ตอนที่ 171.3 ความลับถูกเปิดเผย (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“เฉินจ้าวเป็นแม่ทัพรุ่นหลังที่เก่งกาจไม่แพ้รุ่นปู่ เมื่อครั้งนำทัพครั้งแรก ก็เพียบพร้อมทั้งความกล้าหาญและปฏิภาณไหวพริบ จึงได้ผลักดันให้รับตำแหน่งยกกระบัตรสังกัดกองบัญชาการกองกำลังรักษาเมืองหลวง เป็นขุนนางระดับสาม” 

 

 

บนใบหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะถอนใจ 

 

 

ในชาติภพก่อนนางอยู่แต่ในเรือน ทำตามกฎสอนหญิง ใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อ น่าอึดอัด ไม่เคยสนใจเรื่องภายนอก มีเหตุการณ์จลาจลเมืองเยี่ยนหยางหรือไม่นางก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน แต่ที่แน่ใจนั้นคือ ถึงแม้จะมี ผู้สร้างผลงานในเหตุการณ์จลาจลเมืองเยี่ยนหยางในชาติก่อนนั้น ไม่มีชื่อของฉินอ๋องและเฉินจ้าวอย่างแน่นอน 

 

 

จนกระทั่งนางแต่งเข้าตระกูลหรงแล้ว เฉินจ้าวเพิ่งจะได้รับยศเซวียนเว่ยเชียนซื่อตำแหน่งขุนนางระดับห้าเท่านั้น 

 

 

ส่วนฉินอ๋องในชาติก่อน ถึงแม้นางจะไม่ได้สนใจเส้นทางการเป็นองค์ชายของเขามากนัก แต่หลังจากที่ได้รับตำแหน่งนั้น ปกติแล้วเหล่าองค์ชายจะสั่งให้ขุนนางผู้เรียบเรียงประวัติศาสตร์และขุนนางกรมธรรมการร่างประวัติผลงานต่างๆ ของตนออกมา ไม่เว้นแม้แต่ฉินอ๋องที่ขึ้นเป็นเจาจงแล้ว นางจำได้ว่า เขาไม่ได้มีประสบการณ์การเป็นขุนนางท้องถิ่นเลย 

 

 

ก็ใช่…ในชาตินี้มีหลายเรื่องที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป จะเหมือนกับชาติก่อนทั้งหมดได้อย่างไร เมื่อครั้งวันถัดมาของวันแต่งงานใหม่ได้เข้าวังไปเข้าเฝ้า ตำแหน่งใหม่ที่หนิงซีฮ่องเต้ให้เขานั้นถูกนางเปลี่ยนแปลงไป จากตำแหน่งขุนนางในค่ายอาวุธเป็นรองผู้บัญชาการฝ่ายกลาโหมของเขตฉางชวน อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เรื่องต่อจากนั้นมาจึงได้เปลี่ยนแปลงไปหมด 

 

 

นางไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เช่นนี้จะดีหรือร้าย แต่จากที่เห็นในตอนนี้นั้น เป็นเรื่องดีแน่นอน 

 

 

เพียงแต่…หากเส้นทางชีวิตในชาตินี้แตกต่างออกไปแล้ว นางหวังเป็นที่สุดว่า เขาจะไม่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนดั่งในบันทึกของมู่หรงไท่ 

 

 

รอยยิ้มของนางชะงักไป ใจเหม่อลอยไปเล็กน้อย เห็นว่าสายตาของซย่าโหวซื่อถิงมองมาที่หน้าของตนพอดี เพียงแต่ไม่กล้ามองนานเกินไป 

 

 

เมื่ออ่านราชโองการจบ ฉินอ๋องและคนอื่นก็ขอบพระทัยฮ่องเต้ แล้วให้ขันทีอีกนายหนึ่งถือสาส์นราชโองการผ้าไหมสีเหลืองมาถวายให้ ตบรางวัลแก่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น ซือเยาอัน รองผู้บังคับบัญชาก่วน และนายพันเอกถัง อีกยังมีขุนนางทหารระดับกลางและล่างที่มีผลงานโดดเด่น ต่างก็ใช้โอกาสในครั้งนี้ขึ้นตำแหน่งเติบโตขึ้น แม้แต่เดิมทีที่เป็นชาวบ้านไร้ชื่อเสียงเรียงนาม อย่างเช่น เว่ยเสียวเถี่ย 

 

 

ขณะที่อ่านราชโองการอยู่นั้น ในพระตำหนักก็มีเสียงปลื้มปิติยินดีกัน 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยก็เหมือนกับหลี่ว์ชีร์ ที่เพิ่งเคยมาเมืองหลวงครั้งแรก ยิ่งไม่คาดคิดว่าจะได้รับการพระราชทานรางวัลในพระตำหนักในพระราชวัง แต่เขาอายุยังน้อยไม่เกรงกลัวอะไร อีกยังบุกลุยไปทั่วทุกทิศอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ก้มโค้งขอบพระทัยอย่างเป็นการเป็นงานเหมือนดั่งคนอื่นๆ เมื่อลุกขึ้นแล้วถอยออกไปนั้น ก็ยื่นหน้าแอบมองกลุ่มคน ตั้งแต่แยกกับเสี่ยวชิ่งเกอร์ที่กลุ่มผ้าเหลืองแล้วก็ไม่ได้พบกันอีก ระหว่างทางที่มานั้นก็ไม่ได้มีโอกาส แต่ว่าไม่เป็นไร ตนก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ภายภาคหน้าก็มีโอกาสพบกันมากขึ้นแล้ว หากท่านแม่ทัพเฉินอนุญาต เขาไปเป็นองครักษ์ติดตามข้างกายเสี่ยวชิ่งเกอร์ก็ยังได้ 

 

 

เมื่อรอบสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ซย่าโหวซื่อถิงอยากจะรายงานการทำงานโดยทันที แล้วฉวยโอกาสนี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาการถอยออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นจะได้ออกจากวังไปได้เร็วยิ่งขึ้น แต่อวี้เหวินผิงกลับมองคนที่เดินไปยังนอกประตูพระตำหนักแล้วกล่าวขึ้น “หนุ่มน้อยแซ่เว่ยนั่น เหมือนว่าจะสร้างผลงานกับข้าหญิงคนนั้นมิใช่หรือ” 

 

 

องค์รัชทายาทสงสัย “ข้าหญิงหรือ” เมื่อฟังอวี้เหวินผิงเล่าให้ฟังแล้วจึงเข้าใจ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร “ทำไมหรือ ที่แท้ก็มีข้าหญิงสร้างผลงานเช่นกันหรือ ฉินอ๋อง ผู้ใดกัน เรียกให้นางมารับรางวัลด้วยสิ ข้าอยากจะเห็นนัก” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงน้ำเสียงสีหน้านิ่งเฉยและให้เกียรติ “หญิงชาวบ้านชั้นต่ำ ได้เข้าวังมาก็เป็นบุญวาสนายิ่งนักแล้ว มารับรางวัลในพระตำหนัก ไม่เหมาะสมนัก รางวัลนั้นเมื่อออกจากวังแล้วข้าจะให้บ่าวไปมอบให้กับนางเอง” 

 

 

อวี้เหวินผิงคล้ายว่าเย้าหยอก “ฮ่าๆ ใครๆ ก็บอกว่าขุนนางเก่าแก่อย่างพวกข้านั้นหัวโบราณ ดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ฉินอ๋องอายุยังน้อย เหตุใดถึงเป็นหนักกว่าคนแก่อย่างข้าเล่า ต้าเซวียนเราเมื่อแรกเปิดประเทศ ก็มีวีรสตรีไม่น้อย ชายหนุ่มในตระกูลตายในสนามรบ ก็มีหญิงทั้งตระกูลออกรบสังหารศัตรูแทน ปัจจุบันนี้ฮ่องเต้ทรงเปิดกว้าง ในกฎหมายสามารถให้หญิงสาวพึ่งพาตนเองได้ ในสถาบันศึกษาส่วนตัวก็อนุญาตให้มีอาจารย์หญิงได้ เรื่องหญิงหม้ายแต่งงานใหม่ สามีภรรยาหย่าร้างกันอย่างสันตินั้นก็มีมากมายทั่วทุกที่ แต่ละเรื่องนั้นต่างก็อธิบายได้ว่าสถานะของหญิงสาวค่อยๆ สูงขึ้น ตอนนี้ก็แค่เรียกหญิงสาวคนหนึ่งมารับพระราชทานรางวัลเท่านั้น จะมีปัญหาอะไรได้” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยิ้มเยาะอย่างนิ่งเฉย “วันนี้อำมาตย์อวี้ช่างเป็นกังวลถึงสถานะของหญิงในรัชกาลเราเสียจริง” 

 

 

องค์รัชทายาทเห็นว่าฉินอ๋องไม่ค่อยเต็มใจจึงไม่ได้บีบบังคับ แล้วไกล่เกลี่ย “เอาละ ในเมื่อฉินอ๋องตัดสินใจแล้ว ก็ตบรางวัลให้เป็นการส่วนตัวแล้วกัน” 

 

 

อวี้เหวินผิงรู้ว่าองค์รัชทายาทมีนิสัยเป็นคนรักสงบไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง อัธยาศัยดีทั้งตอนอยู่ในวังและในท้องพระโรง ไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับใคร หากจะยื้อแย่งต่อก็คงไม่เกิดผลดีอะไร จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วแอบกวักมือเรียก สีหน้าเจ้าเล่ห์ สั่งกำชับเสียงแผ่วเบา “ไปทูลรายงานต่อพระมเหสีรองว่าข้าน้อยทางนี้คงจะไม่มีหวังแล้ว” 

 

 

ขันทีได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไป 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นท่าทีของอวี้เหวินผิงแล้วก็ไม่ลังเลอีก ตัดสินใจจะหยุดงานเลี้ยงให้ไวที่สุด แต่เพิ่งจะพระราชทานรางวัลก็จะเอ่ยลาออกมา ไม่สมเหตุสมผลนัก เกรงว่าจะเกิดความสงสัย จึงยกจอกเหล้าขึ้นแล้วพูดไปสองสามคำ ในที่สุดก็พูดวนมาจนได้โอกาส “นี่ก็สายมากแล้ว เช่นนั้นข้าจะเริ่มรายงานการทำงานเดี๋ยวนี้เสียเลย” 

 

 

องค์รัชทายาทคิดไปสักครู่ก็พยักหน้า “ฉินอ๋องลำบากมาตลอดทาง ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน เสร็จสิ้นพิธีเร็วหน่อย ฉินอ๋องและแม่ทัพเฉินจะได้กลับไปพักผ่อน ก็ดีเหมือนกัน คนอื่นถอยออกไป…” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ แต่หลี่ว์ชีร์กลับอาลัยอาวรณ์ “อ้าว จะออกจากพระราชวังแล้วหรือ…” เวลานี้เอง กลับได้ยินเสียงก้องกังวาลแต่ก็มีความออดอ้อนของหญิงสาวลอยมาจากทางเดิน “ช้าก่อน อย่าเพิ่งไปกัน” 

 

 

ทุกคนต่างก็ชะงักไปแล้วมองไปทางที่เสียงลอยมา ก็เห็นหญิงงามสูงศักดิ์รอบล้อมด้วยนางกำนัลและขันที กำลังเดินจากอีกด้านของทางเดินมายังประตูพระตำหนักซานชิง 

 

 

เมื่อถึงหน้าประตู คนในวังก็ได้สติจากความตกใจแล้วก้มโค้งคำนับ “พระมเหสีรอง” 

 

 

เหล่าขุนนางในพระตำหนักซานชิงเมื่อได้ยินคำว่าพระมเหสีรองแล้วต่างก็ตกใจกัน หญิงในวังแต่ไรมาไม่พบขุนนางนอกวัง ครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงรับรองผู้สร้างผลงานที่องค์รัชทายาทจัดขึ้น พระมเหสีรองเหวยมาทำอะไรกัน ทว่าในเมื่อปรากฏตัวขึ้นแล้ว ก็ต้องมีเรื่องอะไรเป็นแน่ 

 

 

พระมเหสีรองเหวยเชิดคออันเรียวยาวเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ เมื่อถึงหน้าประตูแล้ว ก็มองเหล่าบ่าวรับใช้ที่ฉินอ๋องพาเข้าวังมา สายตาก็ไปตกอยู่ที่เหล่าหญิงสาว แล้วยิ้มออก 

 

 

หลี่ว์ชีร์เห็นความสง่างามของพระมเหสีรองเหวย แสงทองอร่ามทั่วทั้งตัว ก็มองจนตนลืมตาไม่ขึ้น แล้วพึมพำขึ้นมา “เป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ได้ ช่างเป็นวาสนาสูงสุดของหญิงจริงๆ” 

 

 

พระมเหสีรองเหวยจับแขนของอิ๋นเอ๋อร์สาวใช้ติดตามแล้วก้าวข้ามธรณีประตูมา เมื่อเดินมาถึงกลางพรมแดงเมืองตะวันตกแล้วก็คำนับ “องค์รัชทายาท” 

 

 

“พระมเหสีรองเหวยเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว 

 

 

พระมเหสีรองเหวยมองไปรอบๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่นอกประตูแล้วละสายตากลับมา หันหน้าไปทางฉินอ๋อง แล้วยกริมฝีปากอันเรียวบางขึ้น “ฉินอ๋องมีผลงานใหญ่ ก็เพราะพระชายาเป็นภรรยาที่ดี เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสที่จะรายงานการทำงานในวันนี้ รับพระชายาเข้าวังมาด้วยเล่า หม่อมฉันจัดเตรียมงานเลี้ยงในสวนหลวงไว้แล้ว ถึงเวลาก็เชิญไทเฮาและฮองเฮาไปด้วย ตบรางวัลให้แก่พระชายากัน” 

 

 

สามีสร้างผลงาน ภรรยาถูกเรียกเข้าวังเพื่อรับรางวัลก็เป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องนี้จะต้องให้พระมเหสีรองเหวยมาบอกด้วยตนเองหรือ ทุกคนต่างก็รู้ว่ายังมีเรื่องอื่นอีก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงลุกขึ้นยืน แล้วตอบกลับอย่างยิ่งเฉย “ภรรยาของข้าเป็นหวัดไม่สบายนัก พักอยู่ในจวนอ๋องตลอด เกรงว่าวันนี้คงต้องทำให้พระมเหสีรองผิดหวัง วันหลังจะต้องมาขอรับโทษด้วยตนเองแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”