียมงานเลี้ยงในตำหนักซานชิงแล้ว เนื่องจากยังคงพระประชวรอยู่ จึงสั่งให้รัชทายาทเข้าร่วมงานเลี้ยงแทนพระองค์ และเชิญทุกท่าน ท่านฉินอ๋อง แม่ทัพเฉิน ผู้ตรวจราชการเหลียง ให้พาผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าวัง อย่าพลาดโอกาสดีเช่นนี้เชียว”
ในเมื่อเป็นราชโองการ จึงไม่มีโอกาสปฏิเสธได้
เฉินจ้าวรู้สึกไม่สบายใจ หากเขาแค่จะเรียกให้อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าวังไปรับรางวัลพร้อมกับคนอื่น ก็คงไม่เป็นอะไร เพราะมีขุนนางอยู่มากมาย ที่ราชสำนักไม่ได้ให้ความสนใจกับสาวใช้เท่าไรนัก เมื่อถึงเวลานางจะได้รับรางวัล ก็จะมีคนไปรับแทนนางอยู่ดี
แต่เมื่อมองไปที่อวี้เหวินผิง เขาเล็งไปที่อวิ๋นหว่านชิ่นโดยตรง ทันทีที่เอ่ยปาก เขาก็พ่นความตั้งใจของฮ่องเต้ออกมา และพุ่งเป้าไปยังที่เป้าหมาย ซึ่งทำให้ไม่รู้จะรับมืออย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าเตรียมบทพูดมาอย่างดีแล้ว หรือว่าจะเดาอะไรออก
ลูกสาวตระกูลอวี้เดิมทีเป็นพระชายาฉินอ๋องที่ฮ่องเต้ถูกใจ ฉินอ๋องก็ไม่เคยประจบสอพลออะไรมาก่อน จากนิสัยของอวี้เหวินผิง จะไม่โมโหได้อย่างไร
อวี้โหรวจวงบ้าคลั่งจากการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ว่าในกรณีใดก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอวิ๋นหว่านชิ่น อวี้เหวินผิงจะต้องโกรธมากแน่นอน
หากคราวนี้อวี้เหวินผิงรู้อะไรมาจริงๆ ละก็ หากมีโอกาสเขาต้องจะเหยียบสองสามีภรรยานี้ให้จมดินแน่ๆ
คิดไปคิดมา เฉินจ้าวมองฉินอ๋องปราดหนึ่ง เห็นเพียงสายตาของซย่าโหวซื่อถิงสว่างวาบ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งว่า “ออกรถ เข้าวัง” พูดจบก็กลับขึ้นม้าไป
เฉินจ้าวกับผู้ตรวจราชการเหลียงพากันทยอยกลับขึ้นมาและขึ้นรถ ตามเข้าเมืองไป
อวิ๋นหว่านชิ่นปล่อยม่านลง ในใจสงบลงเล็กน้อย เกรงว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข้าวังวันนี้ได้แล้ว ทำได้แต่รับมือกับมันเท่านั้น
หลังจากกลับเมืองหลวง คลื่นยักษ์ลูกใหม่ก็ซัดเข้ามา ไม่ต่างกับสถานการณ์ในเมืองเยี่ยนหยางเลย
ทว่าได้ผ่านจลาจล ณ เมืองเยี่ยนหยางมา นางก็รู้ถึงความยากลำบากแล้ว ยังรักษาชีวิตในโจรโพกผ้าเหลืองและโจรภูเขามาได้ ยังจะต้องกลัวอะไรอีก
ต่อให้หนทางข้างหน้าจะยากลำบากเพียงใด นางก็ยังจะสู้ต่อไป สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางรู้ว่าตนเองไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป
นางเปิดม่านออกอย่างอดใจไม่ไหว มองไปยังชายหนุ่มที่อยู่บนอานม้าไม่ไกล คิดไม่ถึงว่าเขาก็กำลังมองมาอยู่พอดี
ดวงตาของทั้งคู่พลันสบเข้าด้วยกัน
นัยน์ตาของเขามอบความอบอุ่น มั่นคงและได้รับการปกป้องให้กับใจของนาง
ล้อเพลาอันแข็งแกร่งของรถม้ากลิ้งไปบนพื้นหิน และเข้าสู่ประตูเมืองเยี่ยจิง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์อายุสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยออกจากเยี่ยนหยางด้วยซ้ำ จะเคยเจอเมืองหลวงได้อย่างไร เหลือบมองทิวทัศน์ที่มีมากมายจนมองไม่หวาดไม่ไหว ดวงตาคู่หนึ่งแทบจะไม่พอมองอยู่แล้ว รถหรูม้าดีเต็มเมือง หญิงงามอาภรณ์สวย ร้านอาหารและโรงน้ำชาตั้งเรียงราย ซึ่งดูสูงส่งกว่าร้านในเยี่ยนหยางไม่รู้เท่าไหร่ จับแขนเสื้อหญิงสาวข้างกาย “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ดูนั่น……แล้วก็นั่น……งามเหลือเกิน ชาตินี้ข้าโชคดีมีโอกาสเข้ามาเมืองหลวง เดี๋ยวข้าจะได้เข้าวังจริงๆ ใช่ไหม ข้าไม่รู้กฏระเบียบในวังเลย หากทำอะไรผิดไปจะทำอย่างไรดี……”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยเพียง “ไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดมาก พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นว่านางยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงเท่าไร นิสัยก็ยิ่งนิ่งเงียบมากเท่านั้น เปลี่ยนไปจากวันก่อนๆ อยู่มาก ในเวลานี้เข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้สึกแปลกใหม่อะไรเลย ก็แอบสงสัยอยู่เล็กน้อย ทว่านางกำลังดื่มด่ำอยู่ในโลกอีกใบ จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร จึงไปชมทิวทัศน์คนเดียวต่อ
พระราชวัง ตำหนักซานชิง มโหรสพรายล้อม เงียบสงบและสง่างาม ไม่ขาดความสูงส่งของราชนิกูล
ภายในงานเลี้ยง ชาววังถือกาน้ำทองคำ จอก แก้วทอง วางบนหลังโต๊ะยาว รอการมาถึงของวีรบุรุษแห่งการสยบจลาจลในฉางฉวน
รัชทายาทซื่อจุนสวมชุดกึ่งทางการ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงแทนฮ่องเต้หนิงซี มาถึงงานล่วงหน้าครู่หนึ่ง นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ล้อมรอบด้วยผ้าสีเหลือง
ใต้พระที่นั่งมีขุนนางจากกองการทูตทำหน้าที่ต้อนรับแขก ด้านข้างมีที่นั่งหลายที่นั่งสำหรับขุนนางในราชสำนักว่างไว้
ที่นั่งว่างสองที่คืออวี้เหวินผิงและจิ่งหยางอ๋องที่ยังไม่ได้กลับมาจากการต้อนรับที่ชานเมือง
ที่นั่งหนึ่งในนั้นมีแม่ทัพอาวุโสเฉินนั่งอยู่ เพราะครั้งนี้หลานรักเฉินจ้าวก็มีคุณงามความดีกับเขา จึงได้เข้าร่วมงานเลี้ยง
ที่นั่งข้างกายของแม่ทัพเฉิน คืออวิ๋นเสวียนฉั่งเจ้ากรมกลาโหม สีหน้าสุขใจจนปิดไม่มิด คอยืดคอยาว นั่งรอลูกเขยกลับวัง
การจลาจลในเขตฉังชวนคราวนี้ ตอนแรกเขาก็ร้อนใจ จะว่าไปแล้วฉินอ๋องคนนี้ก็ช่างโชคร้ายเหลือเกิน รับตำแหน่งแรกก็เจอกับเรื่องรับมือยากขนาดนี้แล้ว หากจัดการไม่ดี ทำให้ฮ่องเต้กริ้ว ถูกลงโทษ ตัวเองโชคร้ายคนเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เขาคนนี้ที่ได้ดองเป็นตระกูลเดียวกันแล้วก็ตกที่นั่งลำบากไปด้วย จึงอยู่ในจวนเงียบๆ ไม่พูดอะไร บอกกับคนนอกว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับฉินอ๋อง เหมือนกับครั้งที่เว่ยอ๋องถูกกักบริเวณ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็มีส่วนพัวพันน้อยหน่อย
เกาจ๋างสื่อรู้ว่าที่เกิดเรื่องแบบนี้เพราะเว่ยอ๋องไม่ยอมแจกจ่ายเสบียง จึงส่งคนไปหาตระกูลมารดาของพระชายา คิดว่าแม้อวิ๋นเสวียนฉั่งจะสู้พรรคพวกของตระกูลเหวยไม่ได้ ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็มีกรมกลาโหมอยู่ในมือ ขอให้พ่อตาอ้อนวอนราชสำนัก ทูลขอฮ่องเต้ให้เว่ยอ๋องแจกจ่ายเสบียง เพื่อช่วยฉินอ๋องแก้สถานการณ์ ตอนนั้นอวิ๋นเสวียนฉั่งทำเป็นหูหนวก ไม่ได้ตอบตกลง แต่หลังจากนั้นเกาจ๋างสื่อก็สั่งให้คนมาใหม่ เขาก็ปฏิเสธทันที ไม่แม้แต่จะพบหน้า