ตอนที่ 502 อำนาจของเจ้าสำนัก โดย ProjectZyphon
จ้าวจั้นเย่ปรารถนาแย่งชิงสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินหลอมขึ้น กลับถูกเจ้าสำนักออกหน้ากำราบ แม้แต่ตำแหน่งรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีก็ถูกชิงไป ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหวาดกลัวทันที
พวกเขาทั้งหมดต่างสัมผัสได้ว่า เจ้าสำนักปรากฏตัวครั้งนี้ต้องมาเพื่อปกป้องหลินสวินอย่างแน่นอน!
นั่นทำให้พวกหนิงเหมิง สืออวี่รู้สึกสะใจหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยยังอดไหวหวั่นไม่ได้ ลอบทอดถอนใจว่าหลินสวินโชควาสนาดี ถึงขั้นได้รับการดูแลจากเจ้าสำนัก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะได้รับง่ายๆ
แต่ทว่าเหล่าบุคคลสำคัญที่ก่อนหน้านี้มุ่งเป้ามาที่หลินสวินกลับตัวแข็งทื่อกันหมด ราวกับมีหนามทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง สีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย
พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่า หลินสวินเพียงคนเดียวถึงกับดึงดูดความสนใจจากเจ้าสำนักมาได้ ถึงขั้นใช้วิธีที่ไม่คาดฝัน ขับไล่จ้าวจั้นเย่ออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด!
นี่ถือเป็นท่าทีอย่างหนึ่ง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการออกหน้าแทนหลินสวิน ไม่อาจอดทนเห็นหลินสวินถูกกดขี่ได้
“ในเมื่อทุกท่านล้วนอยู่ที่นี่ ข้าเองก็สงสัยนัก หลินสวินทำอะไรผิดกันแน่ ถึงกับรบกวนทุกท่านยกทัพมายังสำนักศึกษามฤคมรกตของข้า”
เจ้าสำนักเริ่มพูดอีกครั้ง ทำให้บรรยากาศกดดันยิ่งกว่าเดิม
“ท่านเจ้าสำนัก เด็กคนนี้เคยบีบบังคับหลิงเทียนโหวให้คุกเข่าต่อหน้าธารกำนัล ดูหมิ่นเกียรติศักดิ์ศรีของราชวงศ์ โทษมหันต์เช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถปล่อยปละผ่อนปรน”
ในที่สุดก็มีคนใหญ่คนโตทำใจกล้า สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเปล่งเสียงออกมา
“เด็กคนนี้เคยทำร้ายคนตระกูลจั่วของข้า กักขังจั่วหยางทายาทตระกูลจั่วของข้า หากไม่ลงโทษเขาอย่างหนัก อย่างไรพวกข้าก็ไม่ยินยอม”
จั่วฝูกวงตอบเสียงแข็ง
“ตระกูลฉินของข้าก็เคยถูกเขาทำร้ายคนในตระกูลไปไม่น้อย”
“หลายวันก่อนเขาบีบบังคับฉีอวี้ทายาทสายตรงตระกูลฉีของข้าลงไปคุกเข่า ทำแต่เรื่องชั่วร้าย อาละวาดไม่เกรงกลัวสิ่งใด”
“เด็กคนนี้ใจกล้าเหิมเกริม หากไม่ให้บทเรียนกับเขา วันหน้าต้องเป็นภัยใหญ่แน่”
คนมากมายออกปากพูด ล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฉิน ฉี จั่วทั้งสิ้น เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยินยอมปล่อยไปเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำกล่าวหาเหล่านี้ ทุกคนในที่นั้นต่างอกสั่นขวัญแขวน คนใหญ่คนโตพวกนี้เป็นตัวแทนของขุมอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่!
“ใจกล้าเหิมเกริม? พวกเจ้าหมายถึงหลินสวิน หรือหมายถึงตัวพวกเจ้าเอง?”
เจ้าสำนักเอ่ยปาก กวาดสายตามองพวกเขาทั้งหมด ทุกแห่งที่สายตาวาดผ่าน ไม่มีใครกล้าสบตากับเขาโดยตรง
“ผู้อาวุโสนี่ท่าน…”
มีคนฝืนกล่าวออกมา
“ง่ายมาก ในเมื่อพวกเจ้าพูดไม่ขาดปากว่าต้องชำระบัญชีเก่า งั้นวันนี้ไม่สู้มาสะสางเสียเลย ลองดูว่าใครกันแน่ที่ใจกล้าเหิมเกริม!”
เจ้าสำนักน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่ ราวเสียงธรรมทะลวงหู สะเทือนเสียจนทุกคนใจเต้นตึกตักเลือดลมตีกลับ
ในลานเงียบกริบไร้เสียง
เจ้าสำนักแสดงอำนาจอยู่ที่นี่ ไร้ซึ่งขีดจำกัด แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังไม่กล้าขัดใจ ในเวลาเช่นนี้ใครยังจะกล้าท้าทายเจ้าสำนักอีกเล่า
“ในเมื่อท่านเชื่อว่าหลินสวินไม่มีความผิด เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก ขอลาเพียงเท่านี้!”
จั่วฝูกวงส่งเสียงเฉยชา ในน้ำเสียงแฝงความโมโหเป็นอย่างมาก
“ฮึ!”
เจ้าสำนักร้องฮึเย็นชาคราเดียว จั่วฝูกวงพลันตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ถูกทำให้หวาดกลัวอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใดอีก
“ข้าจะถามเจ้าอีกประโยค หลินสวินมีโทษอันใด เพียงแค่เจ้าสามารถบอกเหตุผลหนึ่งได้อย่างชัดแจ้ง ข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีกทันที ยกให้ตระกูลจั่วของเจ้าจัดการลงโทษหลินสวิน!”
เจ้าสำนักพูดอย่างนิ่งสงบ
จั่วฝูกวงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่นานนักเขาก็กัดฟันพูดว่า “หลายวันก่อนเขาเคยเข่นฆ่าทำร้ายคนตระกูลจั่วของข้า เรื่องนี้ผู้คนมากมายในที่นั้นต่างรู้เห็น มาวันนี้ทายาทตระกูลจั่วของข้าจั่วหยาง ยังถูกคุมขังอยู่บนภูเขาชำระจิต หรือว่านี่จะไม่ใช่ความผิดอันใด”
“ช่างกล้านัก!”
เจ้าสำนักตะคอกเสียงดัง “หากไม่ใช่พวกเจ้าสองตระกูลจั่ว ฉิน บุกรุกเขาชำระจิตต้องการทำร้ายเขาก่อน ไหนเลยจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นแค่พวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น!”
คำพูดนี้ทำให้หลินสวินได้รู้ว่า ที่แท้เจ้าสำนักเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว!
นั่นทำให้สะเทือนใจอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้ ด้วยรู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้ได้เริ่มใส่ใจตนเองแล้ว
กลับเห็นสีหน้าจั่วฝูกวงกระอักกระอ่วน ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็เห็นเจ้าสำนักโบกมือกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ อย่าได้บีบให้ข้าไปเยือนตระกูลจั่วของพวกเจ้าด้วยตนเอง!”
เพียงประโยคเดียวราวกับฟ้าผ่า ทำให้สีหน้าจั่วฝูกวงเปลี่ยนไปอย่างมาก ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่าง เจ้าสำนักต้องการปกป้องหลินสวินนั่นโดยไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว
ท้ายที่สุดจั่วฝูกวงไม่กล่าวอันใดอีก หันหลังจากไป
เขาเป็นไป๋จั้นโหวผู้สูงส่ง ผ่านการสู้รบมากมายมาอย่างน่าเกรงขาม สังหารศัตรูแข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าพูดมาก ได้แต่หักห้ามใจไว้แล้วจากไป ทำให้ภายในใจคนใหญ่คนโตมากมายหนาวสะท้าน
“ข้าน้อยก็ปราศจากคำจะพูด ขอลา”
ฉินเป่าจี้ใบหน้าทะมึน รีบหันหลังจากไปตามกัน
หลินสวินเห็นดังนั้น ในใจแม้จะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าต่อให้เจ้าสำนักใส่ใจตนเองอย่างไร ก็ไม่อาจลงมือคว่ำจั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้สองคนนี้ลงได้
ถึงตรงนี้บุคคลสำคัญทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครเอ่ยถึงบุญคุณความแค้นกับหลินสวินอีก
“ข้าได้ยินว่าหลินสวินเคยมีความแค้นกับตระกูลฮวา ข้ายินดีเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ไม่ทราบว่ามีเรื่องค้างคาต้องปรึกษาหารือกันหรือไม่”
สายตาเจ้าสำนักมองมายังคนใหญ่คนโตของตระกูลฮวา
นั่นเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เครายาวดั่งต้นหลิว นามฮวาชิงฉือ ได้ยินดังนั้นก็พลันกล่าว “เจ้าสำนักมองออกนัก มีเรื่องพัวพันกันอยู่จริงๆ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ของคนหนุ่มสาว ในเมื่อเจ้าสำนักออกปาก เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงเพียงแค่นี้”
เขาไม่แสดงท่าทีนบนอบหรือทระนงตน แต่กลับแสดงออกถึงท่าทีของตระกูลฮวาอย่างชาญฉลาด ไม่ยอมล่วงเกินเจ้าสำนักเพื่อหลินสวินเพียงคนเดียว
“เจ้าว่าอย่างไร”
เจ้าสำนักถามหลินสวิน
หลินสวินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าสำนักกำลังช่วยเหลือตนเอง จะทำตัวไม่รู้ดีชั่วได้อย่างไร จึงกล่าวตอบว่า “เป็นความขัดแย้งเล็กน้อยจริงขอรับ แต่ไหนแต่ไรข้าไม่มีเจตนาเป็นปรปักษ์กับตระกูลฮวา”
“ดี”
เจ้าสำนักพยักหน้าน้อยๆ มองไปยังฮวาชิงฉือ “กลับไปบอกผู้อาวุโสตระกูลของพวกเจ้า หากมีเวลาสามารถมาหาข้าที่สำนักศึกษาเพื่อพูดคุยสนทนาธรรม”
ฮวาชิงฉือเผยสีหน้าปิติยินดีทันที หากพูดว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่พอใจอยู่บ้าง เช่นนั้นตอนนี้ก็ถือว่าดีอกดีใจเป็นที่สุด นี่เป็นคำเชิญของเจ้าสำนักเชียวนะ หากผู้อาวุโสตระกูลฮวาของพวกเขาทราบเข้าจะต้องใจเต้นอย่างแน่นอน ไม่มีทางปฏิเสธความปรารถนาดีครั้งนี้แน่
เห็นดังนั้นคนมากมายต่างอิจฉาอย่างอดไม่ได้ เจ้าหลินสวินคนนี้โชคดีจริงๆ คนรุ่นเยาว์คนไหนบ้างที่จะเหมือนเขา ได้รับการคุ้มครองและให้ความสำคัญจากเจ้าสำนักเช่นนี้
“เจ้าหมอนี่ได้รับความโปรดปรานเกินไปแล้วกระมัง…”
หนิงเหมิงอดตะลึงไม่ได้
“หากเจ้าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่ข้ามด่านเคราะห์อสนีได้ตอนอายุสิบหก รับรองว่าสามารถได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้”
สืออวี่เปิดปากพูด
“งั้นก็ช่างเถอะ ข้าไม่ได้วิปริตเช่นนั้น”
หนิงเหมิงส่ายหัว
เจ้าสำนักเอ่ยปากต่อ สายตามองไปยังคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งของตระกูลซ่ง “หลินสวินและคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซ่งจำนวนหนึ่งขัดแย้งกันหรือ”
คนใหญ่คนโตตระกูลซ่งผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด ได้ยินดังนั้นจึงรีบตอบกลับไปทันที “ทำให้ผู้อาวุโสขบขันแล้ว เป็นเพียงแค่การทะเลาะกันของคนหนุ่มใจร้อน ไม่สลักสำคัญอะไร”
ถ้าจะกล่าวให้หนักขึ้น ต้องบอกว่าซ่งเจ๋อและซ่งชงเฮ่อแห่งตระกูลซ่ง ต่างล้วนแพ้อย่างย่อยยับให้กับหลินสวิน และยังมีความผิดก่อนหน้าอีก นั่นทำให้คนใหญ่คนโตตระกูลซ่งผู้นี้ก็ไม่อาจสืบสาวราวเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง มิฉะนั้นจะมีแต่ทำให้ตัวเองเสียหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ข้าเป็นประจักษ์พยาน เปลี่ยนจากสงครามแตกแยกเป็นสามัคคีกันเป็นอย่างไร”
สายตาเจ้าสำนักมองมายังหลินสวิน
“ทั้งหมดแล้วแต่ผู้อาวุโสจะสั่งความขอรับ”
หลินสวินพยักหน้า สำหรับเขาแล้วไม่ว่าตระกูลซ่งหรือว่าตระกูลฮวา ต่างไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรกับเขามากนัก หากสามารถคลี่คลายความขัดแย้งไปได้บ้าง ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน
ทุกคนเห็นดังนั้นต่างก็ทอดถอนใจ เจ้าสำนักปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวราวกับมีดใหญ่ขวานกว้างก็มิปาน ช่วยหลินสวินปัดกวาดอุปสรรคขวากหนามเหล่านั้นเสียราบคาบ เห็นได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับหลินสวินเพียงใด
และนับจากวันนี้ไป หลินสวินมีความสัมพันธ์กับเจ้าสำนักถึงขั้นนี้ ใครยังจะกล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินเขา
“ขอผู้อาวุโสโปรดอภัย ตระกูลฉือของข้าและเด็กคนนี้มีความแค้นบัญชีเลือด ถูกกำหนดให้ไม่อาจเมตตาต่อกัน ขอลาเพียงเท่านี้”
ยังไม่รอให้เจ้าสำนักเอ่ยปากอีกครั้ง คนใหญ่คนโตตระกูลฉือคนหนึ่งก็เปิดปากพูดอย่างแข็งกระด้าง นั่นทำให้ผู้คนอดตระหนกไม่ได้ กล้าพูดจาเช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฉือเท่านั้น
เจ้าสำนักเห็นดังนั้นก็หาได้โกรธาไม่ กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รักษาตัวด้วย”
หลินสวินก็ลอบโล่งอกอยู่เงียบๆ เช่นกัน ว่ากันตามตรงเขาเองก็ไม่คิดจะคลี่คลายกับตระกูลฉือ ก่อนเข้ามาในนครต้องห้าม เขาถูกตระกูลฉือล้อมปราบตลอดทางไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เกิดความแค้นบาดหมางกันมากตั้งนานแล้ว ไม่อาจปรับความเข้าใจกันเช่นนี้ได้!
“ข้าตระกูลฉีก็มีท่าทีเช่นนั้น เพียงแต่ตระกูลฉีของข้าไม่มีทางข่มเหงเขาซึ่งเป็นคนรุ่นหลังคนหนึ่งโดยเฉพาะ เรื่องราวของคนรุ่นเยาว์ก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง”
อีกด้านหนึ่ง คนใหญ่คนโตตระกูลฉีผู้หนึ่งเอ่ยปากพูด
เจ้าสำนักพยักหน้า “ก็ดี”
หลินสวินนึกถึงฉีอวี้ที่ถูกตนกำราบคุกเข่าลงแล้วลอบยิ้มหยันกับตัวเอง หากเป็นการต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเยาว์ เขาเองก็ไม่เกรงกลัวสักนิด
ถึงตอนนี้จ้าวจั้นเย่ถูกขับไล่ ตระกูลจั่ว ฉินสองตระกูลเก็บกลั้นความคับแค้นและจากไป ความแค้นระหว่างตระกูลฮวาและฉินกับหลินสวินก็จบลงเพียงแค่นี้ ตระกูลฉือแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราว ตระกูลฉีก็ตัดสินใจว่าเป็นการตัดสินของคนรุ่นเยาว์
เรียกได้ว่าเจ้าสำนักขยับตัวเพียงน้อยนิด ก็ช่วยหลินสวินคลี่คลายความขัดแย้งไม่น้อย และทำให้หลินสวินเห็นชัดเจนว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร
“ไม่ต้องมองข้า ข้าไม่อาจเป็นตัวแทนราชวงศ์ทำการตัดสินใจอะไรได้ ที่มาครั้งนี้ก็แค่มาดูเรื่องสนุกเท่านั้น”
เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าสำนักมองมาที่ตน เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวก็พูดเสียงดังทันที เขาวางตัวเป็นผู้ชมข้างๆ มาตลอด เวลานี้ท่าทีที่แสดงออกมาก็ต้องเป็นเช่นนี้
เพียงแต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนประเด็น ยิ้มน้อยๆ กล่าว “แน่นอน ตัวข้าเองยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์เช่นนี้เติบโตขึ้น”
ทุกคนต่างตะลึงงัน รู้สึกมหัศจรรย์พิศวงอย่างมาก ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ แม้ไม่อาจได้รับการอภัยจากทุกคนในราชวงศ์ แต่อย่างน้อยหลินสวินก็ได้รับความรู้สึกที่ดีและการยอมรับจากเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว!
ในลานมีเพียงฉู่ซานเหอที่ขมขื่นหาใดเปรียบ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สบายตัว กระวนกระวายเป็นอย่างมาก แทบอยากจะจากไปเสียเดี๋ยวนั้น เพราะว่า ‘พันธมิตร’ ของเขาเหล่านั้นต่างทยอยแตกแยกกระเส็นกระสาย ถูกเจ้าสำนักสยบไปทีละคน
ในเวลานั้นเอง ฉู่ซานเหอสังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจว่า หลินสวินที่อยู่ไม่ไกลจู่ๆ ก็มองมาทางเขา มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา
นั่นทำให้ในใจฉู่ซานเหอสะดุดกึก รู้สึกตัวว่าไม่เข้าทีแล้ว
พลันเห็นหลินสวินกล่าวเสียงขรึม “ผู้อาวุโส ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งต้องการให้ท่านทวงความยุติธรรม”
“เรื่องใด” เจ้าสำนักกล่าวถาม
สายตาหลินสวินจ้องมองไปยังฉู่ซานเหอ จ้องจนฝ่ายหลังสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าแข็งทื่อ ในใจลนลาน สังเกตได้รางๆ ว่าหลินสวินคิดจะทำอะไร
“ผู้น้อยหลอมอาวุธครานี้ ‘เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำ’ ที่ใช้ถูกคนมืออยู่ไม่สุขจัดการไว้ก่อนล่วงหน้า เกือบจะล้มเหลวในขั้นสุดท้าย หวังว่าผู้อาวุโสจะตรวจสอบอย่างชัดเจน จับตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลัง คืนความยุติธรรมให้แก่ผู้น้อย!”
เมื่อคำพูดกล่าวออกมา ในสมองฉู่ซานเหอเหมือนมีเสียงดังหึ่ง ราวกับถูกฟ้าผ่า ทั้งตัวเหมือนกับไร้ซึ่งวิญญาณ เป็นดังคาด เรื่องราวถูกเปิดเผยแล้ว…
……………….