ภาคที่ 4 ตอนที่ 76 เรื่องในครอบครัว

มรรคาสู่สวรรค์

ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ถงเหยียนไม่รู้ กระทั่งตัวเขาไปที่ไหนมาก็ยังไม่ยอมบอกข้า”

ก่อนหน้านี้ที่นางรู้สึกว่ามีเรื่องกำลังจะเกิดขึ้น ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เมื่อสามปีก่อน ถงเหยียนได้หายตัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังกลับมาก็ปิดปากเงียบไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น

จิ๋งจิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร”

เขาบอกว่าไม่เป็นไร ไป๋เจ่าก็สบายใจขึ้นมาก

ถึงแม้สภาวะของนางจะสูงกว่าเขา แต่บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนที่ราบหิมะ จึงทำให้นางมีความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างมาก

จู่ๆ นางพลันสังเกตเห็นว่าวันนี้จิ๋งจิ่วสวมใส่ชุดผ้าธรรมดา

นางยกมือขึ้นมา นิ้วมือลูบไล้ไปบนเนื้อผ้าที่ค่อนข้างหยาบ ก่อนกล่าวถามอย่างสงสัยว่า “ชุดขาวชุดนั้นล่ะ?”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ชุดขาวทำขึ้นมาจากไหมฟ้า ค่อนข้างหายาก”

ความจริงบนยอดเขาเสินม่อยังมีชุดขาวอีกหลายชุด แต่ใช้ไปชุดหนึ่งก็น้อยไปชุดหนึ่ง

ตอนอยู่ในคุกสะกดมาร เขาเสียชุดขาวไปสามชุด นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ดังนั้นหลังจากออกมาแล้วจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดผ้าธรรมดา

“ไหมฟ้า…ใช่ไหมที่อยู่ในดักแด้…ในที่ราบหิมะ…นั่นหรือเปล่า?”

ไป๋เจ่าถามด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “น่าจะคล้ายๆกัน”

ไป๋เจ่าไม่รู้คิดอะไรอยู่ นางมองดูเขาอย่างเหม่อลอย

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ ยื่นมือไปจับดอกไห่ถังที่ร่วมตกลงมาจากบนยอดไม้ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

ต่อให้ไหมฟ้าจะล้ำค่าหายากเพียงใด สุดท้ายมันก็ยังหาพบได้ แต่หญิงสาวที่ใช้ไหมฟ้าทอเสื้อผ้าให้ตนเองผู้นั้น…จะต้องไม่มีทางยอมทำให้ตนเองอีกแล้วเป็นแน่

ในเวลานี้ท้องฟ้ายิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม สีของกลีบดอกไม้ดูแปลกประหลาด คล้ายกับสีสันอันละลานตาภายในหุบเขาสีเขียวที่อยู่ในคุกสะกดมารแห่งนั้น

จิ๋งจิ่วคิดถึงจักรพรรดิแห่งหมิง คิดถึงบันทึกของศิษย์พี่ คิดถึงเพื่อนเก่า จู่ๆ พลันคิดอยากจะไปดู

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อหรือว่ายอดเขาเสินม่อ เขาก็แทบจะไม่มีความคิดที่จะออกไปดูหรือไปเยี่ยมเพื่อนเก่าเลย

แต่วันนี้ความคิดนี้กลับปรากฏขึ้นมาในใจของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังชัดเจนอย่างมาก

เขาไม่คิดจะไปพบกั้วตง

ผู้หญิงคนนั้นวุ่นวายเกินไป

แต่เขาสามารถไปดูนางได้

ในตอนที่จิ๋งจิ่วมองดูกลีบดอกไม้ที่อยู่ในฝ่ามือของตน ไป๋เจ่าก็กำลังมองดูใบหน้าของเขา ต่างคนต่างครุ่นคิด

ดวงอาทิตย์ตกไปด้านหลังต้นไม้ ใต้ต้นไม้มีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ภาพดูงดงามเป็นอย่างมาก

จู่ๆ พลันมีเสียงกระดิ่งดังสดใสขึ้นมา

ไป๋เจ่าหมุนตัวมองไป ก่อนจะพบเด็กชายอายุประมาณสิบสี่สิบห้ายืนอยู่ตรงประตูสวนด้านหลัง สีหน้าดูตื่นเต้นหวาดกลัวเล็กน้อย

เมื่อคิดถึงว่าภาพตนเองที่จ้องมองจิ๋วจิ่งอย่างเหม่อลอยอาจจะถูกเด็กชายผู้นี้พบเห็นเข้า ไป๋เจ่าจึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย จึงกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “อีกสองสามวันค่อยมาคุยธุระกับท่านใหม่”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจะไปจากเมืองเจาเกอแล้ว”

ไป๋เจ่านึกว่าเขาจะกลับชิงซาน รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เตือนเขาว่าอย่าลืมมางานเลี้ยงของเขาอวิ๋นเมิงในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ ก่อนจะบอกลา

เวลาที่คนธรรมดาบอกลากันมักจะพูดว่าอย่าลืมงานเลี้ยงในอีกสองสามวันข้างหน้า

แต่การนัดหมายของผู้บำเพ็ญพรต มักจะนัดกันเป็นหลักหลายปี

ความแตกต่างกันของทั้งสอง บางครั้งมักจะทำให้คนรู้สึกปวดใจ

ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือว่าผู้บำเพ็ญพรต ก็ล้วนแต่มีเหตุผลและเรื่องที่ทำให้พวกเขาปวดใจ

หลังไป๋เจ่าออกไปจากเรือนตระกูลจิ๋ง แมวขาวก็เดินย่องออกมาจากด้านหลังจิ๋งหลี กระดิ่งบนคอส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง

จิ๋งหลีใบหน้าแดงก่ำ ใกล้จะร่ำไห้ออกมา กล่าวว่า “ท่าน…ท่านอาเล็ก ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาจะต้องถูกหลิวอาต้าบีบให้เข้ามาอย่างแน่นอน ดังนั้นย่อมไม่มีทางโทษเขา

ส่วนเหตุใดหลิวอาต้าต้องมาขัดจังหวะการสนทนาของเขากับไป๋เจ่า หากเป็นเมื่อก่อน จิ๋งจิ่วคงจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

“ไม่เป็นไร ไปเล่นเถอะ”

จิ๋งจิ่วหิ้วแมวขาวขึ้นมาจากพื้น อุ้มเอาไว้ในอ้อมอก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางห้องพัก

จิ๋งหลีมั่นใจแล้วว่ามีมีเป็นแมวของท่านอาจารย์เล็ก หาใช่ปีศาจไม่ จึงยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ ปรบมือวิ่งไปทางสวนด้านหลัง เสียงฟังดูสดใสเหมือนเสียงกระดิ่ง

……

……

ท้องฟ้ายามเย็นถอยจากไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้ามาแทนที่ ไฟในโถงด้านหน้าส่องสว่าง จิ๋งหลีและคนในครอบครัวกำลังกินข้าวพลางพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เสียงเบาๆ

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ในเงามืดภายในห้อง มองดูดอกไม้ที่ร่วงตกลงมาในมือดอกนั้น นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

ในเวลานี้ กู้ชิงได้เสร็จสิ้นงานในหนึ่งวันของตน กลับจากในวังมายังเรือนตระกูลจิ๋ง

สามปีที่ผ่านมา เขาพักอยู่ที่นี่มาโดยตลอด มีเพียงช่วงสิบกว่าวันนี้ที่ตัวเขาและตระกูลจิ๋งถูกเรือนตระกูลเจ้ารับตัวไป

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตระกูลกู้รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร

เพียงแต่ที่นี่คือเมืองเจาเกอ ต่อให้ตระกูลกู้จะรอบคอบแค่ไหน มีเงินแค่ไหน ก็ไม่มีทางเปรียบกับตระกูลเจ้าได้

กู้ชิงเดินไปยังโถงด้านหน้าก่อน กล่าวถามเรื่องเรียนของจิ๋งหลีและเรื่องการทำงานในวัดไท่ฉางของจิ๋งซางอย่างห่วงใยตามปกติ เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ๋งหลีเล่าให้ฟัง เขาพลันตกตะลึงไปทันที

เขาประกบมือกล่าวลา หมุนตัวเดินออกมาจากโถงด้านหน้าท่ามกลางรอยยิ้มของคนในตระกูลจิ๋ง

เขากลับมายังห้อง ผลักประตูแล้วพุ่งเข้าไป ก่อนกล่าวอย่างยินดีว่า “อาจารย์ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ?”

ในขณะที่พูด เขาก็หมอบคารวะลงไปกับพื้น

จิ๋งจิ่วเก็บดอกไม้ที่อยู่ในฝ่ามือ มองเขาพลางกล่าว “ลุกขึ้น”

กู้ชิงทั้งดีใจ ทั้งรู้สึกสงสัย แล้วก็มีความรู้สึกกังวล มองดูคล้ายว่าอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ไม่กล้าถามอะไรออกมา

“สามปีนี้ข้าอยู่แต่ในคุกสะกดมาร”

“ปัญหาผีกระบี่แก้ไขแล้ว”

“คนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารก็คือข้า”

“จักรพรรดิแห่งหมิงข้าเป็นคนปล่อยออกมา”

จิ๋งจิ่วใช้คำพูดสี่ประโยคที่เรียบง่ายที่สุดตอบความสงสัยทั้งหมดภายในใจของกู้ชิง แล้วก็ไม่ลืมที่จะถามเสริมไปด้วยว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าทำแบบนี้มันไม่ถูกใช่ไหม?”

ในเวลานี้กู้ชิงพอจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว เขาคาดเดาได้ว่าอาจารย์มายังเมืองเจาเกอและเข้าไปในคุกสะกดมารก็เพื่อที่จะไปเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาผีกระบี่กับจักรพรรดิแห่งหมิง

เรื่องเหล่านี้จิ๋งจิ๋วทำถูกหรือไม่ถูก? ศิษย์ชิงซานผู้หนึ่งแอบเข้าไปในคุกสะกดมาร แล้วก็เข้าไปพบจักรพรรดิแห่งหมิง เรียนวิชามารของเผ่าหมิง สุดท้ายถึงขนาดปล่อยจักรพรรดิแห่งหมิงออกมา จนทำให้ชางหลงซึ่งเป็นสัตว์เทพของสำนักจงโจวต้องตายอย่างน่าเศร้า….ในเรื่องเหล่านี้มีเรื่องไหนที่ถูกต้องหรือ?

กู้ชิงเป็นเด็กรับใช้อยู่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างมาตั้งแต่เล็ก ได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนแบบดั้งเดิมจากทั้งตระกูลกู้และชิงซาน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องที่จิ๋งจิ่วทำเหล่านี้ได้ แต่เขาเป็นศิษย์ หรือจะให้เขาตำหนิอาจารย์ว่าทำผิดอย่างนั้นหรือ? หมื่นพันถ้อยคำสุดท้ายเหลือเพียงประโยคเดียว “อาจารย์…เรื่องแบบนี้มันอันตรายเกินไป ต่อไประวังเอาไว้หน่อยจะดีกว่านะขอรับ”

เมื่อหวนคิดถึงช่วงเวลาสามปีในคุกสะกดมาร ช่วงเวลาที่ยุ่งยากที่สุดย่อมต้องเป็นตอนที่กำลังจะออกมา จู่ๆ ก็ถูกดวงจิตของชางหลงเข้ามาขวางเอาไว้ แต่จนกระทั่งถึงตอนนั้น สถานการณ์ยังถือว่าอยู่ในจุดที่ควบคุมได้ เขาเชื่อว่าจักรพรรดิแห่งหมิงรู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไร ก็เหมือนกับที่ตนเองรู้ว่าจักรพรรดิแห่งหมิงกำลังคิดอะไร

ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดอย่างแท้จริง ความจริงแล้วไม่มีใครมองเห็น รวมไปถึงเหล่ายอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่อยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าในตอนนั้นด้วย

ในตอนนั้นชางหลงได้ใช้สวรรค์ในกาอีกครั้ง แปลงตัวเองให้กลายเป็นงูสีดำตัวเล็กอยู่ในบ่อโคลน แมวขาวกำลังจ้องมองมันอยู่ในเศษซากปรักหักพัง เตรียมจะกระโจนเข้าไปฉีกมันเป็นชิ้นๆ

หากไม่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วเข้าไปขวางแมวขาวเอาไว้ เช่นนั้นไม่ว่าตัวเขา ศิษย์พี่ ฮ่องเต้หรือวัดกั่วเฉิงจะคิดเช่นไร จัดการเช่นไร ก็ล้วนแต่ไร้ความหมาย

สำนักจงโจวและสำนักชิงซานจะต้องเปิดศึกใส่กันอย่างแน่นอน

โชคดีที่เรื่องเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น

“ข้าเตรียมจะกลับแล้ว เจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง?” จิ๋งจิ่วถามกู้ชิง

กู้ชิงคิดอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์ย่อมต้องการกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ชิงซาน แต่..ถ้าหากอาจารย์ต้องการให้ข้าอยู่ที่เมืองเจาเกอต่อ ข้าก็จะอยู่ขอรับ”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องทางนี้ยังถือว่าสำคัญ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่สำคัญเท่าการบำเพ็ญของตัวเจ้า เวลาสามปีถือว่าเพียงพอแล้ว เจ้าเองก็กลับเถอะ”

กู้ชิงดีใจเป็นยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดว่าในที่สุดก็ได้กลับชิงซานแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้วานรในยอดเขาเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง

เสียงกระดิ่งดังขึ้นเบาๆ แมวขาวกระโดดขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง ส่งเสียงร้องเมี้ยว ความหมายก็คือ รีบกลับ รีบกลับ