มันฟังดูน่าเหลือเชื่อกับการที่จะเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยของสถานที่นั้นๆ หรือสร้างฮวงจุ้ยที่สุดยอดขึ้นมา สำหรับผู้ที่มีความรู้แบบเมี่ยวซานติงแล้ว การเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยถือเป็นเพียงเรื่องทางทฤษฎีมากกว่า เขาเคยนำทฤษฎีมาปฏิบัติจริงมาก่อน แต่มันเป็นการออกแบบฮวงจุ้ยหลุมศพคน ดังนั้น มันจึงต่างจากสถานการณ์ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณครับ” เมี่ยวซานติงพูด “ผมยังต้องคิดเรื่องที่ต้องทำต่อจากนี้อีกหลายอย่าง”
มันคุ้มค่าที่จะเป็นเพื่อนกับคนแบบเขา หวังเย้าคิด
เขามีมาตรฐานในการคบเพื่อน สิ่งแรกก็คือ คนคนนั้นต้องมีจิตใจที่ดี หวังเย้าไม่ชอบคนที่มีนิสัยหยาบคาย มันอาจจะฟังดูธรรมดา แต่มีคนไม่มากที่จะมีจิตใจที่ดีอยู่จริงๆ อย่างที่สอง คนคนนั้นต้องมีลักษณะที่โดดเด่นหรือน่าดึงดูด ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญกับการเลือกคบเพื่อน
หลังจากที่เมี่ยวซานติงกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ไปพบกับจงหลิวชวนที่กำลังฝึกวิชาที่หวังเย้าสอนเขาไป
“สวัสดีครับ หมอหวัง” จงหลิวชวนพูด
“สวัสดี หลิวชวน ฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เพิ่งเริ่มเองครับ” จงหลิวชวนพูด
การฝึกการหายใจได้เปลี่ยนวิธีการหายใจของเขาไป เขารู้สึกติดขัดในตอนเริ่ม แต่จากนั้น เขาก็ค่อยๆคุ้นชินกับมัน
“ไม่จำเป็นต้องรีบหรอกครับ และการรีบเร่งก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยด้วย” หวังเย้าพูด
พวกเขาคุยเรื่องการฝึกของจงหลิวชวนเพียงสั้นๆ เมื่อเห็นว่า การฝึกฝนของจงหลิวชวนไม่มีปัญหาอะไร หวังเย้าก็ขอตัวกลับ
จงหลิวชวนยังต้องเรียนรู้อีกมาก การฝึกฝนอย่างเข้มข้นในระยะสั้นสามารถช่วยได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เขาจำเป็นต้องฝึกฝนให้มาก การเร่งรีบไม่เป็นผลดีสำหรับเขาเลย
ด้านนอกเริ่มมืดลงแล้ว มีรถคันหนึ่งขับไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปด้านใน ชายในวัยสี่สิบคนหนึ่งลงมาจากตัวรถ เขามีรูปร่างสันทัดไม่ได้สูงมากนัก และดูคล้ายกับศิลปิน เขาค่อนข้างน่าดึงดูด
เขาจุดบุหรี่และยืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเงียบๆ เขามองเข้าไปด้านในในขณะที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ หลังจากที่สูบเสร็จแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างช้าๆ
ตัวถนนไม่ได้กว้างมากนัก หากรถสองคันจอดข้างกันก็สามารถปิดการจราจรได้เลย ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 เมตร
มีชาวบ้านบางคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างทาง พวกเขาบางคนกำลังสูบบุหรี่และบางส่วนก็กำลังคุยเล่นกัน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ คนที่อายะน้อยที่สุดในกลุ่มอยู่ที่ประมาณสี่สิบกว่าปี
เขามองไม่เห็นคนหนุ่มสาวตามถนนเลยแม้แต่คนเดียว เขาเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ พร้อมทั้งสังเกตสิ่งรอบตัวไปด้วย
“เป็นหมู่บ้านที่น่าสนใจจริงๆ” เขาพูด
เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้น เขาไม่ได้ลงจากรถ และทำเพียงมองเข้าไปด้านในหมู่บ้านเท่านั้น ความประทับใจแรกที่เขามีต่อหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ ความเงียบสงบ
ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีคนหนุ่มเลย เขาคิด
เขาเดินไปช้าๆ คล้ายกับว่ากำลังเดินกินลมชมวิว
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! อยู่ๆก็มีสุนัขบ้านตัวหนึ่งมายืนเห่าอยู่ตรงหน้าเขา
“ว่าไง เจ้าหมา” เขาพูด
โฮ่ง!
เขาส่งยิ้มพร้อมกับฟันที่ขาวสะอาดไปให้กับสุนัขตัวนั้น จากนั้น เขาก็โบกมือให้มันและเดินต่อไปยังทางทิศใต้
เมื่อเขาเดินไปเกือบถึงทางทิศใต้ของหมู่บ้านนั้น เขาก็พบเข้ากับชายหนุ่มวัยยี่สิบคนหนึ่ง ชายหนุ่มมีรูปร่างสันทัดและดูธรรมดา แต่เขาบอกได้เลยว่า ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิด
ชายหนุ่มที่ว่าก็คือ หวังเย้า ก่อนจะมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าหวังเย้าอาศัยอยู่ที่นี่ เขายังรู้อีกด้วยว่า หวังเย้าเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในระแวกนี้
เขายังเด็กอยู่มาก เขาคิด
ชายทั้งสองต่างมองหน้ากัน
มาอีกคนแล้ว? หวังเย้ายิ้มให้กับชายที่ส่งยิ้มกลับมาให้เขาและพูดว่า “สวัสดีครับคุณลุง คุณไม่ใช่คนที่นี่นี่นา”
“อะไรนะ?” ชายวัยกลางคนทำบุหรี่ร่วง “ลุงงั้นเหรอ? ฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”
“ฮาฮา ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด
“นายพูดถูก ฉันไม่ใช่คนแถวนี้หรอก” ชายวัยกลางคนหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากพื้น โดยใช้นิ้วคีบเอาไว้และเอามาสูบต่อ “ฉันไม่ควรให้มันเสียเปล่า นี่ของดีเลยนะ นายรู้ไหม”
“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันผ่านมาทางนี้พอดี ก็เลยอยากจะดูรอบๆหน่อยน่ะ” เขาพูด
“อ่อ” หวังเย้าพูดอย่างใจเย็น “ถ้าดูเสร็จแล้ว คุณก็ควรจะกลับเลยนะครับ คนแบบนี้ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับสำหรับที่นี่”
“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ?” เขาถาม
“กลิ่นบนตัวคุณออกจะต่างไปจากคนทั่วไป และแม้แต่กลิ่นบุหรี่ก็ไม่สามารถกลบมันได้” หวังเย้าพูดพร้อมทั้งชี้ไปที่ตัวของชายคนนั้น
“นายพูดว่ากลิ่นบนตัวฉันอย่างนั้นเหรอ?” เขาถามด้วยความแปลกใจ
“ผมเป็นแพทย์ปรุงยา ก็เลยค่อนข้างจะไวกลับเรื่องกลิ่นน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อ้อ เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้วล่ะ” เขาพูด
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินสวนกัน แล้วอยู่ๆร่างกายของเขาก็เกิดการสั่นไหว เขารู้สึกได้ถึงพลังฉีที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา
เขาไม่คิดว่า นี่เป็นแค่การคิดไปเอง เพราะมันเป็นร่างกายของเขาเอง เขาหยุดเดินและหันกลับไปมองหวังเย้าที่ไม่คิดสนใจจะหันกลับมามอง
“นายเป็นคนทำเหรอ?” เขาถาม
“คุณพูดเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าหยุดเดินและหันกลับไปถาม
“เมื่อกี้ นายส่งพลังฉีเข้ามาในร่างกายของฉัน” เขาพูด
เขาไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่กลับมีท่าทีจริงจังและตื่นตัวแทนที่ เขารู้สึกสงสัยว่า หวังเย้านั้นมีความสามารถอะไรถึงทำแบบนั้นได้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
“ผมว่า คุณควรไปได้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูดก่อนที่จะเดินจากไป
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและหยิบบุหรี่ออกมาอีกมวนหนึ่ง จากนั้น เขาก็เดินต่อไปยังทิศใต้ของหมู่บ้าน เขาเดินผ่านแม่น้ำและมาถึงยังมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน เขาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีบานประตูเหล็กสีเขียว บานประตูทั้งเก่าและสกปรก สีของมันได้หลุดลอกออกไปแล้วบางส่วน
ก๊อก! ก๊อก! เขาเคาะประตู
“ใครน่ะ?” คนที่อยู่ภายในบ้านส่งเสียงถามออกมา
“ฉันเอง” ชายวัยกลางคนพูด
จงหลิวชวนเดินมาเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ก้าวถอยไปสองสามก้าว นาทีต่อมา ในมือทั้งสองข้างของเขาก็มีกริชอยู่ข้างละเล่ม เขาจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่ยังคงยืนอยู่ด้านนอก ราวกับว่านี่คือศัตรูตัวร้ายของเขา
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้” ชายวัยกลางคนพูด “ฉันแค่ผ่านมาทางนี้ ก็เลยแวะมาเยี่ยมนายก็เท่านั้นเอง”
“นายมาทำอะไรที่นี่?” จงหลิวชวนถาม
“ไอ้วิปริตนั่นตายที่นี่เหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“ใช่” จงหลิวชวนพูด
“จริงเหรอเนี่ย? ถ้านายฆ่าเขาได้ นายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรฉันแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันก็แค่โชคดีเท่านั้น” จงหลิวชวนพูด
“โชคดีหรือว่ามีคนช่วยกันแน่?” ชายวัยกลางคนถาม
จงหลิวชวนไม่ได้ตอบคำถามของเขา และกำลังคิดอยู่ว่า เขาควรจะจู่โจมชายที่อยู่ตรงหน้าเขาดีหรือไม่
“วันนี้ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่านายหรอกนะ” ชายวัยกลางคนพูด “เก็บกริชของนายไปซะ ผู้ชายคนนั้นพูดถูก กลิ่นฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันสงสัยจริงๆว่าเขาคิดยังไงกับกลิ่นบนตัวนาย”
“กลิ่นเหรอ?” จงหลิวชวนถามด้วยความแปลกใจ
ไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของชายวัยกลางคน เขาได้บังเอิญเจอเข้ากับหวังเย้า ซึ่งได้ใช้พลังฉีตรวจสอบตัวเขา
“นี่ ไม่คิดจะเลี้ยงชาฉันสักหน่อยเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม “ฉันเป็นแขกนะ แล้วก็เดินทางมาตั้งไกลด้วย”
“โอเค รอเดี๋ยว” จงหลิวชวนเดินเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมกับน้ำชาหนึ่งกา “เชิญดื่มชา”
เขาระมัดระวังตัวอย่างมาก ชายวัยกลางคนมีประสบการณ์และร้ายกาจกว่าชายวิปริตคนนั้นมาก ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับเขา และเขาก็ไม่ได้ใจดีเหมือนอย่างที่แสดงให้เห็นอยู่ตอนนี้ด้วย
“อืมมม ชาดี” หลังจากที่จิบชาไปหนึ่งอึก เขาก็พูดออกมา เขาดื่มจนหมดถ้วยและเทเพิ่มให้ตัวเองอีก “เรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”
“มีอะไรให้คุยกัน?” จงหลิวชวนถาม
“หมู่บ้านที่นายอยู่ดูเงียบสงบดีนะ” ชายวัยกลางคนพูด “นายหาที่อยู่แบบนี้ได้ยังไงเหรอ?”
“บังเอิญน่ะ” จงหลิวชวนพูด
“ที่นี่ยังมีบ้านหลังไหนที่ประกาศขายอีกไหม?” ชายวัยกลางคนถาม
“นายถามทำไม?” จงหลิวชวนถามด้วยความแปลกใจ
“ฉันอยากจะซื้อบ้านที่นี่เอาไว้สักหลัง ฉันยังอยากจะปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านดีดีแบบนี้ แล้วก็เป็นเพื่อนบ้านกับนายด้วย” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมยิ้มกริ่ม
“มีบ้านอยู่หลายหลังที่ประกาศขายอยู่” จงหลิวชวนตอบ “บ้านข้างๆก็กำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเดือนหน้า”
“จริงเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“จริงสิ” จงหลิวชวนพูด
“ฉันจะลองคิดดู” ชายวัยกลางคนพูด “บ้านพวกเขาขายที่เท่าไหร่เหรอ?”
“ราคา 80,000 หยวน มีสี่ห้องนอนพร้อมลานบ้าน” จงหลิวชวนพูด
“นั่นมันถูกมาก!” ชายวัยกลางคนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาพูดคุยกันราวกับเป็นเพื่อนเก่า ไม่นาน ชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนเรื่องพูด “นายรู้อะไรมา ถึงทำให้คนพวกนั้นร้อนรนแบบนี้?”
“นายจะเชื่อฉันไหม ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่รู้?” จงหลิวชวนพูด
“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ?” ชายวัยกลางคนถาม
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ” จงหลิวชวนพูดด้วยรอยยิ้มขื่น
“นายก็รู้นี่ ว่าจุดที่ฉันอยู่มันค่อนข้างซับซ้อน” ชายวัยกลางคนจุดบุหรี่ “นายก็รู้เรื่องกฎของบริษัทดี โดยเฉพาะในตอนที่พวกเขารับนายเข้าเป็นพนักงานเหมือนกับพวกเราแล้ว ถึงเราจะลาออก แต่ถ้าบริษัทต้องการ พวกเราก็ต้องให้ความร่วมมืออยู่ดี”