“รีบออกไป” มู่เฉียนซีตะโกน หลังจากที่นางเปิดทางออกได้แล้ว ก็รีบพุ่งออกไปทันที
ในขณะที่นางพุ่งออกมา เถาวัลย์เหล่านั้นก็พุ่งเข้าหานางอย่างบ้าคลั่ง พวกมันพันร่างของนางไว้!
— ฉึก! —
หนามจำนวนนับไม่ถ้วนแทงเข้าไปในผิวหนังของมู่เฉียนซี ชุดของนางในเวลานี้เปื้อนเลือดจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีเข้มขึ้นแล้ว ทั่วทั้งร่างกายของนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และดูเหมือนว่ากลิ่นคาวเลือดนี้จะทำให้เถาวัลย์ยิ่งกระหายและโจมตีนางอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น
มู่เฉียนซีอดทนต่อความเจ็บปวดที่เสียดแทงใจนี้เอาไว้ นางแข็งใจพุ่งร่างไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต ในขณะที่นางพุ่งไปนั้น หนามของเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่เล็กและบางกว่าเข็มยาของนางพุ่งเข้าหาเพื่อคร่าชีวิตนาง
“นายท่าน!”
เสี่ยวหงและอู๋ตี้รีบเข้าไปสกัดกั้นหนามเหล่านั้นไว้ แต่จำนวนหนามเหล่านั้นมากเกินจะสกัดกั้นได้ไหว หนามจำนวนมากพุ่งปักเข้าไปที่ร่างของมู่เฉียนซีจนได้
ความเจ็บปวดราวกับโดนลูกธนูหมื่นดอกทิ่มแทงนี้ ทำให้สีหน้าของมู่เฉียนซีซีดขาวราวกระดาษ แต่นางยังคงกัดฟันกรอดเพื่อต้านทาน และต่อสู้เพื่อให้ตัวเองถอยหนีไปให้ไกลกว่านี้
เมื่อมาถึงระยะที่ปลอดภัย ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่นี้น่าหวาดเสียวจนเกินไป ร่างของนางที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นไม่มีแม้แต่เวลาที่จะรักษาอาการบาดเจ็บ นางเสียเลือดไปมาก ทำให้ไม่สามารถยืนอย่างคงที่ได้
ทันใดนั้นเอง ร่างเพรียวบางปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉียนซีราวกับภูตผีปีศาจ เขาเข้ามากอดนางเอาไว้โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปสัมผัสถูกบาดแผลของนาง
มู่เฉียนซีรู้ว่าเป็นใคร นางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “จิ่วเยี่ย…”
จากนั้นนางหมดสติไป…
ไม่นานนักนางก็ฟื้นตื่นขึ้นมา และพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบ และจิ่วเยี่ยกำลัง…
จิ่วเยี่ยมอบจุมพิตอันแผ่วเบาบนร่างกายของนาง เขาค่อย ๆ ช่วยเอาหนามบนร่างของนางออกทีละชิ้น ๆ
หนามที่ปักอยู่บนร่างของนางเหล่านี้ หากไม่ถึงพันก็นับร้อย! แต่เขากลับเอาออกทีละชิ้น
มู่เฉียนซี “ข้าใช้พลังวิญญาณบังคับมันออกมาก็ได้แล้ว เจ้าไม่ต้องลำบากเช่นนี้ก็ได้จิ่วเยี่ย”
“แต่เจ้าจะเจ็บ” จิ่วเยี่ยกล่าว ริมฝีปากของเขาในเวลานี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสดของมู่เฉียนซี ซึ่งมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่เห็นรู้สึกฮึกเหิมอยากสัมผัสมัน
มู่เฉียนซีมองหนามอันแหลมคมที่วางอยู่ข้าง ๆ นางพบว่าด้านปลายของหนามนั้นโค้งงอเป็นตะขออยู่ หากใช้พลังวิญญาณบังคับเอาหนามออกมา ถึงจะรวดเร็ว แต่เนื้อหนังของนางก็คงจะฉีกขาดและต้องเสียเลือดไปมากอีกครั้งเป็นแน่
จุมพิตของจิ่วเยี่ยไล่ลงไปที่บาดแผล เขาค่อย ๆ ใช้ปากม้วนหนามที่แหลมคมนั้นออกมา มู่เฉียนซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เจ็บ! ทว่าก็คงจะเจ็บน้อยกว่าการที่เนื้อฉีกหนังฉีกมากนัก
คัน! ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะทำให้ความรู้สึกของนางอ่อนไหว
เสียวซ่าน! เขาทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด
เมื่อเอาหนามที่แหลมคมนั้นออกมาแล้ว เขาก็ทายาให้นางอย่างระมัดระวังที่สุด มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าหากจิ่วเยี่ยเป็นหมอยา เขาจะต้องเป็นหมอยาที่รักษาได้ดีอย่างแน่นอน
นางเฝ้าดูจิ่วเยี่ยเอาหนามออกและทายาให้นางเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น มู่เฉียนซีก็ฟื้นฟูพลังกลับคืนมา นางกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย ลำบากเจ้าแล้ว อย่างไรก็ขอบคุณเจ้ามาก”
กลิ่นเลือดบนริมฝีปากทำให้ดวงตาของจิ่วเยี่ยฉายประกายอันตรายมากขึ้น เขากล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “แค่นี้เองรึ ? …ครบเจ็ดวันแล้ว”
หลังจากที่เขาพ่นคำกล่าวนี้ออกมา มู่เฉียนซีสะดุ้งเล็กน้อย นางโน้มตัวไปข้างหน้า ประกบริมฝีปากนุ่มของตนเข้ากับริมฝีปากงามของเขา
กลิ่นอายของเลือดนั้นทำให้ทั้งสองคลั่งขึ้นมาเล็กน้อย แต่เนื่องจากมู่เฉียนซีได้รับบาดเจ็บอยู่ จิ่วเยี่ยจึงพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะควบคุมตนเองเอาไว้
หลังจากจุมพิตอันแสนหวานผ่านพ้นไป มู่เฉียนซีเอนกายซบลงบนจิ่วเยี่ยและหลับใหลไปอีกครั้ง
เมื่อมู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาอีกครา นางก็พบว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของจิ่วเยี่ยกลางทะเลสาบ น้ำใส ๆ ในทะเลสาบกำลังซัดสาดมาและค่อย ๆ ชำระคราบเลือดบนร่างของนางออกไปทีละน้อย
แพขนตาของมู่เฉียนซีขยับเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏสีหน้าประหลาดใจขึ้น นึกไม่ถึงเลยว่าเยี่ยอ๋องผู้แข็งแกร่งผู้นี้จะสามารถดูแลผู้อื่นดีถึงเพียงนี้ได้
ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ!
บาดแผลกำลังจางหายอย่างรวดเร็ว คราบเลือดก็ถูกชะล้างออกไปอย่างสะอาดสะอ้าน เขากล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “เสื้อผ้าเจ้า…”
มู่เฉียนซีฉวยเอาชุดบุรุษออกมาจากมิติเก็บของของนางชุดหนึ่ง จากนั้นจิ่วเยี่ยก็แย่งชุดไปจากมือนาง
มู่เฉียนซีรีบกล่าวขึ้นทันที “ข้าใส่เองได้”
“ข้าใส่ให้ ชุดบุรุษเช่นนี้ ข้าย่อมเข้าใจดีกว่าเจ้า”
ไม่รอช้า จิ่วเยี่ยใช้ข้ออ้างนี้เป็นเหตุผลเพื่อที่จะช่วยมู่เฉียนซีแต่งตัว
การกระทำของเขานั้นจัดได้ว่าแสนอ่อนโยน เขาระมัดระวังอย่างดีและมือเรียว ๆ ไม่ได้โดนบาดแผลของนางแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่ได้ทำให้นางเจ็บเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่จิ่วเยี่ยแต่งกายให้นางเรียบร้อยแล้ว เขากอดนางไว้ ปากก็กล่าววาจาห่วงใย “รักษาแผลดี ๆ”
มู่เฉียนซีอดที่จะยิ้มจาง ๆ ไม่ได้ “จิ่วเยี่ย นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเอาใจใส่ได้ดีเช่นนี้”
“ซี… เจ้าบาดเจ็บง่ายเกินไปแล้ว” ขณะกล่าวเช่นนี้ ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นเปล่งประกายพลังทำลายล้างออกมาราวกับจะทำลายพื้นที่แห่งนี้ให้พังทลายก็มิปาน
ดูเหมือนว่าเขาจะกำจัดทุกสิ่งที่เข้ามาคุกคามนางเพื่อให้นางหายจากความเจ็บปวดนี้
จิตสังหารนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก สัตว์วิญญาณในเทือกเขาชีชงทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว พวกมันรีบกลับเข้าไปซ่อนตัวภายในถ้ำของตัวเอง
มู่เฉียนซี “มนุษย์อยากจะแข็งแกร่งก็ต้องอดทน หากเจอกับอันตรายใดก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงมันไปให้ได้ ขอเพียงวันนี้ข้ายังมีลมหายใจ ต้องมีสักวันที่ข้าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้า ถึงตอนนั้นแล้วข้าจะปกป้องเจ้า ไม่ให้เจ้าต้องบาดเจ็บ”
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ต้อง”
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก “เจ้าเป็นบุรุษที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองข้าเข้าใจ แต่เจ้าคิดว่าข้าไม่มีความสามารถหรืออย่างไร ?”
จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง “มันจะไม่มีวันนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็จะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง”
“เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
“มันคือความจริง”
ทั้งสองจ้องใบหน้ากันและกัน ผู้หนึ่งดื้อรั้น อีกผู้หนึ่งก็โหดเหี้ยมอย่างไร้ที่เปรียบ
“เช่นนั้นเจ้าคอยดูก็แล้วกัน!”
หลังจากที่อาการบาดเจ็บของนางหายดีแล้ว จิ่วเยี่ยก็ปล่อยมือออกจากนาง ยาที่จิ่วเยี่ยใช้นั้นไม่เลวเลย มันไม่ทิ้งรอยแผลเป็นและร่องรอยใด ๆ ไว้แม้แต่น้อย
“จิ่วเยี่ย เถาวัลย์หนามปีศาจนั้นอยู่ไหนรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น
ดวงตาสีฟ้าดุจดั่งน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกนั้นดูหม่นลงเล็กน้อย “ซี… เจ้าอยากเจ็บตัวอีกหรือ ? ข้าไม่ชอบให้ร่างของเจ้าเปื้อนเลือด”
มุมปากงามของมู่เฉียนซีโค้งคว่ำลง นางกล่าว “ไม่มีผู้ใดชอบสภาพตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือด เพียงแต่เถาวัลย์หนามปีศาจบัดซบนั่นมันทำร้ายข้าจนบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าต้องการสู้กับมัน เอาชนะมันให้ได้ด้วยตัวข้าเอง”
จิตวิญญาณในการต่อสู้ของมู่เฉียนซีนั้นแรงกล้ามาก ถึงแม้จะรู้ว่ายากที่จะทำได้ แต่นางก็ต้องการที่จะท้าทายมัน
จิ่วเยี่ยจ้องมองมู่เฉียนซี เขาเงียบไปพักหนึ่ง เขานั้นรู้ดีว่าเส้นทางแห่งความแข็งแกร่งมีหรือจะไม่นองเลือด ไม่ว่าจะเป็นเลือดของตนเองหรือจะเป็นเลือดของศัตรู ต่างก็ต้องนองเลือดทั้งสิ้น
เขารู้ว่ามู่เฉียนซีต้องการเป็นสตรีแข็งแกร่งผู้สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้ นางมิต้องการเป็นลูกไก่ที่คอยแต่จะให้เขาปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว
จิ่วเยี่ยคว้ามู่เฉียนซีมากอดเอาไว้ก่อนจะกระโดดตัวลอยไปที่เถาวัลย์หนามปีศาจนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จุ๊ ๆ ๆ! เจ้าเถาวัลย์หนามปีศาจ ข้ากลับมาแล้ว”
คราก่อนที่มู่เฉียนซีย่างเท้าเข้าไปในดงเถาวัลย์หนามปีศาจนี้ นางไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงอันตราย ครานี้นางรู้แล้วว่ามีอันตราย ทว่านางกลับเริ่มเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเผชิญหน้าด้วยตัวนางเอง
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เมื่อเหยื่อเข้ามาหาถึงที่เช่นนี้ เถาวัลย์หนามปีศาจก็เริ่มลงมือปิดล้อมทุกทางออกในทันที จากนั้นนางเริ่มลงมือโจมตีอยู่ในความมืดมน
“โล่วิญญาณวารี!”
“โล่วิญญาณวารีสองชั้น!”
“เสี่ยวหงอู๋ตี้ ออกมา!”
มู่เฉียนซีที่เตรียมพร้อมทุกอย่างมาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกกับเถาวัลย์หนามปีศาจเหมือนครั้งก่อนแม้แต่น้อย นางตอบโต้กับเถาวัลย์หนามปีศาจนี้อย่างสุดกำลังความสามารถที่มี
นางไม่กลัวเกรง!
.