ในตอนนี้พอสถานการณ์แปรเปลี่ยน อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะใช้ได้อยู่เหมือนกัน เขาเอาอยู่ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและการจลาจลจากมนุษย์!
ตอนที่สาส์นถูกส่งมาถึงราชสำนัก เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ซีหนิงที่ราวกับได้เห็นฟ้าหลังฝน อวิ๋นเสวียนฉั่งโล่งอกขึ้นมาก สั่งถอนป้ายปฏิเสธการเข้าพบ ทั้งยังส่งของขวัญให้จวนฉินอ๋อง บอกว่าเป็นของขวัญมอบให้ในโอกาสที่ฉินอ๋องกลับเมืองหลวง ตอนแรกยังกล่าวอ้างชื่อของฮูหยินถง บอกว่าย่าคิดถึงหลานสาว อยากพบหน้าพระชายา ใช้เหตุผลนี้กระชับความสัมพันธ์ เพื่อไม่ให้ตอนที่ฉินอ๋องกลับเมืองหลวงมาจะได้ไม่โกรธเคืองกัน ส่งคนไปจวนฉินอ๋องสองสามครั้ง ทว่าก็ถูกปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง เกาจ๋างสื่อบอกว่าช่วงนี้พระชายาไม่ค่อยสบาย เขาจึงยอมแพ้
แต่ว่าไม่เป็นอะไร วันนี้ฉินอ๋องกลับมาเมืองหลวง อวิ๋นเสวียนฉั่งตัดสินใจแล้วว่าหลังงานเลี้ยง รอให้ลูกเขยคนนี้รายงานเสร็จ จะใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมลูกสาวที่จวน ไปจวนฉินอ๋องกับเขา ถือโอกาสตีสนิท
ในเวลานั้นเอง ณ ประตูใหญ่ภายนอกตำหนัก มีคนประกาศว่า “ฉินอ๋อง แม่ทัพเฉินได้เข้าวังมากับสมุหนายกอวี้และจิ่งหยางอ๋องแล้ว ตอนนี้อยู่ที่นอกตำหนัก”
รัชทายาทลุกขึ้น ก่อนจะพาขุนนางจำนวนหนึ่งออกไปต้อนรับ
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่แถวสุดท้ายของบ่าว มองปราดเดียวก็เห็นว่าบิดายืนอยู่หลังรัชทายาท สีหน้าตึงเครียด ทว่าก็ปล่อยวางได้ในทันที เขาจะจำตนได้อย่างไร แม้ว่านางจะเป็นลูกสาวของตระกูลอวิ๋น แต่ท่านพ่อผู้นี้เคยสนใจนางจริงๆ ตั้งแต่เมื่อไรกัน ในเวลานั้นเอง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ราวกับได้ยินการแนะนำของขุนนาง ก่อนจะหันหน้าไป “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ คนที่สวมชุดขุนนางสีครามคนนั้น เหมือนจะเป็นพ่อตาของฉินอ๋อง ซึ่งก็คือท่านพ่อของแม่นางอวิ๋นแห่งจวนอ๋องนั่นเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นขานรับ ทว่ายังคงเห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์จ้องมองท่านพ่ออยู่ ใบหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะกระซิบ “ดูสิ เจ้ากรมอวิ๋นทั้งจมูกโด่ง ปากยังได้รูป โครงหน้าดูสูงส่ง อายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังคงหน้าตาเช่นนี้ไว้ได้ ในวัยหนุ่มต้องเป็นชายหนุ่มรูปงามแน่นอน คิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่เป็นขุนนางในเมืองหลวง นอกจากจะต้องมีความสามารถแล้ว ต่างมีหน้าตาที่โดดเด่นเช่นนี้อีกด้วย”
มุมปากของอวิ๋นหว่านชิ่นยกยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอยู่ในที “นั่นน่ะสิ รูปลักษณ์ภายนอกดี ถึงจะปกปิดสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างดี สร้างความสับสนให้กับผู้คน เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป”
“หา อะไรนะ” หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไม่เข้าใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนเรื่อง “เจ้ามัวแต่จ้องชายแก่คนหนึ่งอยู่ทำไม ชายหนุ่มในตำหนักที่เด็กกว่า รูปงามกว่าและตำแหน่งใหญ่กว่าเขาก็มีไม่น้อย”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เพ่งพินิจอวิ๋นเสวียนฉั่งก็เพียงแต่อยากจะเดาหน้าตาของพระชายาเท่านั้น ได้มาเห็นในวันนี้ ก็เดาได้ว่าในเมื่อมีพ่อที่ทั้งหน้าตาหล่อเหลา โหงวเฮ้งโดดเด่น ลูกสาวก็คงเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแน่นอน อีกทั้งยังเป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ จะต้องมีมาด มิน่าเล่า ตอนอยู่ในพระราชนิเวศน์ที่เยี่ยนหยาง บ่าวต่างบอกว่าฉินอ๋องปฏิเสธหญิงงามที่ผู้ตรวจราชการเหลียงเสนอให้ และได้ยินใต้เท้าซือพูดว่า ฉินอ๋องเพิ่งแต่งงาน จิตใจยังคงผูกติดอยู่กับแม่นางผู้นั้น
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เพียงแค่ยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มผสมผสานกับการถอนหายใจที่อธิบายไม่ได้ ต่อให้จะไม่ได้เห็นพระชายาฉินอ๋อง แต่เห็นแค่ท่านพ่อของพระชายาฉินอ๋อง ก็เกิดภาพในหัวได้แล้ว รู้สึกตัวเล็กลีบลงไปไม่น้อย
ภายในตำหนัก รัชทายาททักทายฉินอ๋องและพรรคพวกกันครู่หนึ่ง ทั้งยังถ่ายทอดคำชมของหนิงซีฮ่องเต้ให้ฟังอีกด้วย
ซย่าโหวซื่อถิงฟังจบ สีหน้าเผยความกังวลเล็กน้อย “เสด็จพ่อประชวรด้วยโรคอะไรหรือ”
สีหน้าของรัชทายาทก็ตึงเครียดเช่นกัน “ก็ก่อนที่ฉินอ๋องจะกลับเมืองหลวงห้าหกวัน อากาศในเมืองหลวงก็เย็นลงในชั่วข้ามคืน สวนดอกเหมยก็ออกดอกข้ามวัน ฉินอ๋องก็รู้ เสด็จพ่อชอบชอบชมดอกเหมยมาก วันนั้นหลังจากชมดอกเหมย กลับมาก็ไอไม่หยุด หลังจากนั้นก็พักรักษาพระวรกายอยู่ในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนมาตลอด เหยากงกงบอกว่าประชวรเพราะลมเย็นกระทบปอด”
“ลมเย็นกระทบปอดหรือ” ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะเอ่ย “ข้าขอไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่พระที่นั่งหย่างซินก่อน”
รัชทายาทมองฉินอ๋อง ก่อนจะเอ่ย “ฉินอ๋องกตัญญู อย่างไรก็ตามเสด็จพ่อต้องการพักฟื้นเงียบๆ ตั้งแต่ประชวร นอกจากเหยาย่วนพั่นที่นำยาไปให้พร้อมกับตรวจพระอาการ และสนมม่อที่คอยดูแลอยู่ข้างพระองค์ทั้งวันทั้งคืนแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ให้ผู้ใดเข้าเฝ้าอีกเลย งานประจำวันในราชสำนักก็ให้ข้าจัดการ เรื่องอื่นก็ให้เหยาฝูโซ่วส่งเอกสารและส่งข่าว พระราชโองการมอบรางวัลแก่ฉินอ๋องในครั้งนี้ ก็ร่างขึ้นในพระที่นั่งหย่างซิน”
เมื่อได้ยินประโยคที่ว่า ‘งานประจำวันในราชสำนักก็ให้ข้าจัดการ’ ซย่าโหวซื่อถิงก็ตากระตุกเล็กน้อย ทว่าไมได้แสดงสีหน้าอะไรออกไป และได้ยินรัชยาทเอ่ยต่อ “ทว่าตอนนี้ พระอาการคงที่แล้ว ฉินอ๋องไม่ต้องกังวล เพียงแต่เสด็จพ่อไม่อยากให้ใครไปรบกวน”
นัยน์ตาซย่าโหวซื่อถิงไม่ไหวติง “ได้ เช่นนั้นก็รอให้พระอาการของเสด็จพ่อดีขึ้นกว่านี้หน่อย ข้าค่อยไปเข้าเฝ้าก็แล้วกัน”
รัชทายาทพยักหน้าพลางยิ้ม ผายมือเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้าไปนั่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ด้านหลังสุด ได้ยินทั้งสองคนคุยกันอย่างชัดเจน หากเป็นเพียงแค่ลมเย็นกระทบปอด เหตุใดจะต้องหลบเลี่ยงไม่พบผู้คนด้วย เป็นเพียงแค่ลมเย็นกระทบปอดจริงหรือ
แล้วองค์รัชทายาทยังได้รับหน้าที่ในการกำกับดูแลงานของประเทศในฐานะตัวแทนพระองค์…ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่
นอกจากนี้ สนมม่อ? หมายถึงเมี่ยวเอ๋อร์ใช่ไหม เมี่ยวเอ๋อร์เข้าวังมาในฐานะน้องสาวของพ่อบ้านตระกูลอวิ๋น ย่อมใช้แซ่ม่ออยู่แล้ว
ออกจากเมืองหลวงไปเพียงเดือนเดียว จากนางใน นางได้ขึ้นมาเป็นพระสนม ในเมื่อสามารถดูแลอยู่ข้างพระวรกายได้ แสดงว่าต้องเป็นที่โปรดปรานมาก หัวใจที่ตื่นเต้นของอวิ๋นหว่านชิ่นตอนนี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนเข้าที่นั่งกันตามลำดับ ขุนนางผู้มีคุณูปการคนอื่นเข้าไปนั่งตามยศและตำแหน่ง ในที่ที่ไกลออกไป
ทหารและบ่าวบางส่วนที่ตามเข้าวังด้วย ยืนอยู่นอกตำหนักซานชิงเพื่อรอรับรางวัล
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน รู้สึกว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์สะกิดมือตนเองเบาๆ และยังคงทอดถอนในด้วความซาบซึ้งอยู่ “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ดูสิ องค์รัชทายาทคนนั้น…พระราชวังช่างเป็นสถานที่ที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้าจริงๆ งดงามอลังการ สร้างอิฐทุกก้อน เสาทุกต้นอย่างปราณีตขนาดนี้! แค่ได้เข้ามาสักครั้งในชีวิต ข้าก็ตายตาหลับแล้ว…”
อวิ๋นหว่านชิ่นแค่อยากจะให้งานเลี้ยงนี้ผ่านไปโดยเร็วที่สุด รีบกลับไปที่จวน นางขานรับว่า “อืม” ไปสองทีอย่างใจลอย ก่อนจะหันไปเห็นสีหน้าตื่นตาตื่นใจของหลี่ว์ชีเอ๋อร์อีกครั้ง สีหน้าของนางราวกับได้เปิดประตูเข้าสู่โลกใบใหม่ เห็นอะไรก็ดูแปลกใหม่ไปหมด ไม่มีความเสียใจที่สูญเสียพี่ชายไปเลยแม้แต่น้อย
รู้สึกประหลาดใจอย่างไร้สาเหตุอยู่ภายในใจ ทว่านางก็รู้ว่ามนุษย์เราควรมองไปข้างหน้าอยู่ตลอด อย่ามองกลับหลัง แล้วก็ไม่ได้ขอให้หลี่ว์ชีเอ๋อร์จมปลักอยู่ในความทุกข์เป็นเวลานาน จึงตอบรับไปสองทีอย่างไม่ได้ใส่ใจ
ภายในตำหนัก พิธีการของงานเลี้ยงดำเนินการไปทีละขั้นตอนตามที่ขุนนางผู้จัดการได้วางแผนไว้
ตอนที่มอบรางวัลตามคุณงามความดี นางมองลอดไหล่ของคนจำนวนมากข้างหน้าไป เห็นฉินอ๋องและเฉินจ้าวออกไปยืนด้านหน้าพร้อมกันสองคน นำซือเหยาอัน รองเจ้ากรมก่วน หัวหน้าหน่วยถังและผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน ต่างคุกเข่าใต้บัลลังก์และฟังขันทีอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้ที่มอบรางวัลให้แก่ทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใด ความดีความชอบทางทหารเป็นเส้นทางของการเลื่อนขั้นและมีชื่อเสียงในใต้หล้าได้รวดเร็วที่สุด และความขัดแย้งภายใน เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทุกสมัยไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด อาจจะให้ความสำคัญมากกว่าการทำสงครามกับคนนอกด้วยซ้ำ ดังนั้นการจลาจลในเยี่ยนหยางครั้งนี้ หนิงซีฮ่องเต้ไม่ตระหนี่ขี้เหนียวแต่อย่างใด ใครที่ควรได้รับรางวัลก็มอบให้
เสียงแหลมสูงและร่าเริงของขันทีดังมาเข้าหูของอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นระลอก
“ฉินอ๋องเพิ่งดำรงตำแหน่งซื่อถิง กลับต้องเผชิญกับอันตราย สยบการประท้วงของประชาชนและการจลาจลจากโจร กำจัดแผลเปื่อยในราชสำนักที่มีมานานหลายปี คุณูปการอันยิ่งใหญ่นี้ แซ่ซ้องว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างเดียวยังคงไม่เพียงพอ เพื่อทำให้คุณงามความดีนี้แจ่มแจ้ง นอกจากตอนที่ได้รับการอวยยศจากฮ่องเต้ จะได้รับพระราชทานที่ดินแห่งฉินแล้ว ยังมอบเขตฉังชวนให้ปกครองอีก สามารถควบคุมไร่นา กำลังทหารและเหล่าขุนนางภายในเขตที่มีสามจังหวัดสี่อำเภอนี้ได้ ใช้ตราพยัคฆ์แสดงตนของพระโอรสก็สามารถโยกย้ายได้ นอกจากงานบริหารบ้านเมืองในเขตฉังชวน เริ่มเข้าร่วมการประชุมที่ราชสำนักในเมืองหลวงได้ เข้าสู่กรมเลขาธิการใหญ่ ช่วยงานบริหารประเทศของฮ่องเต้และรัชทายาท นอกจากนี้ยังให้ที่นาในเมืองหลวงหนึ่งหมื่นไร่ สาวใช้หนึ่งพันคน อัญมณีและสมบัติในท้องพระคลังอย่างละหาบหลวง..”