เมื่อได้ยินประโยคนี้ จิ๋งจิ่วรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ
ในสายตาเขามองว่าตนเองยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่เขากลับไม่รู้ว่าในสายตาของคนอื่น หน้าตาผิวพรรณเขากลับดูใสกระจ่างราวกับเซียน
จนกระทั่งคิดถึงสิ่งที่จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวเตือนในตอนนั้น จิ๋งจิ่วถึงได้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ในเวลาเดียวกันนี้เอง มีสายลมพัดผ่านโถงทางเดินเข้ามา กลิ่นดอกไม้กระทบเข้ากับใบหน้าของเขา
เขางับเข้าไปคำหนึ่ง พลังภายในร่างกายขุ่นมัวเล็กน้อย ความรู้สึกลอยล่องพลันลดลงไป
ไป๋เจ่ากระพริบตา ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองตาลายหรือเปล่า แต่นางก็ยังรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนอย่างมาก
“เจ้ามาเมืองเจาเกอทำอะไร?” จิ๋งจิ่วกล่าวถาม
ไม่เจอกันนานหลายปี จู่ๆ พลันได้ยินคำถามแบบนี้ หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวคนอื่น เกรงว่าคงจะผิดหวังและรู้สึกโมโหอย่างแน่นอน
แต่ไป๋เจ่ารู้ว่านิสัยของเขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว หาได้จงใจเย็นชาหรือว่ารักษาระยะห่างไม่ นางจึงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย
“ข้ามาตำหนักองค์ชายจิ่งซินตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้”
ในตอนที่นางออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง เมืองเจาเกอยังคงเงียบสงบ ใครจะไปคิดบ้างว่าคุกสะกดมารจะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น
ตอนนี้ตำหนักองค์ชายจิ่งซินกลายเป็นคุกแห่งหนึ่ง นางย่อมไม่เข้าไปอีก ดังนั้นจึงแวะมาเยี่ยมที่เรือนตระกูลจิ๋ง
นางไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่นี่ แต่นางก็มาที่นี่เพราะเขา
สิ่งที่เรียกว่าพบกันโดยบังเอิญ อันที่จริงแล้วมักจะต้องมีคนหนึ่งที่เดินไปหาอีกฝ่ายก่อนเสมอ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเองก็เพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน”
ตามนิสัยของเขา เขาย่อมไม่มีทางเป็นฝ่ายพูดก่อนว่าในช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาทำอะไรไปบ้าง
ไป๋เจ่ากล่าวถามว่า “หลายปีมานี้่ท่านไปอยู่ที่ไหนมา?”
“ข้าบำเพ็ญเพียรอยู่ในสถานที่ลับภายในวัง…”
จิ๋งจิ่วพูดคำตอบที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกมา
ไป๋เจ่าเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ตอนนี้กู้ชิงเป็นอาจารย์ขององค์ชายจิ่งเหยา ท่านเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในวังอย่างเงียบๆ มาสามปี ชิงซานคิดจะทำอะไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบจิ่งซิน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดราชบัลลังก์”
ที่เขาไม่ชอบจิ่งซินนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกสะกดมาร แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่จิ่งซินคิดอยากจะสังหารเจ้าล่าเยวี่ยเมื่อในอดีตด้วย เขาก็แค่รู้สึกไม่ชอบคนผู้นี้เท่านั้น
ภายหลังเมื่อรู้ว่ามารดาของจิ่งซินคือลูกศิษย์ของนักพรตไป๋ ความคิดของเขาก็ยิ่งแน่วแน่
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “หรือชิงซานจะไม่สนใจจริงๆ ว่าในร่างกายของฮ่องเต้องค์ต่อไปจะมีเลือดของปีศาจจิ้งจอกไหลเวียนอยู่? ท่านอย่าลืมเสียล่ะ เมื่อถึงตอนนั้นพระสนมหูจะกลายเป็นพระพันปี”
“จิ่งซินไม่มีทางกลายเป็นฮ่องเต้ นี่คือเรื่องที่แน่นอน ดังนั้นจิ่งเหยาจึงกลายเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียว”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วเรียบเฉย แต่กลับมีความรู้สึกมิอาจต่อต้านแฝงเอาไว้อยู่
ไป๋เจ่ารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังที่แผ่ออกมาจากในน้ำเสียงของเขา จึงมั่นใจว่าสภาวะของเขาได้ก้าวหน้าขึ้นแล้ว จากนั้นกล่าวอย่างจริงจังว่า “ขอแสดงความยินดีด้วย”
นางรู้สึกดีใจจริงๆ
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้ว่าในตอนที่อยู่ในที่ราบหิมะ จิ๋งจิ่วได้เผาผลาญปราณกระบี่เป็นเวลาหกปีเพื่อทำให้นางสามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนั้นได้ จนภายหลังเหมือนจะได้รับผลกระทบ สภาวะหยุดนิ่งไม่คืบหน้า ตอนนี้ไม่ว่าสภาวะของจิ๋งจิ่วจะก้าวหน้าไปมากน้อยเท่าไหร่ จะบรรลุไปถึงขั้นมิประจักษ์ระดับสูงหรือไม่ ขอเพียงมีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือเรื่องดี
สายตาของจิ๋งจิ่วมองไปยังร่างกายนาง รับรู้ได้ว่าจินตานของนางบริบูรณ์แล้ว เรียกได้ว่ามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นจิตทารก นี่เท่ากับสภาวะขั้นคเนจรระดับต้นของสำนักชิงซาน
แม้นจะไม่เร็วเท่าเจ้าล่าเยวี่ย แต่สำหรับหญิงสาวที่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด การที่สามารถบรรลุสภาวะได้รวดเร็วเช่นนี้ พรสวรรค์และความขยันหมั่นเพียรของนางล้วนแต่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเพราะว่านางเหมาะกับคัมภีร์ไข่มุกแดงด้วย
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถ้าภายหน้ามีโอกาส เจ้าลองไปขอคำชี้แนะจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยดู พื้นฐานของวิชานี้มาจากที่นี่”
เมื่อได้ยินชื่อสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ไป๋เจ่าก็ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไร จึงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าโลกบำเพ็ญพรตหลังจากนี้จะไม่มีทางสงบสุขเหมือนอย่างตอนนี้อีก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “โลกนี้มันก็ไม่เคยสงบสุขอย่างแท้จริงมาก่อนอยู่แล้ว”
ไป๋เจ่าเดินมายังหน้าต่าง มองดูดวงตาเขาพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่ก็ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่มีเรื่องราวต่างๆ มากมายกำลังเกิดขึ้น ข้าไม่มั่นใจว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร หลายปีมานี้เขาอวิ๋นเมิ่งเองก็ไม่ราบรื่น มีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ตลอด คล้ายมีใครแอบคอยเล่นงานพวกเราอยู่”
จิ๋งจิ่วไม่ได้กล่าวกระไร
การตายของชางหลงทำให้เกิดผลกระทบทางด้านจิตใจแก่ศิษย์สำนักจงโจวอย่างมาก เรียกได้ว่าเหนือกว่าการตายของลั่วไหวหนานในตอนนั้นเสียอีก
ไป๋เจ่าเองก็มิได้กล่าวอะไร นางเพียงแต่มองดูเขาอย่างเงียบๆ สีหน้ามีสมาธิและจริงจัง คล้ายกำลังชื่นชมภาพวาดอยู่
จิ๋งจิ่วถามว่า “ทำไมหรือ?”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ช่างงดงามจริงๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าเคยเห็นแล้ว”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ข้ากลัวว่าหลังจากนี้ โอกาสที่จะได้เห็นท่านคงจะน้อยลงเรื่อยๆ จึงอยากจะฉวยโอกาสตอนที่ยังมองเห็นท่านอยู่ มองดูท่านให้มากหน่อย”
คุกสะกดมารเกิดเรื่อง เยวี่ยเชียนเหมิน เซี่ยงหว่านซูและศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักจงโจวอยากจะเข้าไป แต่กลับถูกราชสำนักขัดขวางเอาไว้
ในตอนที่ทำการสืบสวนหลังจากนั้น สมณะตู้ไห่แห่งอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงที่ได้ชื่อว่ามีความเมตตากรุณากลับแสดงทีท่าที่แข็งกร้าวเช่นนี้ นี่ทำให้สำนักจงโจวอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างมาก
ในเรื่องราวเหล่านี้มีกลิ่นแปลกๆ โชยออกมา
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คนที่สำนักจงโจวและสำนักชิงซานสนับสนุนให้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปไม่เหมือนกัน นี่เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงสิบกว่าปีมานี้ของสองผู้นำแห่งสำนักฝ่ายธรรมะดูเหมือนจะแย่ลงอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักจงโจวในอนาคต ต่อให้ไป๋เจ่าจะชื่นชอบจิ๋งจิ่วมากแค่ไหน แต่นางจะไปอยู่กับเขาได้อย่างไร ทั้งสองฝ่ายเกรงว่ากระทั่งเพื่อนก็ยากที่จะเป็นได้
จิ๋งจิ่วมองหญิงสาวที่ดูอ่อนแอบอบบางตรงหน้าต่าง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังใต้ต้นไห่ถัง
ดวงอาทิตย์ยามเย็นคล้อยไปทางตะวันตก ท้องฟ้าค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น กลีบดอกไม้ที่หลุดร่วงลงมาจากกิ่งก้านคล้ายลุกไหม้ขึ้นมา
ถนนด้านนอกเรือนยังคงเงียบเหงา ได้ยินเพียงเสียงซ่อมแซมบ้านเรือน
ไป๋เจ่ากลับมายังใต้ต้นไห่ถัง เงยหน้ามองเขา
“การบำเพ็ญเพียรคือการฝึกฝนตนเอง พวกเราควรจะยอมรับผลกระทบของสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด เช่น สำนัก รากเหง้า สกุล สายเลือด…แต่ไม่อาจปล่อยให้พวกมันส่งผลกระทบกับเราได้”
เสียงของจิ๋งจิ่วคล้ายดอกไม้ที่กำลังร่วงโปรยปรายอยู่ในท้องฟ้ายามเย็น ดูเหมือนอบอุ่น แต่ความจริงแล้วเย็นชา
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “แต่พวกข้าคิดอยากจะก้าวข้ามสำนัก รากเหง้า หรือกระทั่งขีดจำกัดระหว่างสายเลือดมาโดยตลอด ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกัน”
พวกข้าที่นางหมายถึงก็คือตัวเอง ถงเหยียนและลั่วไหวหนานที่ตายไปแล้ว หมายถึงศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างกั้วหนานซาน หมายถึงศิษย์หนุ่มสาวจากสำนักต่างๆ ที่มีความทะเยอทะยานและความปรารถนาเหล่านั้น
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะหลิ่วสือซุ่ยก็เป็นคนแบบนี้ เขาครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ขอให้พวกเจ้าประสบความสำเร็จ”
แม้เขาจะไม่ชื่นชอบวิธีการและกลิ่นที่คล้ายคลึงกับยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้มเหลว
“เมื่อครู่ท่านเอ่ยถึงสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ทำให้ข้าคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ศิษย์น้องกั้วตงเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเรา แต่บางทีพวกเราอาจจะไม่ควรเรียกนางว่าศิษย์น้อง”
สายตาของจิ๋งจิ่วเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ถงเหยียนบอกมา”
จิ๋งจิ่วพอจะจำกั้วตงได้
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในเมืองเจาเกอครั้งนั้น เขาและเจ้าล่าเยวี่ยได้ออกไปจากงานเพื่อพบเทียนจิ้นเหริน ระหว่างทางได้ยินเสียงดีดพิณดังขึ้นมา
นั่นเป็นเสียงพิณของผู้เริ่มเรียน แต่กลับสั่นสะเทือนฟ้าดิน
ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกแล้วว่าเสียงพิณนี้คล้ายมีท่วงทำนองของเพื่อนเก่าอยู่
ศิษย์น้องกั้วตงมิใช่ศิษย์น้อง
ท่วงทำนองของเพื่อนเก่าก็คือเพื่อนเก่า
ดอกไห่ถังที่ร่วงตกลงมาจากบนต้นไม้ พลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขากระพริบตา
ดอกไห่ถังร่วงตกลงไป
จิ๋งจิ่วเข้าใจในหลายๆ เรื่อง
เขากล่าวถามว่า “กั้วตงอยู่ที่ไหน?”
…………………………………………………….