ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 36 ความลับจิ้งจอกม่วง (5)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

น้ำฝนและลูกเห็บตกกระทบปากถ้ำเสียงดังเปาะแปะกระจ่างดัง ชุดท่อนล่างบนตัวถิงหนูเปียกนานแล้ว เผยให้เห็นหางปลาที่ราวกับผ้าแพรขาว เขานิ่งเงียบมองออกไปยังความมืดด้านนอก ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่

 

จิ้งจอกในอ้อมกอดไม่รู้คิดอันใดเช่นกัน หนวดกระดิกปัดป่ายไปมากลางฝ่ามือ รู้สึกทั้งคันทั้งจักจี้

 

ยังร้องไห้หรือ มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มสงสาร

 

นางกลับค่อยๆ ร้องเพลงขึ้นเบาๆ “นกน้อยอยู่เขาทักษิณ กลับไปวางแหทางอุดร…”

 

เสียงเพลงนั้นดูสดชื่นรื่นรมย์ หากก็แฝงความเศร้าอยู่เล็กน้อย ถิงหนูหัวเราะฝืดเฝื่อน “เอาอีกแล้ว นิทานเรื่องนี้ข้าฟังมาหลายรอบแล้ว จิ้งจอกม่วง”

 

นางไม่สนใจ ยังคงร้องต่อ “นกน้อยอยู่เขาทักษิณ กลับไปวางแหทางอุดรนกบินสูง แหทำเยี่ยงไร!ชะตาไม่กำหนด เคราะห์กรรมเป็นเช่นไร”

 

ท่วงทำนองเศร้าโศก น้ำเสียงทุ้มต่ำ ไม่ตรงท่วงทำนอง ตอนแรกถิงหนูก็ยิ้ม แต่ต่อมาสีหน้าพลันนิ่งลง สองตาจ้องมองออกไปยังค่ำคืนฝนตกด้านนอก ไม่พูดอันใดอีก

 

จิ้งจอกม่วงถอนหายใจ กล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “หากไม่ได้ถูกจับเมื่อพันปีก่อน วันนี้ไยข้าต้องทุกข์ทนเช่นนี้ มักกล่าวว่าต้องบำเพ็ญเส้นทางสายตรงเพื่อผลแท้จริง ผลแท้จริงกลับไม่ได้มา คิดว่าพวกนั้นคงเป็นแค่เรื่องหลอกลวงกระมัง”

 

ถิงหนูกล่าวเบาๆ ว่า “ใช่ว่าเขาจะจำเจ้าได้ ไยเจ้ายังคิดถึง”

 

จิ้งจอกม่วงกระดิกหูแกว่งหางไปมาราวออดอ้อน ว่า “ข้าเป็นจิ้งจอกงดงามเพียงนี้ เขาจะลืมได้อย่างไร”

 

ถิงหนูได้แต่ยิ้ม

 

จิ้งจอกม่วงเหยียดตัวขึ้น อุ้งเท้าเหยียบบนฝ่ามือเขา ออดอ้อนถามว่า “ถิงหนู ถิงหนูคนดี เจ้าบอกข้าหน่อย เขาถูกขังที่ไหนกัน ได้ไหม เห็นแก่ข้าที่บาดเจ็บ”

 

เขาส่ายหน้าเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าไม่รู้ รู้ก็ไม่บอกปีศาจเช่นพวกเจ้าหรอก ไปที่นั่นมีแต่ไปตายเท่านั้น”

 

จิ้งจอกม่วงร้อนใจ กระโดดตัวลอยขึ้น เสียงดังว่า “เจ้าไม่ให้ข้าดูดพลังหยางเสริมพลังหยินเสริมพลังวัตร แล้วยังไม่บอกข้าว่าเขาอยู่ที่ใด จงใจทำให้ข้าร้อนใจใช่ไหม?! เจ้าเห็นคนเขาเป็นทุกข์แล้วดีใจใช่ไหม”

 

ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าไม่อยากทำเจ้าร้อนใจ เพราะเจ้าร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ นั่นเป็นด่านเคราะห์เขาเอง ตอนนั้น…เขาต้องการอยู่ต่อเอง เขามีความคิดของเขา ผู้ใดก็ไม่อาจฝืนใจ”

 

“เช่นนั้น ข้าก็มีความคิดข้าเอง! ความคิดข้าก็ฝืนได้ตามใจอย่างนั้นหรือ?!” จิ้งจอกม่วงยังคงร้องโวยวาย “ข้าจะช่วยเขา! ต้องการให้เขารับน้ำใจข้า!”

 

เขาได้แต่ส่ายหน้า จิ้งจอกม่วงส่งเสียงโวยวายเป็นนาน ในที่สุดก็เหนื่อย ปีนขึ้นหน้าขาเขา ทั้งสองต่างไร้วาจาจะกล่าว

 

“แม่นางน้อยผู้นั้น…” จิ้งจอกม่วงพลันกระซิบกระซาบ “ไม่ใช่คนธรรมดากระมัง”

 

ถิงหนูอึ้งไป พยักหน้าอย่างลังเล

 

“เป็นดาวอสุราใดกลับชาติมาเกิด? แต่ไรมาข้าไม่เคยเจอมนุษย์น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน” นางยังคงเสียดายขนและอุ้งเท้างดงามของตนที่ถูกเผาเสียดำเมี่ยม

 

รออยู่เป็นนาน เขาแสร้งทำเป็นใบ้ จิ้งจอกม่วงรู้สึกอึดอัด ถอนใจกล่าวว่า “แม้ไม่ยอมบอก อย่างไรเจ้าก็ควรไว้หน้ารับคำสักหน่อยก็ยังดี”

 

ถิงหนูกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้”

 

จิ้งจอกม่วงตะลึงไปครู่หนึ่ง ได้ยินเขากล่าวว่า “แต่ไรมาข้าเองก็ไม่รู้ แท้จริงนางคือผู้ใด เทพเซียนหรือว่าภูตผีมารปีศาจหรือว่าอสุรา…เพราะนางไม่เคยบอกข้าแม้สักครั้งเดียว”

 

อะไรกัน ทำลึกลับซับซ้อน จิ้งจอกม่วงหมดความสนใจ หาวหวอดในอ้อมกอดเขา พึมพำกล่าวว่า “พวกเจ้านี่นะ…มีความลับหน่อยก็ทำเป็นหยิ่ง น่ารังเกียจที่สุด…”

 

ถิงหนูได้แต่ยิ้มเฝื่อน มีความลับหน่อย ไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องลึกลับ แต่เพราะมีคนไม่ยอมพูด นานวันเข้า ก็กลายเป็นความลับอย่างแท้จริง

 

ฝนด้านหน้าไม่มีท่าทีว่าจะซาลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งตกยิ่งหนัก ลูกเห็บยิ่งตกก็ยิ่งก้อนใหญ่ เมื่อครู่ตกลงมาเท่าลูกไข่ไก่ หากไม่ใช่ถิงหนูหลบไว เกรงแต่ว่าหัวจิ้งจอกม่วงคงถูกกระแทกปูดเป็นก้อนโตแล้ว

 

“ไม่รู้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ลงเขาปลอดภัยแล้วหรือไม่” ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ได้เจอกับปีศาจที่ไม่ควรเจอพวกนั้นอีกไหม

 

“เจ้าคิดมากไปทำไมกัน พวกเขาเป็นคนนะ! ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ไยต้องห่วงใย แม้ว่าแม่นางน้อยนั่นชาติก่อนเคยมีพันธะสัญญาใดกับเจ้า แต่ชาตินี้นางลืมสิ้นแล้ว ดังนั้นก็เท่ากับเป็นคนแปลกหน้า เจ้าไปกังวลใจแทนทำไมกัน!”

 

แต่ไรมาจิ้งจอกม่วงก็ภาคภูมิใจในความเป็นปีศาจของตน ดูแคลนมนุษย์ธรรมดา

 

วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้…ถิงหนูจับจ้องท้องฟ้าในค่ำคืนมืดมิด ในใจมีความรู้สึกเหมือนเป็นลางไม่ดี

 

“ข้าง่วงแล้ว นอนสักงีบ เจ้าอยากมองก็มองไปแล้วกัน” จิ้งจอกม่วงหาวอีกรอบ ซุกหัวเข้ากับอ้อมอกเขา ผิวกายเงือกเย็นเยียบ ดูท่าใกล้จะหลับแล้ว

 

พลันเชิงเขามีเสียงราวประทัดดังแว่วมา ผสานมากับเสียงม่านฝนตกหนัก ทำให้ได้ยินไม่ชัดเท่าไร ถิงหนูตกใจชะโงกหน้าออกไปดู เห็นเพียงควันสีแดงสายหนึ่งลอยขึ้น ก่อนจะระเบิดออก ลากเป็นสายทางสีแดงยาว ค่อยๆ ร่วงจากท้องฟ้าราวกับเลือดสด

 

“นั่นคือพลุสัญญาณ!” จิ้งจอกม่วงถูกปลุกตื่น หูกระดิก ส่งเสียงตะโกนดัง

 

พวกเสวียนจีประสบอันตรายแล้วดังคาด! ถิงหนูโยนนางลงพื้น เข็นเก้าอี้จะออกไป หันมากล่าวว่า “ข้าไปดูหน่อย เจ้าอยู่ดูแลคนพวกนี้ที่นี่”

 

จิ้งจอกม่วงพยายามกัดเสื้อเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้ามีความสามารถอันใด ไปก็เท่ากับไปตาย! ย่อมเป็นปีศาจที่อื่นมาทำลายโซ่หมุดทะเล ปล่อยให้พวกเขาทำลายไปเถอะ! ข้าอยากให้เป็นเช่นนั้นจะแย่!”

 

ถิงหนูขมวดคิ้วกล่าวว่า “แม้โซ่หมุดถูกทำลาย เขาก็ออกมาไม่ได้ นับประสาอันใดกับปีศาจพวกนั้นที่ปากบอกว่าช่วยเขา แต่แท้จริงต้องการใช้พลังมารในตัวเขา! หากเจ้าห่วงใยเขาด้วยใจจริง ก็อย่าได้รั้งข้าไว้!”

 

จิ้งจอกม่วงอึ้งไป ค่อยๆ อ้าปากปล่อยเสื้อเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าอย่าไป!…ไม่เช่นนั้น ข้าไปกับเจ้า!”

 

“เจ้าอยู่ดูแลมนุษย์พวกนี้ที่นี่ อย่าให้ตนอื่นมาพบพวกเขา”

 

ถิงหนูผลักอุ้งเท้านางออก เข็นรถเข็นออกจากปากถ้ำไปอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกม่วงร้อนใจส่งเสียงครางหงิงๆ ไม่หยุด วิ่งฝ่าฝนตกหนักออกไป โดดไปบนขาเขาตะโกนว่า “เซียนหญิงให้พวกเขาฝึกฝน พวกเขาก็ย่อมต้องเชื่อฟัง! ให้พวกเขานิ่งรอเช่นนี้ก่อน! ข้าไปกับเจ้า!”

 

ถิงหนูได้แต่ถอนหายใจ “เอาเถอะ เจ้าคลายมนต์สะกดบนร่างคนพวกนั้นก่อน สั่งให้พวกเขากลับบ้านตนเองไป”

 

จิ้งจอกม่วงได้แต่รีบร้อนวิ่งกลับไป ตีลังกากับพื้นจากนั้นปล่อยพลังวัตร หมอกสีม่วงค่อยๆ กลายเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง นางยัดร่างจริงเข้าในแขนเสื้อ ก่อนจะคลายมนต์สะกดคนเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจกระจ่างก็ไม่สนใจ สั่งการให้พวกเขากลับบ้านกันไปก่อน อีกสามเดือนค่อยขึ้นเขามาบำเพ็ญเซียนใหม่

 

กล่าวจบนางก็วิ่งออกไป กลายร่างเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ปีนไปนั่งบนขาถิงหนู รีบเร่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

 

ตอนทั้งสองเร่งมาถึงริมทะเลสาบหงเจ๋อ รอบๆ ไร้ผู้คน ถิงหนูค้นหาริมฝั่งโดยรอบรอบหนึ่ง พบแต่พู่สมปรารถนาคล้องกับหยกเขียววงหนึ่ง นั่นเป็นเครื่องประดับประจำตัวจงหมิ่นเหยียน

 

“พวกเขาปะทะกับปีศาจพวกนั้นจริงด้วย!” สีหน้าถิงหนูซีดขาว ก็ไม่รู้ว่าหนาวหรือว่าเพราะตื่นตกใจ

 

จิ้งจอกม่วงตัวเปียกปอน พยายามสะบัดตัวสุดแรง กล่าวว่า “ทำไมเจ้าต้องสนใจมนุษย์ธรรมดาพวกนั้นด้วย จะเป็นหรือตายเกี่ยวอันใดกับเจ้าและข้ากัน!”

 

ถิงหนูราวกับไม่ได้ยินวาจานาง เอาแต่จ้องมองทะเลสาบหงเจ๋อท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด พึมพำกล่าวว่า “เกรงว่าคงตกลงไปในน้ำ…ดีที่สุดอย่าได้ถูกปีศาจพวกนั้นจับได้”

 

วาจาเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของจิ้งจอกม่วง “ระวัง!”

 

นางกระโดดเร็วปานสายฟ้าอ้าปากงับสิ่งที่ซัดมา ก่อนจะโดดลงสู่พื้น รู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย นางพ่นออกมา เป็นอาวุธซัดดาวกระจายเหล็ก

 

“ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้! นี่คือเขาเกาซื่อซาน พื้นที่ข้า ผู้ใดมีตาไร้แววมาเหิมเกริมที่นี่ได้?!”

 

จิ้งจอกม่วงคำรามโมโหจัด ยังพอมีท่าทางเจ้าแห่งเขานี่อยู่บ้าง

 

พลันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากในป่า ตามมาด้วยเสียงท่องมนตร์ราวหมอกดำปกคลุม แสงเขียววาบทะยานขึ้นฟ้า

 

ถิงหนูสีหน้าแปรเปลี่ยน ร้อนใจกล่าวว่า “พวกเขาพานกปี้ฟางขาเดียวมาด้วย! หนีเร็ว!”

 

จิ้งจอกม่วงยังคงไม่เข้าใจ หันกลับไปมอง เห็นเพียงในป่ามีเงาดำทะมึนพลันบิดเบี้ยว ราวกับมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง อ้าปากทีเดียวกวาดเรียบสองข้างทาง ไฟประหลาดสีฟ้าอมเขียวค่อยๆ หลอมละลายพวกมัน ราวกับแค่เพียงพริบตาไฟประหลาดนั้นก็ลามเลียมาอยู่ตรงหน้า

 

จิ้งจอกม่วงรู้สึกหนาวเหน็บถึงกระดูก ในที่สุดก็คิดถึงสิ่งที่เรียกว่านกปี้ฟางขาเดียวขึ้นมาได้ว่าคือสิ่งใดแล้ว มันเป็นมารปีศาจนกที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ สามารถใช้ไฟประหลาดแผดเผาป่า ทำให้ต้นไม้ไม่อาจเติบโตได้อีกแม้เพียงนิ้ว

 

ถิงหนูรวบนางด้วยมือเดียวพุ่งตัวไปด้านหน้า ตีลังกาข้ามไฟประหลาดที่ลามมาราวม่านเขียวสูงนั้นไป เสียง จ๋อม ดังขึ้น เขาโดดลงทะเลสาบหงเจ๋อ ฟองน้ำแตกกระเซ็น พริบตาก็หายไปไร้เงา