ภาคที่ 4 ตอนที่ 77 กั้วตงเป็นใครกันแน่?

มรรคาสู่สวรรค์

ในคืนวันนั้น ลู่กั๋วกงได้ส่งจิ๋งจิ่วและกู้ชิงเข้าไปในวัง

พระสนมหูทราบข่าวล่วงหน้า จับจิ่งเหยาอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน มิได้แต้มน้ำหอมและเครื่องประทินผิวใดๆ เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวนั่งรออยู่ในตำหนัก

ในอดีตตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยเดินทางไปยังมณฑลหนานเหอ เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ก็เคยแต่งกายเช่นนี้ ภาพลักษณ์ของอาจารย์เซียนชิงซานที่มีต่อคนบนโลกมักจะเป็นเช่นนี้…ซึ่งมันก็ถูกต้อง

จิ๋งจิ่วดูพึงพอใจองค์ชายเล็กในวันนี้ กว่าครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดสองสามประโยค ก่อนจะให้นางกำนัลอาวุโสพาองค์ชายเข้าไปนอน

องค์ชายจิ่งเหยาถูกมารดาเตือนมาเป็นเวลานานแล้ว จึงรู้สึกค่อนข้างประหม่า ขณะที่กล่าวคำว่าอาจารย์ปู่ในตอนที่บอกลา เสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย ดูน่ารักเป็นยิ่งนัก

จิ๋งจิ่วมองดูกู้ชิง

กู้ชิงกล่าวว่า “ไม่ได้เสแสร้ง องค์ชายฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”

คนฉลาดที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องใช้ลูกเล่นลูกไม้ใดๆ

พระสนมหูนั้นไม่ได้ถือว่าฉลาดอย่างแท้จริง หลังงุนงงอยู่ครู่ถึงได้เข้าใจว่าจิ๋งจิ่วกับกู้ชิงกำลังคุยอะไรกัน จึงส่งสายตาขอบคุณไปทางกู้ชิง

จากนั้นนางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามอย่างตื่นเต้นว่า “จะพาเขาไปชิงซานเลยหรือ?”

อายุเพียงเท่านี้ก็ต้องถูกส่งไปฝึกอย่างยากลำบากที่ชิงซาน ในฐานะที่เป็นแม่ย่อมต้องรู้สึกทำใจไม่ได้ แต่นางก็เข้าใจว่าตอนนี้จิ่งซินถูกขังเอาไว้ ลูกชายของตนเองก็จะกลายเป็นเป้าหมายของทุกๆ คน ทุกคนคิดอยากจะยื่นมือเข้ามาในตำหนัก แทนที่จะต้องมานั่งหวาดระแวงอยู่ที่นี่ สู้หนีไปให้ไกลดีกว่า

“ข้าเพียงแต่มาเพื่อทำให้เจ้าสบายใจ ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจว่ามันมีประโยชน์อะไรก็ตาม”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ศิษย์ชิงซานเป็นเพียงแค่สถานะหนึ่งที่มอบให้แก่เขา ต่อไปเขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูความเห็นของบิดาของเขา”

เมื่อกล่าวจบ เขากับกู้ชิงก็ออกไปจากตำหนัก มองไปทางส่วนลึกของวังที่อยู่ในความมืด ถือเป็นการบอกลาฮ่องเต้

……

……

แสงดาราสาดส่อง สายธารไหลเอื่อย เงาของกำแพงเมืองเจาเกอดูชัดเจน

กู้ชิงกล่าวถามว่า “อาจารย์ จะใช้รถหรือเปล่าครับ?”

คนบนยอดเขาเสินม่อต่างทราบดีว่าจิ๋งจิ่วมีโรคประหลาด นั่นก็คือเมื่อเทียบกับการขี่กระบี่แล้ว เขายินยอมที่จะเดินหรือว่านั่งรถมากกว่า

ตระกูลกู้สร้างรถเอาไว้ให้เขาโดยเฉพาะคันหนึ่ง เคยใช้มันส่งหลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอไปยังวัดกั่วเฉิง ตอนนี้จอดอยู่ที่เมืองอวิ๋นจี๋

หากจิ๋งจิ่วอยากจะนั่งรถ กู้ชิงจะให้ตระกูลกู้นำรถคันนั้นบินส่งมา พวกเขาเพียงแค่ต้องรออยู่ที่อำเภอทงฉวีครึ่งคืนเท่านั้น

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ต้อง ประเดี๋ยวข้าจะไปยังที่ที่หนึ่ง เจ้ากลับไปชิงซานได้เลย”

กู้ชิงรู้สึกแปลกใจ เดิมการออกมาจากเมืองเจาเกอในเวลากลางคืนก็ค่อนข้างแปลกอยู่แล้ว แต่นี่อาจารย์ยังยอมขี่กระบี่แทนที่จะนั่งรถอีก…

อาจารย์จะไปที่ไหนกันแน่ ทำไมถึงได้รีบร้อนเพียงนี้?

เมื่อคิดถึงเรื่องวุ่นวายที่จิ๋งจิ่วก่อขึ้นมาในคุกสะกดมาร กู้ชิงไหนเลยจะกล้าจากไปทั้งแบบนี้ จึงยืนกรานที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขา

จิ๋งจิ่วย่อมไม่มานั่งพูดกล่อมเขา เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะขี้เกียจพูด เขาเอาแมวออกมาจากในแขนเสื้อแล้วยื่นให้ กู้ชิงพลางกล่าวว่า “เจ้านั่งข้างหลัง”

ครั้นพูดประโยคนี้จบ กระบี่เหล็กก็พุ่งออกมาจากด้านในร่างกายเขา ลอยนิ่งๆ อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน สะท้อนแสงดาวระยิบระยับ

หลังถูกกัดกร่อนอยู่ในบึงน้ำสีเขียวมาเป็นเวลาสามปี รอยไหม้ที่อยู่บนผิวนอกของกระบี่แลดูแวววาวขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้หดเล็กลง ในทางกลับกัน มันกลับขยายกว้างขึ้น เพียงพอให้คนหลายคนนั่งได้

แต่สิ่งที่กู้ชิงสนใจกลับเป็นเรื่องอื่น เขามองดูกระบี่เหล็กอย่างยินดี

จิ๋งจิ่วเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเอากระบี่เข้าไปเก็บไว้ในร่างกายได้ แล้วก็ไม่สามารถเลี้ยงให้กลายเป็นผีกระบี่ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินทางออกจากชิงซาน แอบเข้าไปในคุกสะกดมาร

ตอนนี้กระบี่เหล็กได้รวมเป็นหนึ่งกับเขาแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเขาแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้แล้ว อย่างนี้ไม่เท่ากับว่ามีหวังจะเข้าสู่ขั้นคเนจรหรอกหรือ?

กระบี่เหล็กแหวกอากาศพุ่งออกไป บินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือภายใต้แสงดาวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หายลับไปในท้องฟ้าอันมืดมิด

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ด้านหน้า กู้ชิงอุ้มแมวนั่งอยู่ด้านหลัง

ถึงแม้จะมีร่างกายของจิ๋งจิ่วคอยบังอยู่ แต่ลมอันรุนแรงที่พัดเข้ามาจากรอบด้านก็ยังทำให้ใบหน้าของเขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

ตอนนี้สภาวะของเขาค่อนข้างสูง แต่กลับยังถูกลมอันรุนแรงรบกวนได้ นี่แสดงให้เห็นว่ากระบี่เหล็กบินอยู่สูงมากและรวดเร็วมาก

กู้ชิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่ของอาจารย์ลุงม่อเป็นกระบี่ธรรมดา เหตุใดเมื่ออยู่ในมือของอาจารย์กลับคล้ายเป็นกระบี่ชั้นเซียนอย่างไรอย่างนั้น

ส่วนเรื่องที่ลมพายุรุนแรงถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดจิ๋งจิ่วกลับคล้ายไม่รู้สึกอะไรเลย กู้ชิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

เขาไม่ได้ตำหนิจิ๋งจิ่วว่าหนังหน้าหนา หากแต่เดิมภายในใจเขาคิดว่าอาจารย์ก็มิใช่ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ย่อมมิอาจใช้มาตรฐานของผู้บำเพ็ญพรตธรรมดามาวัดได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว ก็มีเขานี่แหละที่เชื่อมั่นมากที่สุด

……

……

ในตอนที่กระบี่บินลงมายังทุ่งกว้าง ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ดูเหมือนเลือดส่องไปบนที่ราบหิมะที่อยู่ทางเหนือ ทำให้ที่นั่นยิ่งดูลึกลับและอันตราย

ใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถเดินทางจากเมืองเจาเกอมาถึงที่นี่ได้ กู้ชิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก

แล้วก็เป็นเพราะว่าเขาถูกลมอันรุนแรงพัดมาเป็นเวลาหนึ่งวัน ร่างกายได้แข็งทื่อไปหมดแล้ว ใบหน้ารู้สึกเจ็บปวด

เสื้อผ้าของจิ๋งจิ่วเองก็ถูกลมอันรุนแรงฉีกจนเป็นริ้วๆ กลายเป็นเศษผ้าโบกสะบัดไปมาอยู่ในสายลม ดูคล้ายขอทานที่งดงาม

ที่ราบหิมะที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นดูเงียบสงบ คำว่าลึกลับและอันตรายที่ว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผู้คนแต่งเติมเข้าไป

ราชินีแคว้นเสวี่ยน่าจะกำลังเลี้ยงลูกอยู่ ไหนเลยจะมีใจมานั่งสนใจว่ามนุษย์กำลังคิดอะไรอยู่

ชาวเมืองในเมืองไป๋เฉิงไม่ทราบถึงความลับเหล่านี้ พวกเขาเพียงแต่รู้ว่าสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ภายในเมืองจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ชาวเมืองที่นี่ล้วนแต่เป็นสาวก ศาสนาที่พวกเขานับถือคือศาสนาที่ผสมกันระหว่างสำนักฌานและนิกายเฟิงเตา ค่อนข้างบ้าคลั่ง แต่ก็ศรัทธาเป็นอย่างมาก

ธงหลากสีจำนวนหลายร้อยผืนประดับประดาเมืองไป๋เฉิงจนดูเหมือนเจ้าสาวคนใหม่ เมื่อมองลงไปจากบนหน้าผากที่จิ๋งจิ่วยืนอยู่ ความจริงธงเหล่านั้นล้วนแต่ชี้ไปยังที่ที่หนึ่ง

วัดเล็กๆ แห่งนั้นที่อยู่ระหว่างเมืองไป๋เฉิงและผาแดง

จิ๋งจิ่วมองดูวัดเล็กๆ แห่งนั้นอย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังมิได้พูดอะไรออกมา

ในที่สุดร่างกายกู้ชิงก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวเสียงสั่นว่า “อาจารย์ ท่านกำลังหาคนหรือขอรับ?”

จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมคำหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ได้ยินว่ากั้วตงจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่บ่อยๆ”

กู้ชิงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินชื่อนี้

มิใช่ไป๋เจ่า แต่ยังมีกั้วตงอีกหรือนี่?

นางเป็นศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าหน้าตาค่อนข้างธรรมดา…เอาล่ะ อาจารย์ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องหน้าตา

“อาจารย์อาเจ้ารออาจารย์อยู่ที่นี่ปีกว่า ที่วัดเล็กๆ แห่งนั้นขอรับ”

กู้ชิงพลันกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจัง

จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของเขา จึงยื่นมือไปลูบศีรษะเขา กล่าวว่า “ข้ารู้”

……

……

กระบี่เหล็กแหวกอากาศขึ้นไป

ใช้เวลาไม่นาน พวกเขามาถึงเมืองจวี้เย่ที่อยู่ห่างจากเมืองไป๋เฉิงไปทางใต้เจ็ดร้อยลี้

ท้องฟ้ามืดมิด บนถนนยังคงคึกคัก โรงเตี๊ยมหลายแห่งยังคงมีคนกินอาหารอยู่ ขณะเดียวกันก็มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารที่มีประโยชน์

สถานที่ในการแลกเปลี่ยนข่าวสารที่สะดวกที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนมิใช่หอนางโลม แล้วก็มิใช่เหลาสุรา หากแต่เป็นโรงหมอ

โรงหมอที่บนแผ่นป้ายมีการแกะสลักรูปดอกไห่ถัง ดอกพุดซ้อน และดอกไม้นานาชนิดเอาไว้

จิ๋งจิ่วมองดูดอกไม้ที่ไม่รู้จักบนแผ่นป้ายพลางส่ายศีรษะ เขาติดต่อกับเจวี่ยนเหลียนเหรินมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนี้

กู้ชิงอุ้มแมวขาวเดินขึ้นไปบนบันไดหิน เคาะประตูโรงหมอ

กลางดึกโรงหมอก็ยังรับคนไข้ แต่น้อยนักที่จะมีคนสองคนและแมวหนึ่งตัว

ยิ่งไปกว่านั้นสภาพของทั้งสองคนนี้ยังดูกระเซอะกระเซิง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ป่วย หรือว่าคนป่วยคือแมวที่หลับตาอยู่ตัวนั้น?”

“คุณลูกค้า พวกเราไม่รักษาแมว..”

พนักงานของโรงหมอผู้นั้นยังไม่ทันพูดจบก็เงียบไป รีบพาพวกเขาเข้าไปในโรงหมอ จากนั้นปิดประตูหน้าลง

จิ๋งจิ่วถอดหมวกลี่เม่าออก เผยใบหน้าออกมา

กู้ชิงอุ้มแมวขาวยืนอยู่ด้านหลัง

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้

บนโต๊ะมีชาอยู่สามถ้วย

หลังชาร้อนในถ้วยเย็นชืดลง ในที่สุดหมอก็กลับมา

“อาจารย์เซียนรีบร้อน เวลาวันเดียวสืบไม่พบอะไรจริงๆ ยังคงเป็นข้อมูลของเมื่อก่อน ขออาจารย์เซียนอย่าได้ต่อว่า”

หมอยิ้มเจื่อน ในใจครุ่นคิดว่าเมื่อคืนท่านเพิ่งถามข้อมูลไปที่เมืองเจาเกอ วันนี้ท่านก็มายังเมืองจวี้เย่แล้ว มันไม่มีข้อมูลไหนที่มันบินตามท่านทันหรอก

จิ๋งจิ่วกล่าว “เชิญว่ามา”

หมอกล่าวว่า “ไม่มีใครรู้ที่มาของกั้วตง คล้ายว่านางจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา

จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อไร?”

หมอหยิบเอาหยกก้อนหนึ่งจากในแขนเสื้อมากำไว้ในมือ กล่าวว่า “นี่ต้องว่ากันไปถึงตอนที่เหลียนซานเยวี่ยเก็บตัวเพื่อบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์เมื่อหลายปีก่อน….”

ยังไม่ทันพูดจบ จิ๋งจิ่วพลันกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องโกหก หลายปีก่อนนางก็บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ไปแล้ว”