ภาคที่ 4 ตอนที่ 74 การเริ่มต้นใหม่

มรรคาสู่สวรรค์

จิ๋งจิ่วมิได้สวมชุดขาวชุดนั้น หากแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดา แล้วก็สวมหมวกลี่เม่าเหมือนเวลาปกติ

หมวกลี่เม่าใบใหญ่ปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพายุกระบี่คั่นกลางไว้อีก ต่อให้มีคนมองขึ้นมาจากด้านล่างหมวก ก็ไม่มีทางมองเห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจน

ที่ลู่กั๋วกงจำเขาได้ทันทีที่มองเห็น เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะเขาคิดถึงอีกฝ่ายอยู่ทุกวันคืน แล้วก็ย่อมเป็นเพราะท่าทางที่สง่างามของจิ๋งจิ่วนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก

จู่ๆ จิ๋งจิ่วพลันตัวหายไปจากตรงหน้าเขา ลู่กั๋วกงตกใจ ครุ่นคิดในใจว่าหรือตัวเองจะคิดถึงมากไป ก็เลยตาลาย?

เขารีบเอานิ้วจุ่มลงไปในถ้วยชา แล้วเอาน้ำชาขึ้นมาถูที่ดวงตา ก่อนจะมองออกไปอีกครั้ง พบว่าจิ๋งจิ่วได้ไปอยู่บนพื้นหญ้าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้าง เขาคิดอย่างตกตะลึงว่าเวลาสามปีนี้อาจารย์เซียนไปเรียนวิชาอะไรมา ถึงได้มีความรู้สึกเหมือนเซียนท่องทะยานไปบนก้อนเมฆ

งานฟื้นฟูเมืองเจาเกอดำเนินไปอย่างรวดเร็ว วัดไท่ฉางย่อมต้องเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการฟื้นฟู อีกทั้งยังเป็นการซ่อมของเก่าให้เหมือนเก่า ดังนั้นในส่วนลึกของวัดไท่ฉางจึงยังมีป่าไผ่แห่งนั้นอยู่

ในส่วนลึกของป่าไผ่มีอุโมงค์ที่ทอดยาวลงไปใต้ดินอยู่เส้นหนึ่ง คนงานจำนวนมากกำลังทำงานอยู่รอบๆ อุโมงค์ ขนของจำนวนมากออกมาจากด้านใน

ซากมังกรชางหลงที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์กับซากมังกรชางหลงที่อยู่ในสภาพเป็นโครงกระดูกย่อมต้องไม่เหมือนกัน ร่างมังกรที่ใหญ่โตและแข็งแรงสามารถเอามาใช้ทำเป็นคุกได้โดยไม่มีปัญหา แต่ด้านในย่อมต้องมีการเพิ่มเติมอะไรหลายๆ อย่างเข้าไป

จิ๋งจิ่วเดินไปยังมุมหนึ่งที่ห่างไกลและไม่มีผู้คน

ตรงมุมนั้นมีดอกไม้สีม่วงอ่อนงอกออกมาช่อหนึ่ง ไหวเอนอย่างแผ่วเบาอยู่ในสายลม

จิ๋งจิ่วยื่นมือไปหยิบเอากระดิ่งอันหนึ่งที่อยู่ในดอกไม้สีม่วงช่อนั้น จากนั้นอุ้มแมวขาวออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วเอากระดิ่งห้อยไว้ที่คอของมันอย่างระมัดระวัง

หลิวอาต้ารู้สึกแปลกๆ มันพยายามหมุนคอของตัวเอง กระดิ่งส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ผีเสื้อหลายตัวบินเข้ามา

อุ้งเท้าแมวแหวกอากาศออกไปไล่ผีเสื้อเหล่านั้น บนใบหน้าของมันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ชอบและไม่ยินยอม

ไม่ชอบย่อมไม่ใช่ว่าไม่ชอบกระดิ่ง หากแต่ไม่ชอบในเรื่องที่จิ๋งจิ่วทำ

ไม่ยอมย่อมมิใช่ไม่ยอมถูกกระดิ่งห้อยคอ หากแต่ไม่ยอมที่จนกระทั่งสุดท้ายมันก็ยังไม่ได้สู้กับชางหลง

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนั้นมันสิ้นสภาพไปแล้ว ต่อให้เจ้าเข้าไปกัดมันเป็นชิ้นๆ มันก็เป็นชัยชนะที่ไม่สง่างาม”

หลิวอาต้ามองเขาอย่างเย้ยหยัน ในใจครุ่นคิดว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าชนะไม่สง่างามที่ไหนกัน

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พวกเจ้าต่อสู้กันมาหลายพันปี สุดท้ายมันตายไป เจ้ายังอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็คือผู้ชนะในการต่อสู้นี้”

หลิวอาต้าครุ่นคิด พบว่าเป็นจริงดังว่า

มันมองลงไปใต้ดิน ในดวงตาเกิดความรู้สึกหวนคิดถึงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นความรังเกียจ

หวนคิดถึงมิใช่คิดถึง

ระหว่างมันและชางหลงไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกัน แม้แต่ความรู้สึกที่เกิดจากการต่อสู้ก็หาได้มีไม่ สิ่งที่มันหวนคิดถึงคือช่วงเวลาที่มันเคยท่องทะยานไปบนก้อนเมฆ

แต่ความรังเกียจนั้นกลับเป็นความจริง สิ่งที่ผู้พิทักษ์ของชิงซานไม่ชอบมากที่สุดก็คือจอมเสแสร้งสองตัวบนเขาอวิ๋นเมิ่ง โดยเฉพาะชางหลงที่ตะกละตะกรามและโง่เขลา ที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทางการกินของมันน่าเกลียดเป็นอย่างมาก

จิ๋งจิ่วกำลังมองดูดอกไม้สีม่วงอ่อนช่อนั้น หวนคิดถึงเล็กน้อย

เขามีเพื่อนน้อย แต่จักรพรรดิแห่งหมิงถือเป็นหนึ่งในนั้น

อยู่ในคุกสะกดมารมาสามปี เวลาส่วนใหญ่เขาล้วนแต่อยู่ในสมาธิ พูดคุยกับจักรพรรดิแห่งหมิงเพียงไม่กี่สิบวัน แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

—–เพื่อนของข้ามีหัวใจที่ใส่ซื่อ สุขุมเป็นมิตร เหมือนดั่งแม่น้ำหมิง

จิ๋งจิ่วคิดถึงคำพูดที่ศิษย์พี่เขียนเอาไว้ในบันทึก นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

เพื่อนของศิษย์พี่เองก็น้อยอย่างมากเช่นกัน จักรพรรดิแห่งหมิงจะต้องถือเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน

ไม่อย่างนั้นในตอนนั้นศิษย์พี่ไม่มีทางที่จะเตรียมการเอาไว้มากขนาดนี้

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่หรือว่าเขาก็ล้วนแต่ทราบดี เมื่อจักรพรรดิแห่งหมิงถูกยันต์เซียนแผ่นนั้นโจมตีเข้า เขาก็ยากที่จะออกมาจากคุกสะกดมารโดยที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้

ตอนนี้ถือเป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้ว เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าออกมาแล้ว

……

……

ภายในวัดกั่วเฉิง ดวงอาทิตย์ยามเย็นส่องมาแต่ไกล

อินซานนั่งอยู่บนบันไดหินด้านหน้าห้องภาวนาไป๋ซาน มองดูม้วนคัมภีร์ที่ถืออยู่ในมือ

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลงมาบนตัวเขา เขาเองก็อยู่ในแสงอาทิตย์ยามเย็น ดูช่างงดงาม มีความเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย

ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูแผ่นหลังของเขา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกนับถือ

คุกสะกดมารที่อยู่ในเมืองเจาเกอเกิดเรื่องใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นฝีมือของนักพรต

เขาเพียงแค่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งเข้าไปในคุกสะกดมาร เหตุใดถึงเกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ได้?

“นักพรต…ช่างเหมือนเทพเซียนจริงๆ”

ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินมาถึงด้านหลังอินซาน ก่อนกล่าวอย่างจริงใจ

อินซานลุกขึ้นยืน มองดูป่าเจดีย์ที่อยู่ภายใต้อาทิตย์ยามเย็น กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดข้าถึงมีความสุขเช่นนี้?”

ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เพราะในที่สุดนักพรตก็ได้ระบายความเจ็บแค้นเมื่อในอดีต”

ในอดีตตอนที่อินซานพาจักรพรรดิแห่งหมิงกลับมายังโลกมนุษย์ ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกำลังอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด เขาย่อมต้องรู้ความลับนี้

อินซานกล่าวว่า “ถูกต้อง ช่างสะใจจริงๆ”

ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นชิงซานยังไงก็เป็นชิงซานของนักพรต สำนักจงโจวถูกเล่นงาน ย่อมต้องเป็นเรื่องดี”

อินซานยิ้มพลางตบบ่าเขา

ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็ไม่ค่อยลูบศีรษะปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเหมือนอย่างสุนัขแล้ว

เขาย่อมไม่อยากให้จิ่งซินเป็นฮ่องเต้ เพราะเขาคือตัวเลือกของสำนักจงโจว ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือองค์ชายคนนั้นถือเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไป๋ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

ดังนั้นเขาจึงยืมเรื่องเก่าของปู้เหล่าหลินมาดึงจิ่งซินเข้าไปพัวพันกับเรื่องคุกสะกดมาร

ข่าวจากเมืองเจาเกอถูกส่งกลับมายังวัดกั่วเฉิง

ส่วนใหญ่เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้

เขารู้จักนิสัยละโมบของชางหลงดี แล้วก็เข้าใจแผนการของจิ๋วจิ๋ว มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาคิดไม่ถึงก็คือจักรพรรดิแห่งหมิงออกมาจากคุกไท่ฉางได้อย่างไร

ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว นี่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับจิ๋งจิ่ว

เรื่องราวจบลงอย่างสวยงาม

เขาส่งจดหมายฉบับนั้นเข้าไปในคุกสะกดมาร คุกสะกดมารก็พังทลาย

สํานักจงโจวเสียหายอย่างหนัก ความหวังในการขึ้นครองราชย์ของจิ่งซินริบหรี่ลงเรื่อยๆ

เรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือจิ๋วจิ๋วยังมีชีวิตอยู่ ดูแล้วการจะฆ่าเขานั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ หรือว่าต้องลงมือด้วยตัวเอง?

จากนั้นอินซานคิดขึ้นมาได้…จักรพรรดิแห่งหมิงตายแล้ว

เขาไม่เสียใจ เพราะเขารู้ถึงความคิดของจักรพรรดิแห่งหมิง — หากการตายคืออิสระ ต่อให้เป็นทะเลที่คลุ้มคลั่ง เขาก็จะกระโดดลงไป

อินซานเดินลงมาจากบันได เข้าไปในป่าเจดีย์ที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เอาคัมภีร์ธรรมะใส่เข้าไปในเจดีย์หินองค์หนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาขลุ่ยกระดูกแท่งนั้นขึ้นมาจ่อตรงริมฝีปาก

นิ้วมือที่เรียวยาวและมั่นคงขยับไปบนเส้นสีแดงที่ดูเหมือนเลือด บรรเลงบทเพลงหนึ่งออกมา

บทเพลงนี้ราบเรียบเป็นอย่างมาก มีแต่เสียงที่ทอดยาว

ไม่ไกลนัก ต้นสนไหวเอนส่งเสียงซ่าซ่า แสงอาทิตย์ยิ่งแดง

ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจ้องมองไปที่ขลุ่ยกระดูกแท่งนั้น สายตาซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเสียงขลุ่ยดังขึ้นมา สายตาเขาค่อยๆ เฉยชา จากนั้นเขานั่งลงบนบันไดหิน มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า

……

……

หลังออกมาจากวัดไท่ฉาง จิ๋งจิ่วก็กลับมายังเรือนตระกูลจิ๋ง เมื่อประตูเปิดออกก็เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง

ตอนนี้ยังเช้า จิ๋งซางย่อมต้องยังทำงานอยู่ในวัดไท่ฉาง ฮูหยินจิ๋งกลับไปที่บ้านแม่เพื่อช่วยงาน บิดาของจิ๋งซางไปเดินเล่นอยู่บนถนน ภายในบ้านจึงเหลือเพียงจิ๋งหลีเพียงคนเดียว

จิ๋งหลีมองดูเขาอย่างงุนงง กล่าวถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านมาหาใครขอรับ?”

จิ๋งจิ่วปลดหมวกลี่เม่าออก คลายพายุกระบี่ที่ปกคลุมใบหน้า

จิ๋งหลีมองเห็นใบหน้าของเขา ตกตะลึงขึ้นมาในทันที กล่าวว่า “ท่านอาเล็ก ท่านกลับมาแล้วหรือ?”

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “เจ้าชื่อ…จิ๋งหลี”

จิ๋งหลีพบว่าครั้งนี้ท่านอาเล็กจำชื่อของตนเองได้ จึงรู้สึกตกใจอีกครั้ง จากนั้นรู้สึกดีใจอย่างมาก พาเขาเข้ามาในบ้านอย่างยิ้มแย้ม

จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในเรือนตระกูลจิ๋ง ทอดตามองไปรอบๆ พบว่าไม่ได้เจอสามปี ตัวเรือนใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสามเท่า แน่นอนว่าจิ๋งหลีเองก็โตขึ้นมาสามขวบ

พูดคุยกันสามสี่ประโยค จิ๋งจิ่วก็กลับมายังห้องของตนเอง พบว่าตัวหมากบนกระดานคล้ายว่าเคยถูกใครขยับ เขางุนงงเล็กน้อยจึงคิดขึ้นมาได้ เรือนตระกูลจิ๋งอยู่ใกล้วัดไท่ฉาง ที่นี่น่าจะพังทลายกลายเป็นเศษซากในเหตุการณ์ความวุ่นวายของคุกสะกดมารเมื่อหลายวันก่อน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูคุ้นตาล้วนแต่เป็นของใหม่

จิ๋งจิ่วคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง

แมวขาวมุดออกมาจากแขนเสื้อของเขา กระโดดขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง นั่งยองมองไปในสวน

จิ๋งจิ่วมองดูมัน

เขาย่อมต้องมองออกว่าจิ๋งหลีได้เริ่มบำเพ็ญเพียรแล้ว

ในอดีตตอนที่อยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา วิชาที่เขาสอนให้แก่หลิ่วสือซุ่ยก็คือลมหายใจประตูหยก

หลิวอาต้ามิได้สนใจเขา ในใจครุ่นคิดว่าตัวข้าอายุยืนยาว รับศิษย์ไว้สักคนไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ต้องให้เจ้ามาจุ้นจ้านด้วยอย่างนั้นหรือ?

ทันใดนั้นใบหูของมันพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายได้ยินอะไรบางอย่าง จึงกระโดดลงไปจากขอบหน้าต่าง หายตัวไปในพุ่มหญ้า เหลือไว้เพียงแต่เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง

จิ๋งจิ่วเดินไปยังริมหน้าต่าง มองดูต้นไห่ถังต้นนั้นที่คล้ายเมื่อในอดีต ในใจครุ่นคิดว่าการซ่อมแซมเรือนตระกูลจิ๋งจะต้องเป็นฝีมือของลู่กั๋วกงอย่างแน่นอน เช่นนั้นทางใต้ดินก็น่าจะยังอยู่

ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลันมีลมพัดมา ดอกไห่ถังร่วงตกลงมาราวหิมะ

ท่ามกลางดอกไห่ถังที่ร่วงโปรยปราย กระโปรงสีขาวพริ้วไหวแผ่วเบา ดรุณีนางหนึ่งปรากฏกายขึ้น

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้คล้ายเมื่อในอดีต

ไป๋เจ่ามองดูเขา สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วนึกว่านางจะถามเรื่องคุกสะกดมาร

เขาเตรียมตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะพูดอะไร

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุกสะกดมาร เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

สามปีมานี้เขาบำเพ็ญเพียรอยู่ในสถานที่ลับภายในวัง หลายวันก่อนเป็นเพราะแผ่นดินไหว จึงออกมาจากการเก็บตัวก่อนกำหนด สภาวะยังคง…

“ทำไมเจ้า…คล้ายหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิม?”

ไป๋เจ่ากล่าวอย่างตกตะลึง

……………………………………………………..