ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 37 โจมตี

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตอนทุกคนมาถึงเชิงเขา ฝนก็ตกหนักแล้ว ลูกเห็บขนาดเท่าไข่ไก่ตกใส่ตัว แม้พวกเขาไม่บาดเจ็บเพราะเป็นผู้บำเพ็ญเซียน แต่ก็รู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟันทน นับประสาอันใดกับริมทะเลสาบกว้างใหญ่ หาที่หลบไม่ได้ ได้แต่ขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ ยืดคอชะเง้อมองว่ามีคนข้ามฟากบ้างไหม

 

“เป็นอย่างไร มีคนมาไหม” จงหมิ่นเหยียนถูกลูกเห็บตกใส่สิบกว่าลูกได้ หน้าผากเริ่มโนหลายลูก ร้อนใจจนนั่งไม่เป็นสุข

 

หรูอี้มองอยู่ครู่หนึ่ง ทอดถอนใจส่ายหน้า “ไม่มี คิดว่าดึกแล้ว ยังฝนตกลมแรง คนข้ามฟากก็ย่อมไม่ออกมาแน่”

 

จงหมิ่นเหยียนสบถด่าเบาๆ สองคำ ยิ่งนั่งไม่ติดแล้ว

 

อวี่ซือเฟิ่งมองฟ้า กล่าวว่า “ฝนตกครานี้ เกรงว่าวันสองวันนี้คงไม่หยุด พวกเรามัวแต่รออยู่ที่นี่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้แยกกันหา สองคนอยู่ที่นี่รอถิงหนู อีกสองไปหาว่ามีคนเรืออื่นไหม แวะถามหาหลิงหลงด้วย”

 

ในใจจงหมิ่นเหยียนร้อนใจเรื่องหลิงหลงอย่างมาก แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ตนเองก็กระโดดออกมา “ข้าไป! ข้าไปหาหลิงหลงกับคนเรือ!”

 

กล่าวจบเกรงว่าอวี่ซือเฟิ่งจะหาเหตุผลใดมาปฏิเสธเขา หันหลังวิ่งไปทันที หรูอี้ตามเขามาด้านหลัง เดินไปได้สองก้าว พลันหันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดี”

 

อยู่ๆ เขากล่าวไร้ที่มาที่ไปเช่นนี้ออกมา ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป ได้แต่พยักหน้า

 

“ไม่รู้หลิงหลงกำลังตากฝนอยู่หรือไม่…” เสวียนจีย่อตัวลงนั่งยองราวกับสุนัขตัวน้อยที่ไร้สิ้นหนทาง มองฝ่าไปยังม่านฝนที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้านิ่งเงียบ “นางเกลียดฝนตกที่สุด ยังกลัวฟ้าผ่า ครั้งนี้นางตัวคนเดียว ย่อมต้องกลัวจนไม่รู้ไปแอบหลบอยู่ที่ใด”

 

อวี่ซือเฟิ่งพิงต้นไม้ ก้มลงมองท่อนล่างเสวียนจีโดนฝนสาดเปียก จึงได้ถอดชุดแต่งงานออกคลุมไหล่ให้นาง

 

“วันนี้นับว่าเจ้าได้เป็นเจ้าสาวสองครั้งแล้ว” เขายิ้ม

 

เสวียนจีพลันหน้าแดงก่ำ กล่าวติดอ่างว่า “ไม่ ไม่นับ…นั่นมันปลอมๆ…ไม่ใช่ เจ้า เจ้าสาว…”

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง ย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้านาง พลันยกมือไปปัดเส้นผมที่ระข้างแก้มนางออก นิ้วมือแตะโดนผิวแก้มเนียนลื่นของนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “สวมชุดแต่งงานก็เป็นเจ้าสาวแล้ว”

 

เสวียนจีอึกอักเป็นนานกว่าจะหาคำโต้ตอบได้ว่า “นั่น…พวกเจ้าเองก็สวมชุดแต่งงาน ก็เป็นเจ้าสาว!”

 

อวี่ซือเฟิ่งกระแอมไอสองที ทำเป็นไม่ได้ยิน ผู้ชายย่อมไม่เหมือนกัน เขาแอบกล่าวในใจ

 

นางสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงเช่นนี้ นั่งยองๆ อยู่ท่ามกลางสายฝน ผิวหน้าขาวกระจ่าง ดวงตาดำขลับ มองแล้วเหมือนสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้ง แสนน่าสงสาร และความน่าสงสารนั้นก็ยังเพราะชุดแต่งงานสีสด ทำให้รู้สึกถึงแรงดึงดูดใจอยู่กระแสหนึ่ง

 

เขาพลันถูกแรงดึงดูดใจนี่เสียดแทงใจ

 

การแต่งงานในสมัยนี้ หญิงต้องสวมชุดแต่งงานสีแดง บนศีรษะปักปิ่นทองระย้าแปดเล่ม พื้นรองเท้าก็ต้องอัดแน่นด้วยกลีบบัว เช่นนี้จึงเป็นพิธีอย่างเป็นทางการ บนศีรษะเสวียนจีมัดผมแบบชาย แม้แต่แป้งชาดก็ไม่ได้ทา สวมชุดแต่งงานที่ดูไม่ได้เรื่องยิ่ง

 

ไม่เข้ากัน แต่ในสายตาเขากลับรู้สึกงดงามยิ่งกว่าทุกสิ่ง

 

บางทีในชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกถึงความสุขโชคดีเช่นนี้ การได้เห็นภาพนางแต่งชุดแต่งงาน เช่นนี้ก็นับว่าดี อย่างน้อยตอนอยู่บนเบาะรองนั่ง มือพวกเขาก็เกาะกุมอยู่ด้วยกัน อย่างน้อย…ในช่วงเวลาพริบตาหนึ่ง เขาก็เคยมีนางอย่างแท้จริง ได้สวมชุดแต่งงาน ได้กราบไหว้ฟ้าดิน

 

ป่าด้านหลังพลันมีเสียงประหลาดดังแว่วมาเบาๆ ราวกับมีคนกำลังร้องไห้ ราวกับนกฮูกกำลังส่งเสียงร้อง

 

ทั้งสองที่กำลังครุ่นคิดเรื่องราวในใจตนอยู่ก็พลันสะดุ้ง รีบหันกลับไปในป่ามืดมิด อันใดก็ไม่มี

 

“เมื่อครู่เสียงอันใด” เสวียนจีถามอย่างสงสัย

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า ชักกระบี่สั้นออกมากุมไว้ในมือ ตะโกนดังว่า “ผู้ใด? ออกมา!”

 

เสวียนจีรู้ว่าเขาโดนฝ่ามือดับพลังหยาง จริงๆ แล้วยังไม่มีพลังวัตรแม้ครึ่งส่วน จึงรีบลุกขึ้นตามมายืนบังอยู่หน้าเขา ชักกระบี่ที่อวี่ซือเฟิ่งส่งให้นางก่อนหน้าออกมา

 

รออยู่เป็นนาน ด้านในก็ไร้เสียง บางทีอาจเป็นเสียงนกฮูกร้องสองเสียง เสียงราวกับเศร้าโศกมาก อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจโล่งอก เก็บกระบี่สั้นกลับคืน ยิ้มกล่าวว่า “พวกเราเคร่งเครียดเกินไปแล้ว น่าจะเป็นนกฮูก”

 

เสวียนจีกำลังจะพยักหน้า พลันเห็นแสงสีเขียวจากเนินเขาด้านหน้าสว่างวาบ พริบตาก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีเขียวชั้นหนา นางรู้สึกงุนงงยกมือชี้ไปพึมพำกล่าวว่า “เจ้าดู…นั่นคืออะไร”

 

อวี่ซือเฟิ่งรีบหันกลับไป เห็นแสงสีเขียวสว่างวาบราวกับผืนม่านบางสีเขียว ราวกับข้างล่างนั่นมีฝูงสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจอันใด ค่อยๆ คืบคลานเข้าครอบคลุมทั่วภูเขาครึ่งฟากนั้น แสงวูบวาบงดงามและแปลกประหลาด

 

“เหมือนไฟไหม้” เสวียนจีถาม การเคลื่อนไหวไปมาไร้รูปแบบ กระโดดโลดเต้นเหมือนกับแสงไฟ แต่ไฟที่ไหนมีสีเขียวกัน

 

อวี่ซือเฟิ่งตกใจกล่าวว่า “ข้าเหมือนเคยเห็นไฟเช่นนี้! อาจารย์เคยบอกว่า อันนี้เรียกว่า…”

 

“มารปีศาจที่ชื่อปี้ฟาง พ่นไฟประหลาดได้ ศิษย์พี่ที่มีประสบการณ์เคยเห็น!”

 

ในป่ามีเสียงดังแว่วมาเสียงหนึ่ง ขัดวาจาเขาขึ้น ทั้งสองตกใจหันกลับไปมอง เห็นในป่ามีคนค่อยๆ เดินออกมาห้าหกคน ล้วนสวมชุดดำ ที่เอวยังมีห่วงเหล็กสีขาว ทุกคนล้วนใช้ผ้าดำปิดหน้า เผยเพียงแค่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มไม่ก็เขียวเข้มคู่หนึ่ง

 

เสวียนจีปิดจมูก กระซิบว่า “กลิ่นอายปีศาจ…พวกเขาเป็นปีศาจ”

 

อวี่ซือเฟิ่งกำกระบี่สั้นแน่น ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้เขาไร้พลังวัตร เสวียนจีคนเดียวย่อมไม่อาจรับมือปีศาจมากมายเช่นนี้ได้ เห็นท่าทางการเดินของพวกเขาเบาหวิวว่องไว ก็รู้ว่าย่อมเป็นมารปีศาจสำเร็จตบะขั้นสูง จิ้งจอกม่วงก่อนหน้าก็ทำเอาพวกเขาหลายคนย่ำแย่ยากบรรยาย ตอนนี้มากันห้าหกคน ช่างมีแต่ตายสถานเดียวเสียจริง

 

ในใจเขามีความคิดมากมายวิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกัดฟันเก็บกระบี่สั้น ประสานมือกล่าวว่า “พวกข้าเสียมารยาทแล้ว ทุกท่านคงมาทำลายโซ่หมุดทะเลแปดทิศกระมัง โซ่หมุดอยู่ที่หอไท่จี๋บนยอดเขา ไม่ได้อยู่เชิงเขา”

 

บรรดาปีศาจหัวเราะคิกคัก หัวหน้าปีศาจจับนกประหลาดตัวหนึ่งอยู่ในมือ ราวกับนกกระเรียนเซียนแต่ขนสีเขียว ร่างกายด้านล่างมีขาเดียว ใช้ขาเพียงข้างเดียวนั้นยืน สองตาจ้องมองมายังทั้งสองคน มองจ้องขนลุกไปทั้งตัว

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่ามันต้องเป็นปีศาจนกปี้ฟางที่มีชื่อเสียงแน่นอน เมื่อก่อนเขาเคยเห็นแต่ในรูปภาพ ไม่เคยได้เห็นปี้ฟางตัวจริง ตำนานเล่าว่าคนที่เห็นปี้ฟาง เหมือนว่าไม่เคยมีชีวิตรอด ไฟประหลาดที่มันพ่นออกมา เพียงพอจะทำให้ทุกอย่างมอดไหม้เป็นจุณ เป็นนกหายนะที่น่ากลัวอย่างที่สุด ยามนี้มาพบเข้า หนีได้หรือไม่ก็แล้วแต่ลิขิตฟ้าแล้ว

 

ปีศาจสองสามตัวนั้นหัวเราะครู่หนึ่ง หนึ่งในปีศาจนั้นกล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้าทั้งสองคนพกกระบี่ เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว คิดว่าคงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนกระมัง เคยผ่านไปเขาไห่หวั่นหรือไม่”

 

ทั้งสองคนสะดุ้งในใจ ที่แท้พวกเขาเป็นพวกเดียวกับปีศาจตัวนั้นดังคาด น่าจะมาตามหาคนที่สังหารสหายปีศาจพวกมันได้เพื่อแก้แค้นแน่แล้ว!

 

อวี่ซือเฟิ่งรีบส่ายหน้า “เปล่า พวกข้ามาจากเมืองชิ่งหยางตะวันตก”

 

หัวหน้าปีศาจตัวนั้นยิ้มกล่าวว่า “พ่อหนุ่มน้อย ริอาจโกหก! โกหกก็ต้องถูกตัดหัว! พวกเจ้าไม่ได้ผ่านไปทางเขาไห่หวั่น เหตุใดบนตัวจึงมีกลิ่นหญ้าจู้อวี๋”

 

ทั้งสองตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ที่แท้การรับกลิ่นของมนุษย์สู้การรับกลิ่นของปีศาจไม่ได้ พวกเขาเคยไปอยู่หมู่บ้านวั่งเซียนมาพักหนึ่ง เคยกินหญ้าจู้อวี๋ กลิ่นหอมนั่นผ่านไปหลายวัน คนปกติไม่ได้กลิ่น แต่ไม่อาจหลบจมูกปีศาจไปได้

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขาพากันล้อมวงเข้ามา เห็นเสวียนจีหันหลังวิ่งหนี ปีศาจด้านหลังหัวเราะดังว่า “หาตัวคนสังหารเจ้าเจ็ดได้แล้ว! พี่ใหญ่ จับเป็นหรือสังหารทิ้งไปเลย?”

 

หัวหน้าปีศาจกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “สังหารทิ้ง! ล้างแค้นให้เจ้าเจ็ด!”

 

เสวียนจีวิ่งไปได้สองก้าว ได้ยินเสียงลมด้านหลัง นางได้สติตวัดกระบี่ไป เสียงตึงดังตัดเข้ากลางลำตัวเจ้าปีศาจตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ร่างเขาไม่ได้สวมเกราะอันใด กระบี่กลับฟันไม่เข้า เสวียนจีได้แต่ร้อนรนไม่อาจระงับ ถอยหลังหันหน้าวิ่งหนีทันที

 

ได้ยินเสียงตวาดดังด้านหลัง “อย่าได้หนี!”

 

ตามมาด้วยนกปี้ฟางขาเดียวส่งเสียงคำรามราวกับเสียงเศร้าโศกรันทด แสงสีเขียวสว่างวาบ เสวียนจีรู้สึกเพียงข้อศอกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด ก้มลงดู เห็นว่าถูกเจ้าไฟประหลาดนั่นเผาไหม้อยู่

 

นางตกใจส่งเสียงร้องดัง คิดจะใช้มืดพัดไฟ ไม่ทันระวังปีศาจด้านหลังที่พุ่งมา ขาหนึ่งถีบเข้ากลางหลังนาง ด้านหลังพลันเจ็บปวดราวกับถูกฉีกขาด หน้าอกมีเลือดทะลักขึ้นมา อ้าปากพ่นออกมาเป็นเลือด ไม่อาจทานรับไหวอีกต่อไป สองขาอ่อนแรงคุกเข่าลงกับพื้น

 

ด้านหลังหลายคนส่งเสียงตะโกนดัง นางกลับได้ยินไม่ชัด รู้สึกเพียงแค่ไม่ไกลนัก ลูกไฟสีเขียวงดงามนั่นลุกไหม้เลื้อยลามเข้ามา

 

ไฟนั่นถึงกับกำลังลุกไหม้ แม้แต่ดินโคลนก็ถูกเผาไหม้

 

นางรู้สึกสติดับวูบ สองตาดำมืด ทนไม่ไหวกำลังจะหมดสติไป พลันมีคนมาโอบเอวนางไว้แน่น ตามด้วยเสียงจ๋อม ร่างทั้งร่างเย็นเยียบ ในใจรู้สึกว่าตกลงในทะเลสาบ ความคิดนี้แวบมาก่อนจะสลบไป ไม่รู้อันใดอีกแล้ว