ตอนที่ 172.1 ตำหนักซานชิง กับ การปกป้องภรรยา (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“ข้าได้ยินมาว่าพระชายาฉินอ๋องป่วย” สีหน้าของมเหสีรองเหวยฉายแววเหยียดหยาม “ตั้งแต่ที่ฉินอ๋องไปเขตฉังชวนได้สิบวัน พระชายาก็ให้เกาจ๋างสื่อของจวนอ๋องมารายงานอาการป่วย บอกว่าลมเย็นลงปอด พบใครไม่ได้ ลองนับดูคร่าวๆ แล้ว น่าจะเกือบๆ หนึ่งเดือนที่ไม่ได้ออกมาพบคนแล้วกระมัง” พูดพลางหันหน้าไปมองข้างนอก “ใช่หรือไม่ เจ้ากรมอวิ๋น” 

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินดังนั้น ใจก็เต้นตึกตัก มเหสีรองเหวยเป็นคนเก่าคนแก่ที่คร่ำหวอดอยู่ในวังหลังมานานหลายปี ฉลาดเฉลียวกว่าลิงเสียอีก ไม่มีทางทำเรื่องทำลายชื่อเสียงตนเองให้ตกเป็นขี้ปากคนอื่นอยู่แล้ว ในวันนี้ตรงมาที่ตำหนักซานชิง เผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางโดยไม่สนธรรมเนียมพระราชสำนัก เช่นนั้นก็แสดงว่าเตรียมตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว ลูกสาวต้องไปหาเรื่องอะไรมาแน่นอน 

 

 

เรื่องอะไรกันแน่นะ อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่รู้ แต่ที่รู้ดีก็คือ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ในเมื่อเป็นเรื่องไม่ดี เช่นนั้นตนเองก็ไม่อาจยั่วโมโหได้  

 

 

คิดไปคิดมา เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างอึกอัก “ได้ยินว่านางป่วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แม้มเหสีรองเหวยจะถูกปิดตายอยู่ที่วังหลัง หากแต่อำนาจค้ำฟ้าของพี่น้องและหลานชาย ทำให้นางยังสามารถมองแผนการในใจของขุนนางได้ ขุนนางข้นแค้นอย่างอวิ๋นเสวียนฉั่ง กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาได้ ย่อมไม่อาจให้แม้แต่ลมเพียงแผ่วเบามาสั่นคลอนรากฐานของตนได้แน่ ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น มเหสีรองเหวยก็แย้มพระสรวล “ในเมื่อท่านเจ้ากรมรู้ว่านางป่วย ต้องสั่งให้คนไปไถ่ถามอาการมาแล้ว การที่คนอื่นไม่ได้พบก็ยังพอเข้าใจได้ ทว่าท่านเจ้ากรมเป็นพ่อของนาง ท่านเจ้ากรมต้องได้พบนางบ้างสิ” 

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งกลืนน้ำลาย “ยังไม่ได้เจอเลยพ่ะย่ะค่ะ ไปหาที่จวนมาสองสามครั้ง ก็ถูกเกาจ๋างสื่อขวางไว้ บอกว่าป่วยหนักมาก กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” 

 

 

เหอะ พ่อคนนี้ พอเวลามีเรื่องอะไร ก็ต้องปัดปัญหาให้พ้นตัวก่อนเป็นอย่างแรก จะต้องเอาตัวเองรอดให้ได้ก่อนทุกครั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นยกมุมปากเผยรอยยิ้มเย็น ทว่าดูท่าทีแล้ว เห็นได้ชัดว่ามเหสีรองเหวยรู้ว่าตนเองไม่อยู่ที่จวนแน่ๆ อาจจะรู้กระทั่งว่าตนนั้นเดินทางไปยังเขตฉังชวนแล้วก็ได้ 

 

 

ตามคาด เมื่อมเหสีรองฟังจบ น้ำเสียงก็สูงขึ้น “เป็นเช่นนี้ไม่ได้นะ แค่เพียงลมเย็นลงปอด อาการเรื้อรังกินเวลาเป็นเดือนไม่ดีนะ! ไม่อย่างนั้นถือโอกาสนี้เข้าวังมาดูอาการสักหน่อยสิ ในวังมีหมอหลวงมากมาย หากฉินอ๋องสงสารพระชายา กลัวจะโดนลมแล้วอาการหนักขึ้นละก็ ข้าจะสั่งให้หมอหลวงไปดูให้ตอนนี้เลย” 

 

 

รัชทายาทจับใจความได้บางอย่าง พอเดาอะไรออกประมาณหนึ่ง แม้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็แน่ชัดว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลไม่ดีต่ออวิ๋นหว่านชิ่น เพียงแต่ เมื่อมเหสีเหวยเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ต่อให้อยากจะช่วย ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นต่อหน้าธารกำนัลได้ จึงเอ่ย “หากพระชายาอาการแย่มาก ก็ทำตามที่มเหสีรองเอ่ยเถิด” 

 

 

น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนดั่งที่ผ่านมา ทว่าก็ไม่อาจโต้แย้งได้อีกแล้ว 

 

 

มเหสีรองเหวยเห็นว่าฉินอ๋องไม่เอ่ยปาก จึงอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป “ทำไม แค่สองตัวเลือกเท่านั้นเอง ฉินอ๋องตัดสินใจยากเพียงนั้นเชียวหรือ” เอ่ยจบ ก่อนจะแผดเสียงแหลมสูงขึ้นไปอีก “หรือว่า พระชายาฉินอ๋องไม่อยู่ที่จวนตั้งแต่แรก รายงานข้อมูลเท็จแก่กองกิจการภายใน ปกปิดความจริงหนึ่งเดือนเต็มๆ อย่างนั้นหรือ” 

 

 

เกิดเสียงฮือฮาไปทั่ว 

 

 

รัชทายาทขมวดคิ้ว “มเหสีรองเหวยเอ่ยเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่” 

 

 

“รัชทายาทก็ให้คนไปดูที่จวนฉินอ๋องเสียเลยสิ แล้วลองถามบ่าวสักคน พระชายาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งไม่ออกมาทำงานบ้านงานเรือนหนึ่งเดือนเต็มๆ ต้องมีคนพูดออกมาแน่ๆ” มเหสีรองเหวยยิ้มเยือกเย็น “อ้อ จริงสิ ต้องหักคนของฉินอ๋องออกไปด้วย อย่าให้ออกจากวังไปเล่า” 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร” รัชทายาทสงสัย 

 

 

มเหสีรองเหวยยกแขนขึ้นชี้ไปยังฝูงชนที่อยู่นอกประตู เผยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองอกสั่นขวัญแขวน “เพราะพระชายาอาจอยู่ในคนกลุ่มนั้น”  

 

 

เมื่อคำพูดนี้แพร่งพรายออกมา ทั้งตำหนักซานชิงต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่พระชายาโกหกกองกิจการภายใน บอกว่าป่วยไม่มาเข้าเฝ้า แม้จะมีความผิด ทว่าหากเบื้องบนใจกว้างพอ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดมากมายอะไร สามารถลงโทษเบาๆ ก็สิ้นเรื่อง แต่ตอนนี้มเหสีรองเหวยบอกว่า พระชายาฉินอ๋องอยู่ในคณะผู้ติดตามเข้าเมืองนั่นหรือ 

 

 

นี่หมายความว่า พระชายาฉินอ๋องออกจากเมืองหลวงโดยไม่ได้ขออนุญาต ไปเขตฉังชวน แถมยังอยู่ที่นั่นเกือบหนึ่งเดือนอีกน่ะหรือ 

 

 

เช่นนั้น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วจริงๆ! 

 

 

แม่ทัพและสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามกองทัพ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นพิเศษตามพระราชโองการของฮ่องเต้ เพื่อที่จะไม่ทำให้กองทัพเสื่อมเสียและทำให้ขวัญกำลังใจเหล่าทหารแตกซ่าน 

 

 

ถ้าเป็นเรื่องจริง นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระชายาฉินอ๋องไม่รักษาระเบียบธรรมเนียมแล้ว ฉินอ๋องก็มีความผิดเช่นกัน เขาปล่อยให้สตรีไปกับกองทัพโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้ รู้เรื่องแต่ไม่รายงาน เกรงว่าคุณูปการคราวนี้จะโดนหักเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง 

 

 

ในเมื่อมเหสีรองเหวยจับได้แล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรหากเป็นตายร้ายดีก็ไม่เดินออกไป ยอมรับออกมาเองอย่างเฉิดฉายเสียดีกว่า เช่นนี้ยังพอมีจุดจบที่งดงามได้บ้าง 

 

 

หลังจากกลับเมืองหลวง ไม่ช้าก็เร็วต้องเปิดโปงพวกที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเว่ยอ๋องและตระกูลเหวยในศึกครานี้อยู่แล้ว ในเมื่อมเหสีรองเหวยใจร้อนเช่นนี้ ก็ตามใจนางก็แล้วกัน! 

 

 

นางจะเริ่มก่อนไปทำไมกัน 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นปัดกระโปรงข้างลำตัว เดินออกมาจากฝูงชน ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ยืนอยู่หน้าธรณีประตูสูง 

 

 

สิ่งที่พวกเขาได้ยินคือเสียงใสคมชัดและแฝงไปด้วยความหวานอันมีเอกลักษณ์ของหญิงสาว “คารวะมเหสีรอง” 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตกตะลึง ไม่เพียงแต่เสียงของหญิงสาวข้างกายจะธรรมชาติขึ้นแล้ว ยิ่งเห็นนางเดินออกมาด้วยท่าทางที่สง่างาม 

 

 

“แม่นางชิ่งเอ๋อร์…” นางร้องด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อพอเดาอะไรบางอย่างออก ก็รู้สึกได้เพียงหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาแล้ว 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยก็ยืนหลังตรงเช่นกัน 

 

 

ขุนนางมองไปตามเสียง น้ำเสียงไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกของหญิงสาวอย่างมาก 

 

 

น้ำเสียงของหญิงสาวดังฟังชัด ไม่เห็นอาการหวาดหวั่นของการเข้าวังครั้งแรกตรงไหน ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกกลับเป็นสาวใช้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้าตาน่าเกลียด 

 

 

ไม่สอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย 

 

 

เมื่อจับต้นชนปลายได้ถูก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงขยับกาย ทว่าเห็นสายตาที่ส่งมาของนาง บอกเป็นนัยให้ตนอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น 

 

 

มเหสีรองเหวยเห็นนางยอมจำนนโดยสมัครใจ บวกกับเห็นการแต่งกายของนางแล้ว ก็ตกตะลึง หลังจากเว่ยอ๋องกลับมา สงสัยว่าฉินอ๋องจะมีบ่าวคนโปรดอยู่ที่เยี่ยนหยาง ทั้งๆ ที่เป็นสาวบ้านนอกแท้ๆ ทว่าท่าทางไม่เหมือนสาวบ้านนอกเลย สามารถช่วยเหลืองานของฉินอ๋องได้อย่างคาดไม่ถึง มเหสีรองเหวยไม่พูดอะไร สั่งให้คนไปแอบสำรวจอยู่นอกจวนฉินอ๋อง สืบเสาะจากเบาะแส ถึงได้รู้ว่าพระชายาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เด็กสาวที่เยี่ยนหยางคนนั้น อาจจะเป็นแม่นางอวิ๋น 

 

 

หากไม่สืบหาเส้นสนกลใน ลำพังเห็นรูปร่างหน้าตาของนางตรงหน้านี้ ต่อให้เจอกันอีกกี่ร้อยวัน ก็เดาไม่ออกว่านางคือพระชายาฉินอ๋อง 

 

 

มเหสีรองเหวยเดาะลิ้นพลางปิดปาก “รูปลักษณ์เช่นนี้ของพระชายาช่างสั่นสะเทือนเมืองหลวงเสียจริง” เต็มไปด้วยการเย้ยหยันและการตำหนิ 

 

 

แล้วก็ไม่รู้ว่านางทำอย่างไรถึงไม่สะทกสะท้านเลย 

 

 

รายงานความเจ็บป่วยเท็จ หลอกลวงฮ่องเต้ ออกจากเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังมั่วสุมกับโจรโพกผ้าเหลืองอีก ไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่งต้องทำให้นางตกที่นั่งลำบากได้แน่  

 

 

พระชายาฉินอ๋องหรือ หลี่ว์ชีเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าไปหลายทีพลางเบิกตาโพลง ตัวข้าฟังผิดไปหรือไม่ 

 

 

เว่ยเสี่ยวเถี่ย เสนาธิการทหารก่วน หัวหน้าหน่วยถังและทหารตระกูลเฉิน ปากของทุกคนต่างหุบไม่ลงเจ้าเสี่ยวชิ่งคนนี้เป็นสตรีหรือ ให้ตายเถอะ เห็นนางนุ่มนิ่มขนาดนี้ แถมยังชอบเล่นมุกลามกกับนางอยู่เลย… 

 

 

หญิงสาวนอกประตูตำหนักก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของมเหสีรอง นัยน์ตาคู่หนึ่งละม้ายไข่มุกอันชุ่มชื้น ระรื้นไปด้วยน้ำ ก่อนจะคารวะตามธรรมเนียมในวังอย่างถูกระเบียบ “ก็จริงนะเพคะ การแต่งกายเช่นนี้ทำลายทัศนียภาพของมเหสีรอง รัชทายาทอนุญาตให้หม่อมฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยมารับสารภาพความผิดอีกครั้งดีไหมเพคะ” 

 

 

ความผิดน่ะ อย่างไรก็ต้องสารภาพอยู่แล้ว แต่คนที่สารภาพไม่ใช่ตนเอง! 

 

 

หากไม่ถูกคนอื่นเปิดโปงความจริง ไม่ว่าอย่างไรรัชทายาทก็เดาไม่ออกว่าสาวใช้ที่ยืนในตำหนักนี้ จะเป็นอวิ๋นหว่านชิ่นได้ 

 

 

ฝีมือของแม่นางผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง หากวันไหนมีโอกาส จะต้องขอให้มาสอนเสียหน่อยแล้ว อย่างน้อยก็เอาไปแสดงละครตบตาได้ 

 

 

ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะได้สติ เป็นเช่นนี้ดูไม่สง่างามจริงๆ รัชทายาทจึงโบกมือ สั่งให้คนในวังพาอวิ๋นหว่านชิ่นถอยลงไป ก่อนจะกำชับ “คนที่เหลือก็ออกไปเถิด”