ตอนที่ 501 ดำเนินการสะสาง โดย ProjectZyphon
ฉู่ซานเหอสีหน้ากระอักกระอ่วนไร้คำโต้แย้ง อึดอัดจนอกแทบแตก
ยิ่งยินเสียงซักไซ้ไล่เลียงของหลินสวิน สีหน้าของพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน
ตั้งแต่วันแรกที่หลินสวินหลอมอาวุธ พวกเขาก็ขู่จะลงโทษหลินสวินอย่างหนัก มองเขาเป็นความหายนะของจักรวรรดิ ปลุกระดมฝูงชนให้ด่าว่ากล่าวหา
แต่มาวันนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลินสวินต้องล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเตรียมชิงลงมือก่อน กำราบหลินสวินในคราเดียว แต่ใครจะคิดว่า…
ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดเช่นนี้ ชุดศึกสลักวิญญาณที่ก้าวผ่านด่านเคราะห์อสนีและไม่ดับสลายจะปรากฏตัวบนโลก! เพียงชั่วขณะเดียวก็ทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิง!
ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะกล้าไต่สวนเอาความหลินสวิน
นี่คือปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้เชียวนะ!
ที่น่ากลัวที่สุดคือเขาเพิ่งอายุสิบหก พลังแฝงไม่มีที่สิ้นสุด มาถึงขั้นนี้ได้เพียงลำพัง ในใต้หล้านี้ล้วนหาใครเทียบไม่ได้แล้ว!
“ท่านเต้าเฉินมีผู้สืบทอดแล้วสินะ”
ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยทอดถอนใจ เพียงประโยคเดียวทำให้ผู้คนมากมายต่างเห็นชอบ หลินสวินในวันนี้ถูกลิขิตให้มีเกียรติและศักดิ์ศรี อำนาจผงาดยากจะถูกกีดขวาง
สำหรับจักรวรรดิ ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยคนนี้มีค่ายิ่งใหญ่นัก อยู่เหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน หากใครกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเขาอีกล่ะก็ ต้องชั่งน้ำหนักพิจารณาผลที่ตามมาให้ดีๆ แล้ว
ปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างเสิ่นทั่ว อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่ง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายขึ้นไปอีก แววตาที่มองหลินสวินเสมือนมองดูอัญมณีเลอค่าหาได้ยาก ร้อนระอุจนสามารถทำให้ผู้คนหลอมละลายได้
พวกเขายิ่งอยากรู้ให้ชัดแจ้งขึ้นไปอีกว่าพลังแฝงของหลินสวินน่ากลัวมากเพียงใด อายุแค่สิบหกปี ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็หลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว!
ตลอดเวลาที่ผ่านมาในจักรวรรดิแห่งนี้ ต่างหาคนที่สามารถยกขึ้นมาเทียบชั้นหลินสวินไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแน่แท้ ไร้ใดเปรียบตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน!
ที่ปาฏิหาริย์ที่สุดคือ ชุดศึกสลักวิญญาณที่หลินสวินหลอมเป็นครั้งแรกยังชักนำด่านเคราะห์อสนี! นี่เป็นเหมือนสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
หากไม่เป็นการขัดกาลเทศะ พวกเสิ่นทั่วคงพรวดพราดขึ้นไปขอคำชี้แนะจากหลินสวินว่าทำถึงขั้นนี้ได้ยังไงกันแน่
น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
เพียงอาศัยสิ่งที่หลินสวินแสดงให้เห็นวันนี้ ล้วนสามารถบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ กลายเป็นดวงดาวดวงหนึ่งที่สุกสกาวที่สุดบนโลกของนักสลักวิญญาณ มีเกียรติและศักดิ์ศรี
บรรยากาศเงียบสงัดแปลกประหลาด จิตใจของทุกคนต่างไม่อาจสงบนิ่ง ไม่สามารถดึงสติจากความตกตะลึงเมื่อครู่กลับมาได้อย่างสมบูรณ์
บนท้องฟ้าปรากฏทวนยาวสีเทาเข้มลอยล่อง เก่าแก่เรียบง่าย แผ่กลิ่นอายน่ากลัวสะท้านใจผู้คนออกมา ทำให้อากาศถูกบีบทรุดลง
ร่างสูงสง่าของหลินสวินยืนโดดเดี่ยวบนยอดหอหลอมวิญญาณ เหนือศีรษะคือทวนยาวงดงาม จ้องมองลงมายังคนใหญ่คนโตทั้งหลายเบื้องล่าง ดูโดดเดี่ยวปลีกวิเวก
สายตาทั้งหลายที่มองมาทางเขาล้วนเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความสับสน ตกตะลึง ฮึกเหิม แปลกใจสงสัย งุนงง
อันที่จริงไม่ว่าใครต่างคิดไม่ถึง ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาสุภาพคนหนึ่ง มาวันนี้กลับสร้างปาฏิหาริย์ประหนึ่งผลงานอันยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา!
ทันใดนั้นเสียงปรบมือดังขึ้นระลอกหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดดึงดูดความสนใจของผู้คนยิ่งนัก
ก็เห็นรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีจ้าวจั้นเย่ปรบมือชื่นชม “ไม่เลวๆ ข้าเคยบอกแล้วว่า หากครานี้เจ้าสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้ก็สามารถชดเชยความผิด ดูเหมือนวันนี้เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
ผู้คนต่างงงงัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีจ้าวจั้นเย่คอยบงการด้วยตนเอง เหล่าบุคคลสำคัญจึงมารวมตัวเพ่งเล็งและกดขี่หลินสวิน แทบอยากจะบดขยี้หลินสวิน ณ ตรงนั้น
แต่มาตอนนี้เขากลับเปลี่ยนท่าที ราวกับอาศัยฐานะผู้อาวุโสกว่ายกตน ยกย่องชื่นชมหลินสวิน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนจำนวนมากต่างรู้สึกผิดคาด
และมีผู้คนมากมายรู้แจ้งเห็นชัด รู้สึกได้ว่าจ้าวจั้นเย่เห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีจึงเปลี่ยนท่าที เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตัวเขาเองตกอยู่ในสภาพอึดอัด
‘เหอะ! ไอ้แก่หน้าไม่อาย เปลี่ยนหน้าเร็วซะยิ่งกว่าหมา!’
พวกหนิงเหมิง สืออวี่แอบด่าอยู่ในใจ
แม้แต่หลินสวินเองก็อดตะลึงไม่ได้ กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ทำไมข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้มีคนเห็นข้าเป็นภัยพิบัติ อยากจะกำจัดออกไปให้พ้นทาง”
“หลินสวิน เจ้าอย่าได้โอหังนัก ก็แค่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาชิ้นหนึ่ง ให้เจ้าได้ทำความดีชดใช้โทษก็ถือว่าเมตตาแล้ว!”
จั่วฝูกวงตวาดเสียงเย็น
นัยน์ตาหลินสวินเย็นเยียบขึ้นทันที “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าขอถามกลับสักหน่อย ข้าหลินสวินมีโทษอันใด แล้วเจ้านับเป็นตัวอะไรถึงกล้ามาตัดสินโทษข้า”
น้ำเสียงมีจังวหวะจะโคน ก้องกังวานสั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ทั้งลานต่างตะลึงงัน
“เจ้า…”
จั่วฝูกวงนัยน์ตาฉายแววเย็นเยือก ไอสังหารแผ่คลุม ภายใต้สายตาผู้คนที่จับจ้อง กลับถูกคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินย้อน มองเขาเป็นเหมือนสิ่งยั่วยุอย่างหนึ่ง
“ทำไม พูดไม่ออกเลยคิดจะลงมืองั้นสิ หากข้าจำไม่ผิด ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต คนนอกอย่างเจ้ากลับกล้ามาลำพองที่นี่ ใครช่างให้เจ้ากล้าได้ขนาดนี้”
การโต้กลับของหลินสวินไม่มีเกรงใจสักนิด
จั่วฝูกวงโกรธจนจะระเบิด แทบควบคุมจิตสังหารไว้ไม่อยู่ และในเวลานี้เองจ้าวจั้นเย่พลันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“เอาล่ะ เรื่องนี้ก็พอแค่นี้เถอะ ทวนเล่มนี้ข้าจะเก็บรักษาไว้ให้ชั่วคราว ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าทำดีชดเชยแล้วกัน!”
พูดพลางเหยียดแขนออกไปคว้าทวนยาวเล่มนั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ทุกคนในที่นั้นต่างอึ้งงัน
นี่มันแย่งเอาดอกผลที่หลินสวินหลอมออกมาชัดๆ!
และยังแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ ไม่รอความเห็นหลินสวินสักนิด บอกว่าจะลงมือก็ลงมือ ช่างเผด็จการยิ่งนัก
“เจ้ากล้า!”
หลินสวินเองก็คาดไม่ถึงว่าจ้าวจั้นเย่จะหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้ มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะยึดเอาสมบัติที่เขาหลอมไปอีก!
เพียงแต่เมื่อหลินสวินจะหยุดยั้งเขาก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
จ้าวจั้นเย่เป็นถึงรองเจ้าหัวหน้าสาขายุทธ์วิถี เป็นมหายุทธ์ที่เท้าข้างหนึ่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติไปเนิ่นนานแล้ว เมื่อลงมือมีหรือหลินสวินจะสกัดกั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เขาออกมือจู่โจมกะทันหัน ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างรับมือไม่ทัน เท่ากับชิงยึดโอกาสเอาไว้ก่อน อย่าว่าแต่หลินสวิน แม้แต่พวกราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีสือ กว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ขัดขวางไม่ทันแล้ว
พริบตาเดียวเท่านั้น มือใหญ่ที่รวมตัวกันจากแสงวิญญาณเจิดจรัสก็ปรากฏบนฟากฟ้า พุ่งเข้าหาทวนยาวเล่มนั้น
เวลานี้มุมปากของจ้าวจั้นเย่มีรอยยิ้มปรากฏอย่างอดไม่ได้ เป็นแค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังคิดเพ้อเจ้อจะต่อต้านเขา ช่างไม่รู้ประสีประสาเสียจริง
ขณะเดียวกันในใจเขาก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ทวนยาวที่ก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีได้เล่มนั้นเป็นสิ่งพิเศษเหลือเกิน ต่อให้จัดอยู่ในชุดศึกสลักวิญญาณด้วยกันก็เรียกได้ว่ายากพบเห็น ทำให้เขาใจเต้นหาใดเปรียบ
หากไม่ฉวยโอกาสยึดครองของมีค่านี้ไว้ ก็ผิดต่อความทุ่มแรงกายแรงใจปลุกระดมฝูงชนในครั้งนี้!
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่กฎเกณฑ์สำนักศึกษามฤคมรกตของข้า แม้แต่คนของตัวเองยังกล้าทำลายเหยียบย่ำตามอำเภอใจ”
แต่ในเวลานั้นเอง เสียงเฉยชาผ่านกาลเวลามายาวนานเสียงหนึ่งดังสะท้อนขึ้น
ตู้ม!
พลันเห็นมือขนาดใหญ่ที่จะคว้าทวนยาวนั่นฉีกขาดออกประดุจทำจากกระดาษ ฝนแสงโปรายปราย
จ้าวจั้นเย่กลับส่งเสียงอึดอัดในคอ ร่างโอนเอนเซไปมา ใบหน้าพลันซีดขาว รอยเลือดเส้นหนึ่งล้นมุมปากออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อได้ยินเสียงราบเรียบผ่านกาลเวลานั้น คนใหญ่คนโตที่นั้นยิ่งตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ขนพองสยองเกล้า รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลยากจะเอ่ยอย่างหนึ่งบีบกดลงมาที่ร่าง ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
ทันใดนั้นทั่วทั้งลานต่างตื่นตระหนก หรือว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าที่น่าสะพรึงกลัวผู้นั้นจะลงมือเองแล้ว
เห็นว่ากลางลานพลันปรากฏเงาร่างที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ขึ้น เป็นชายชราร่างผอมแห้งคนหนึ่ง หน้าตาซูบตอบ นัยน์ตาราวหลุมดำล้ำลึกคู่หนึ่ง ภายในพรั่งไปด้วยรอยสลักลึกลับแห่งมหามรรค
ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ไม่มีท่าทางภูมิฐานน่าหวาดกลัวอะไร แต่ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนแสบตา ไม่กล้ามองตรงๆ สักนิด ประหนึ่งว่านั่นไม่ใช่ชายชราคนหนึ่ง แต่เป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อยู่สูงเหนือเก้าชั้นฟ้า สาดแสงมายังใต้หล้า ส่องแสงแรงกล้าไร้ขีดจำกัด
สีหน้าจ้าวจั้นเย่เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ในบัดดล ปรากฏอาการตกใจหวาดกลัว ไม่คิดมาก่อนว่าชายชราคนนี้จะถูกทำให้ตกตื่นจนต้องมาที่นี่
และในเวลาเดียวกันบุคคลสำคัญมากมายในที่นั้นต่างยืนขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คารวะอย่างพร้อมเพรียง “คารวะเจ้าสำนัก”
เสียงดังกระหึ่มสะท้อนไปทั่วทุกทิศ
ครานี้ทุกคนต่างสั่นสะท้าน ทั้งหมดต่างยืนขึ้นอย่างลนลานจิตใจสะท้านไหว
เจ้าสำนัก!
ที่แท้คือเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตที่ไม่เคยปรากฏตัวมาเป็นเวลาหลายปี!
นี่ต้องเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงที่สุดในจักรวรรดิ เล่าลือกันว่าตั้งแต่พันปีก่อนก็ครอบครองพลังแห่งราชันระดับสังสารวัฏ ฝีมือเทียมฟ้า เร้นลับและน่าสะพรึง
เพียงแต่เขาไม่เคยปรากฏตัวมาหลายปี ทุกคนต่างคิดว่าช่วงหลายปีมานี้เขาท่องทั่วสี่ทิศ ไม่สนใจเรื่องทางโลกนานแล้ว
คิดไม่ถึงว่ามาวันนี้ ผู้อาวุโสท่านนี้จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!
ในใจหลินสวินก็ตกตะลึงเช่นกัน เพียงแต่เขาเคยเจอผู้อาวุโสท่านนี้ครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ประหลาดใจนักกับการปรากฏตัวของเขาในวันนี้
อาศัยโอกาสนี้เขาคว้าเก็บทวนยาวเล่มนั้นมาอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว แล้วกระโดดลงมาจากยอดหอหลอมวิญญาณ ลอยล่องลงสู่พื้นดิน
เจ้าสำนักมาแล้ว หลินสวินไม่กังวลแล้วว่าวันนี้จะเกิดเหตุอะไรผิดคาดขึ้นมาอีก
“เรื่องในวันนี้ข้าล้วนเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ตอนนี้เวลานี้ ข้าเพียงอยากถามทุกท่านหนึ่งประโยค ที่นี่คือสถานที่ใด”
น้ำเสียงเจ้าสำนักยังคงราบเรียบ แต่ความนัยที่แฝงในคำพูดนั้นกลับทำให้คนใหญ่คนโตตรงนั้นหนาวเยือกไปทั้งใจ ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ค่อนข้างรุนแรงแล้ว
ไม่มีใครกล้าตอบ เพราะต่างรู้คำตอบอยู่แล้ว
“เจ้าบอกมาซิ”
สายตาของชายชราจ้องมองมายังจ้าวจั้นเย่
พริบตานั้นจ้าวจั้นเย่หน้าซีดเผือด ตัวแข็งทื่อไปทั่วร่าง ถึงแม้เขาเป็นบุคคลผู้มีอำนาจคนหนึ่งของราชวงศ์ ก็ยังไม่มีความมั่นใจในการเผชิญหน้าผู้อาวุโสท่านนี้
“เจ้าสำนักโปรดลงโทษ!”
จ้าวจั้นเย่นับว่าเด็ดเดี่ยวยิ่งแล้ว ก้มหน้ารับผิดทันที
ทุกคนต่างสูดหายใจเย็นเยียบ จ้าวจั้นเย่อยู่ในฐานะใด เวลานี้กลับเหมือนเด็กน้อยก็ไม่ปาน แม้แต่จะเอ่ยปากอธิบายยังไม่กล้า เช่นนี้ยิ่งเสริมให้พลังอำนาจอันน่ากลัวของเจ้าสำนักเด่นขึ้นกว่าเดิม
“นับจากวันนี้ไป เจ้าไม่อาจเหยียบเข้ามาในสำนักศึกษามฤคมรกตแม้แต่ก้าวเดียว”
เจ้าสำนักเงียบไปสักครู่ ก่อนเอ่ยประโยคแผ่วเบาประโยคเดียว ช่วงชิงเพิกถอนฐานะรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีของจ้าวจั้นเย่ ขับไล่เขาออกจากสำนักศึกษา!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการลงโทษอย่างหนักหาใดเปรียบ หากแพร่ออกไปชื่อเสียงของจ้าวจั้นเย่ต้องแย่แน่
แต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะโต้แย้ง กลับเหมือนได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง ก้มหน้ารับโทษ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเผยความไม่พอใจและความโกรธแค้นอันใด
นั่นทำให้ในใจทุกคนอลหม่านอีกครั้ง พลังอำนาจของเจ้าสำนักแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ในสำนักศึกษามฤคมรกตนี้ เขาถือว่าเป็นใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียว!
และเวลานี้พวกฉู่ซานเหอ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ต่างตระหนักรู้ว่าท่าไม่ดี ตัวแข็งทื่อไปหมดราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม
พวกเขาต่างดูออกว่า การมาของเจ้าสำนักในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามาออกหน้าให้เจ้าเด็กหลินสวินนั่น!
………………