ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 35 ความลับจิ้งจอกม่วง (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

แม้ว่าก่อนหน้านี้ถิงหนูพูดมาตลอดว่าจิ้งจอกม่วงไม่ทำร้ายคน หากยังเลี้ยงคนพวกนี้ไว้ที่สวนอี๋ซินอย่างดี แต่ความจริงพอได้เห็นสภาพด้านในแล้ว ทุกคนยังคงต้องตกตะลึง

 

“เอ๋ ที่นี่…” จงหมิ่นเหยียนเห็นแปลงผักเป็นระเบียบทิวแถวในสวน เหมือนยังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง สำนักเส้าหยางเองก็มีแปลงผัก มีศิษย์รับหน้าที่เพาะปลูกเก็บผลผลิตเฉพาะ แต่ความคิดคนทั่วไป ปีศาจไม่ต้องปลูกผัก รังปีศาจควรมีแต่กลิ่นอายปีศาจ กองกระดูกกองเลือด…อะไรพวกนั้นนี่

 

แปลงผักเรียบร้อยเป็นระเบียบเบื้องหน้า บ้านเรือนเรียงเป็นระเบียบ กำแพงสะอาดสอ้าน ภาพที่เห็นละมุนละไม ทำให้คนรู้สึกได้ถึงชีวิตชาวนาที่สงบเงียบ เรียบง่ายและมีความสุข

 

ทุกคนเดินวนรอบบ้านเรือน ต่างพากันอึ้งไป หรูอี้มองไปยังแสงตะเกียงที่ยังสว่างอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ยกมือเคาะเบาๆ ไปสองที ไม่นานก็มีชายหนุ่มหน้าตาสะอาดหมดจดออกมาคนหนึ่ง เงยหน้ามองดูนอกประตูมีคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง ทุกคนอยู่ในชุดแต่งงานสีแดง กำลังจ้องมองเขาเขม็ง ถึงกับอดตะลึงงันไม่ได้

 

หรูอี้กระแอมไอในลำคอ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พี่ชายท่านนี้ พวกข้า…”

 

“เหอะๆ ผู้ปรนนิบัติรับใช้มาใหม่กระมัง” คนผู้นั้นหัวเราะเล็กน้อย ท่าทางสลัดทิ้งทางโลก มีลักษณะเช่นผู้บำเพ็ญเซียน มองพวกจงหมิ่นเหยียน เห็นสภาพทุลักทุเลของพวกเขา สีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย คิดว่าคนใหม่ไม่ชิน ดังนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เซียนหญิงนุ่มนวลอ่อนโยน ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือนั่นมีบ้านใหม่อยู่บ้าง พวกเจ้าไปอยู่ได้ พรุ่งนี้เช้าเซียนหญิงก็คงมา”

 

ทุกคนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ พากันอึ้งไป ดูท่าแล้ว เรื่องนี้เหมือนดังที่ถิงหนูว่าไว้จริง…

 

อวี่ซือเฟิ่งประสานมือกล่าวว่า “พี่ชาย พวกข้าเพิ่งขึ้นเขามา ไม่รู้ธรรมเนียมอันใด โปรดชี้แนะด้วย”

 

คนผู้นั้นพยักหน้ากล่าวว่า “คนอยู่ที่นี่ ก็ล้วนมีวาสนาเซียนที่เซียนหญิงได้คัดเลือกแล้ว วันหน้าทุกวันก็ต้องฟังเซียนหญิงสอนวิธีฝึกลมปราณการหายใจ ไม่มีธรรมเนียมอื่นใด เพียงแค่หว่านดำในฤดูใบไม้ผลิ เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ได้มีคนดูแลเหมือนอยู่บ้าน เรียบง่ายสักหน่อย แต่ก็เป็นแนวทางวิถีแห่งเซียน”

 

จงหมิ่นเหยียนอดไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “จิ้งจอกนั่น…เซียนหญิงไม่ได้ทำอันใดพวกเจ้า? นางไม่ได้ดูดพลังหยางเสริมพลังหยินอะไรพวกนั้น…จะกลายเป็นเซียนได้อย่างไร!”

 

คนผู้นั้นได้ยินก็โมโห กล่าวว่า “เซียนหญิงเป็นผู้สำเร็จเซียน ไยกล่าววาจาดูหมิ่นเหลวไหล! พวกเจ้าหากไร้ความจริงใจ ก็รีบลงเขาไปแต่เนิ่นๆ เลย!”

 

หรูอี้รีบยิ้มกล่าวว่า “พี่ชายอย่าได้โมโห น้องชายข้าผู้นี้พูดจาไม่เป็น ข้าขอโทษแทนเขาด้วย”

 

คนผู้นั้นจึงได้คลายสีหน้าลง กล่าวว่า “ตอนนี้มืดค่ำแล้ว ทุกท่านไปพักผ่อนกันก่อนเถิด มีข้อสงสัยอันใด พรุ่งนี้เช้ารอให้ทุกคนพร้อมหน้าค่อยถาม”

 

ทุกคนเห็นเช่นนี้ ในใจก็รู้ว่าเป็นดังที่ถิงหนูว่ามา พากันมองไปยังจิ้งจอกม่วงในอ้อมกอดเขา คิดไม่ถึงว่านางเป็นปีศาจดี เป็นมารปีศาจจิ้งจอกที่ขี้ขลาดและชอบโอ้อวดความสามารถทับถมผู้อื่น

 

อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ ที่นี่มีบ้านเรือนสิบกว่าหลัง คิดว่ามีคนถูกนางพาขึ้นเขามาไม่น้อยจริงๆ เขาจึงกล่าวว่า “พี่ชาย หากคิดถึงบ้าน เซียนหญิงปล่อยกลับไปไหม”

 

คนผู้นั้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ถลึงตาใส่ “ไม่คิดบำเพ็ญเซียน พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน! ในเมื่อบำเพ็ญเซียนก็ต้องสลัดความคิดทางโลกให้หมดสิ้น จริงๆ เลย ปีนี้ทำไมมีคนขี้เกียจกลุ่มนี้มาได้! เอาเถอะๆ พวกเจ้าไปได้แล้ว!”

 

กล่าวจบเขาก็คิดปิดประตู อวี่ซือเฟิ่งดึงไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “ตอบข้าก่อน กลับได้ไหม”

 

คนผู้นั้นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการกลับ เซียนหญิงจะขอร้องให้เจ้าอยู่หรือ! อย่างไรข้าก็ไม่เคยพบคนที่ล้มเหลวกลางทางมาก่อน หากพวกเจ้าคิดกลับบ้านก็กลับได้ ไม่มีคนรั้งไว้!”

 

เขาปิดประตูดังปัง ได้ยินเสียงสบถด่าแว่วมา ทำเอาทุกคนนอกประตูมองหน้ากันไปมา หรูอี้นิ่งเงียบเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “คนพวกนี้ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญเซียน ล้วนไม่คิดกลับ แต่ปัญหาคือยังมีมารปีศาจอื่นขึ้นเขามาก่อเรื่อง ทิ้งไว้บนเขานี้ย่อมอันตรายยิ่ง”

 

หากบังคับพวกเขาลงเขา เกรงว่าเปลืองแรงไม่น้อย ชาวเมืองจงหลียังอาจโกรธแค้นพวกเขา ไม่แน่ว่าแม้แต่สำนักตนเองก็พลอยโดนโกรธแค้นไปด้วย ต้องเกลี้ยกล่อมให้ดี คนพวกนี้ดื้อดึงเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าอาจจะเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผล

 

กำลังลำบากใจอยู่นั่นเอง ถิงหนูกลับกล่าวว่า “เช่นนี้ ก็มีแต่ล่อให้พวกเขาลงเขาเองแล้ว”

 

ทุกคนกำลังคิดถามเขาว่าล่อพวกเขาลงเขาอย่างไร ก็เห็นถิงหนูเข็นรถเข็นไปเคาะประตูอีก คนผู้นั้นโมโหจัดเดินออกมากระชากประตูออก กล่าวดุดันว่า “มีอะไรอีก?!”

 

กล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกถิงหนูพ่นลมใส่หน้าเบาๆ คนผู้นั้นอึ้งไปทันที ตามมาด้วยท่าทางที่เริ่มเหมือนเหม่อลอย ยืนไม่ขยับ

 

จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าทำอันใดเขา”

 

ถิงหนูส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “อย่าเอะอะ ไม่ได้ทำร้ายเขา”

 

เขาตบมือใส่หน้าคนผู้นั้นทีหนึ่ง สั่งว่า “ที่นี่มีคนเท่าไร พามาที่นี่ให้หมด”

 

คนผู้นั้นรับคำท่าทางแข็งทื่อ หันหลังเดินออกไป

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำทุกคนตื่นมา ใช่ว่าเป็นเรื่องวุ่นวายยิ่งขึ้นหรือ”

 

ถิงหนูเพียงส่ายหน้ายิ้ม ไม่นาน คนผู้นั้นก็พาคนทั้งหมดในบ้านหลังคากระเบื้องสีครามออกมากันหมด ล้วนอยู่ในชุดตัวกลางพร้อมเข้านอน ดวงตาปิดราวกับยังไม่ตื่น เดินโงนเงนไปมา ไม่ส่งเสียง มาหยุดหน้าถิงหนู

 

ถิงหนูสั่งเสวียนจีที่มองตาค้างอยู่ว่า “รบกวนเจ้า เข้าไปในห้องเอาเสื้อตัวนอกของคนพวกนี้มาสวมให้พวกเขา กลางคืนน้ำค้างหนา อาจเป็นหวัดได้”

 

เสวียนจีรีบรับคำทันที ผ่านไปครู่หนี่งก็หอบเอาเสื้อผ้าออกมาหอบใหญ่ พวกอวี่ซือเฟิ่งช่วยคลุมเสื้อให้พวกเขาทีละคน ในที่สุดก็เรียบร้อย ถิงหนูยกมือดึงผมออกมาเส้นหนึ่ง สะบัดเบาๆ กระทบสายลมกลายเป็นแส้เล็กเส้นดำ สะบัดใส่พื้นเบาๆ ถึงกับไม่มีเสียงใด

 

ทุกคนเห็นคนเหล่านี้เดินไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อดพากันแปลกใจไม่ได้ แส้ถิงหนูสะบัดฟาดพื้นไปซ้ายทีขวาที คนเหล่านั้นเดินไปตามจังหวะแส้สะบัด ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ช้าก็มาถึงเนินเขา เดินเข้าสู่ป่า

 

เสวียนจีรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างราวกับความฝัน พึมพำกล่าวว่า “ถิงหนู…เจ้าทำให้พวกเขาเดินไปได้อย่างไร…”

 

ถิงหนูเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ นิ่งเงียบก่อนกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินเรื่องแส้ไล่วิญญาณ ไล่ต้อนภูตผีและซากศพได้ แต่ไม่เคยเห็นว่าไล่ต้อนผู้คนได้”

 

ในที่สุดถิงหนูจึงค่อยๆ กล่าวว่า “ใต้หล้ากว้างใหญ่ หกภพภูมิวัฏฏะสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยเห็นไม่รู้มีมากมายเท่าไร นี่ไม่ใช่แส้ไล่วิญญาณ แต่มาจากคนคิดสร้างคนเดียวกัน เรียกว่าแส้ไล่ความฝัน ไล่ต้อนคนที่นอนหลับได้”

 

กล่าวจบ เขาก็แอบมองอวี่ซือเฟิ่งอย่างชื่นชม ยิ้มกล่าวว่า “แต่เจ้าอายุยังน้อย กลับมีความรู้กว้าง ผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนบำเพ็ญมาหลายสิบปี ยังไม่รู้เรื่องแส้ไล่วิญญาณพวกนี้เลย”

 

ผู้อื่นได้ฟังว่ามีคนชมอวี่ซือเฟิ่งยังดี มีเพียงจงหมิ่นเหยียนกับเสวียนจีที่ดีใจราวกับเขาชมตนเอง พากันพยักหน้าหงึกหงัก กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่สิ! ซือเฟิ่งรู้อะไรตั้งมากมาย!”

 

หรูอี้เห็นเงาร่างคนเหล่านั้นค่อยๆ เคลื่อนลับไปในป่า อดถามไม่ได้ว่า “เช่นนี้จะไล่ต้อนพวกเขาไปที่ใดกันหรือ”

 

“ลงจากหลังเขาไปเป็นทะเลสาบหงเจ๋อ ข้ามแม่น้ำไปน่าจะกลับถึงเมืองจงหลีได้ พวกเราก็ตามไปข้างหลัง อย่าให้พวกเขารู้ตัว ไม่เช่นนั้นตื่นมา ก็จะวุ่นวายกันอีก”

 

ทุกคนได้เห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้ ไหนเลยจะถามมากความ ยามนั้นจึงเดินตามไปข้างหลัง ลงเขาไปด้วยกัน

 

เดินไปในป่าได้ครู่หนึ่ง เสวียนจีก็ยิ่งรู้สึกว่ามืดลงเรื่อยๆ เงยหน้ามองไปเห็นแสงจันทร์ถูกเมฆดำบดบัง ในป่าลมพัดหอบเอากลิ่นดินอับชื้นมาด้วย

 

“ฝนจะตกแล้ว” ถิงหนูหยุดสะบัดแส้ “ข้านำคนพวกนี้ไปหาที่หลบฝนก่อน พวกเจ้าลงเขาไปก่อนเถิด”

 

“แล้วเจ้าล่ะ?” เสวียนจีรู้สึกตัดใจไม่ลง ถิงหนูทั้งอ่อนโยนทั้งจิตใจดี นางยังไม่คิดแยกจากกัน

 

ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย “ฝนหยุดแล้วข้าก็ลงไปเอง วางใจ ข้าไม่หลงทางหรอก รอพวกข้าที่ท่าข้ามฟากก็พอ”

 

กล่าวจบก็มีเม็ดฝนเท่าเมล็ดถั่วตกลงมา ไม่นานก็เริ่มเสียงดังโครมคราม ฝนบนภูเขาในหน้าหนาว เย็นเยียบเสียดแทงถึงกระดูก ยังมีลูกเห็บปะปนมาด้วย พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน นับประสาอันใดกับคนธรรมดาพวกนี้

 

ยามนั้นทุกคนได้แต่รีบสั่งความกันสองสามคำก่อนจะเหินกระบี่ลงเขาไป

 

ถิงหนูอุ้มจิ้งจอกม่วงไว้ หันหลังไปไล่ต้อนคนเหล่านี้ไปหลบในถ้ำกลางเขา ตนเองไปนั่งเงียบๆ อยู่ปากถ้ำ มองไปยังหยดน้ำที่กระทบหินผา

 

“เจ้าตื่นนานแล้ว ทำไมไม่ยอมพูด” เป็นนานกว่าที่เขาจะเอ่ยขึ้น

 

จิ้งจอกในอ้อมกอดขยับตัวลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถิงหนูยิ้มกล่าวว่า “พวกเขาไปกันแล้ว ไม่ต้องกลัว”

 

จิ้งจอกม่วงหายเกร็งทันที ดวงตามีน้ำตาคลอพลางเลียอุ้งเท้าที่มีรอยเผาไหม้เกรียม ร่ำไห้กล่าวว่า “เด็กหญิงนั่นเป็นใครมาจากไหนกัน ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อน”

 

ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่อาจบอก เป็นสิ่งต้องห้าม นับประสาอันใดกับเจ้าเองก็ควรได้รับทุกข์ทรมานนี้บ้าง ยกระดับพลังวัตรไยต้องดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน ตอนไม่มีร่างมนุษย์ยังยอมมุ่งมั่นพยายาม เหตุใดพอบรรลุตบะกลับมาขี้เกียจได้”

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวน้ำตาคลอเบ้า “แต่กว่าจะมีข่าวคราวเขาก็ไม่ได้ง่ายเลย ข้า…ข้าร้อนใจ”

 

ถิงหนูเงียบงันเป็นนาน ถอนหายใจยาวกระซิบว่า “มีเพียงแต่ต้องรอ…อายุมารปีศาจยาวเท่าไร เจ้าก็รอไปยาวนานเท่านั้นก็แล้วกัน…คงมีสักวันที่จะช่วยเขาออกมาได้”

 

จิ้งจอกม่วงซบหัวลงกับฝ่ามือเขา น้ำตาไหลนองไม่หยุด

 

“เขา…เขาก็เคยพูดกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน”

 

“พวกเจ้าคนแก่คร่ำครึ ไม่รู้จักอ่อนโยนเอาใจ เย็นชาจะตาย…” นางพึมพำกล่าว แต่น้ำเสียงไม่ได้มีมีความไม่พอใจอันใดแม้แต่น้อย