บทที่ 242 เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป
“พูดยากนะ มันก็แล้วแต่สถานการณ์” หลินเป่ยเฉินตอบกลับอย่างระมัดระวัง
ในที่สุด เขาก็สามารถฉีกเนื้ออุ้งตีนหมีได้สำเร็จ และเด็กหนุ่มก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าอาหารของโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ช่างอร่อยไปเสียทุกเมนู หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่กำลังรับประทานอยู่คืออุ้งตีนหมีจริงๆ หรือไม่ เอาเป็นว่าหากมีโอกาสเขาก็จะลองสอบถามพ่อครัวดูว่ามันเป็นอุ้งตีนของสัตว์ชนิดไหนกันแน่ เผื่อว่าในอนาคตเขาจะได้หาโอกาสรับประทานอีก
เด็กหนุ่มหยิบถุงตีนหมีชิ้นใหม่ขึ้นมาแกะเนื้อต่อไป
“พี่เฉินจำเป็นต้องชนะการแข่งขันครั้งนี้หรือไม่เจ้าคะ?”
เยว่เว่ยหยางถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะรับประทานผลไม้จากถาดอาหาร
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เมื่อก่อนก็สำคัญอยู่หรอก แต่บัดนี้…”
เด็กหนุ่มกำลังคิดถึงแผนการเดิมพันในบ่อนพนัน ป่านนี้หวังจงน่าจะรับเงินมาเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็คงได้เพิ่มมาอีกหลายพันเหรียญทองคำ ส่วนตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง สำหรับหลินเป่ยเฉินแล้ว ถือว่าเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น
เมื่อคิดถึงจำนวนเงินที่ตนเองจะได้มาจากการพนัน หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว
คราวนี้แหละ เขาไม่มีทางยอมให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามได้มาหลอกลวงเอาเงินอีกแล้ว
“แต่บัดนี้ การเอาชนะเฉาพั่วเถียนให้ได้ คือสิ่งที่สำคัญกับข้ามากที่สุด”
หลินเป่ยเฉินเตรียมคำตอบนี้เอาไว้เนิ่นนานแล้ว
“ถ้าพี่อยากได้ตำแหน่งผู้ชนะ ข้าก็พร้อมที่จะหลีกทางให้”
เยว่เว่ยหยางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองนักบวชสาว
รอยยิ้มของนางช่างอ่อนหวานและบริสุทธิ์
“โชคดีที่ข้ายังพอมีความสามารถอยู่บ้าง” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป
เยว่เว่ยหยางพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ตอบรับว่า “ข้ารู้” หลังจากนั้นนางก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องราวเรื่องหนึ่ง”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินนึกถึงหัวหน้านักพรตหญิงชินที่มีความงดงามราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์
นับตั้งแต่ที่เขาทะลุมิติมายังโลกใบนี้ หลินเป่ยเฉินได้พบเจอกับหญิงสาวหน้าตาดีจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นมู่ซินเยว่ หลิงเฉิน เยว่เว่ยหยาง เยว่หงเซียง หรือแม้แต่ไป๋ชินหยุน…
ช่างเถอะ เขาอย่าไปนึกถึงยัยเด็กกะโปโลนั่นเลย
แต่เหล่านี้จัดเป็นสตรีผู้มีความงามไม่แพ้ผู้ใดในใต้หล้า
แม้แต่ความงามของหมู่มวลดอกไม้ในยามที่เบ่งบานที่สุด ก็ยังงามสู้รอยยิ้มของพวกนางไม่ได้
แต่สำหรับกับนักพรตหญิงชิน ทุกอย่างต่างออกไป
นางเป็นคนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ลักษณะท่าทีของนางเต็มไปด้วยความสงบสุขุม แต่เวลาที่นักพรตหญิงชินยิ้มแย้ม กลับสามารถละลายหัวใจผู้คนได้ราวเปลวไฟในเตาหลอมเหล็ก
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะเคยเจอนักพรตหญิงชินเพียงครั้งเดียว แต่เขาก็จดจำทุกอย่างเกี่ยวกับนางได้ไม่รู้ลืม ทุกครั้งที่นึกถึง เด็กหนุ่มจะถึงกับเหม่อลอยไปในชั่วพริบตา “เรื่องราวอะไรหรือ?”
เขาถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
เยว่เว่ยหยางเรียบเรียงคำพูดและตอบว่า “อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่าท่านพี่ถิงซานเคยทดสอบพละกำลังในร่างกาย และสามารถยกรูปปั้นเทพีกระบี่ได้ด้วยมือข้างเดียวโดยไม่ใช้พลังลมปราณด้วยซ้ำ”
สามารถยกรูปปั้นเทพีกระบี่ได้ด้วยมือเดียวอย่างนั้นหรือ?
รูปปั้นเทพีกระบี่ได้ยินมาว่านี้มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 20,000 ชั่งไม่ใช่หรือไง
หลินเป่ยเฉินอดประหลาดใจไม่ได้จริงๆ
อีกนัยหนึ่งก็คือ เยว่เว่ยหยางต้องการจะบอกว่าพี่สาวของเขาเคยยกน้ำหนักได้ 20,000 ชั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนใช่ไหม?
เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่หลินถิงซานสามารถยกกระถางได้ 2,500 ชั่ง ก็กลายเป็นเพียงเรื่องตลกชวนหัวเราะไปทันที
ดังนั้น สิ่งที่เยว่เว่ยหยางต้องการจะสื่อสารกับหลินเป่ยเฉินก็คือ ตอนที่เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง พี่สาวของเขาไม่ได้เอาจริงสินะ?
ทำไมนางถึงทำเช่นนั้น?
หรือเป็นเพราะว่าในจำนวนคนรุ่นเดียวกัน ไม่มีใครคู่ควรที่จะทำให้นางแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา?
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เจอหน้าพี่สาวร่วมสายเลือดเลยสักครั้งตั้งแต่ที่เขาทะลุมิติมายังโลกใบนี้
แต่มันก็เป็นเพียงความประหลาดใจเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มสงสัยมากที่สุดก็คือ เยว่เว่ยหยางมาบอกเรื่องราวเหล่านี้กับเขาเพื่ออะไร?
แต่ดูเหมือนว่าเยว่เว่ยหยางจะรับทราบข้อสงสัยของหลินเป่ยเฉิน นางจึงรีบอธิบาย “ข้าเพียงรู้สึกว่าพี่เฉินกำลังประมาทมากเกินไป ท่านคิดว่าในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดจะเป็นคู่แข่งของท่านได้เลยใช่หรือไม่? ท่านกลัวว่าเมื่อถึงเวลาแข่งขันจริงๆ แล้วตนเองจะไม่สนุก จึงเป็นสาเหตุให้พี่เฉินตัดสินใจเดิมพันชีวิตกับเฉาพั่วเถียนเพื่อเพิ่มความท้าทายให้ตนเอง”
“แต่ความจริงแล้ว การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองมีความน่ากลัวมากกว่าที่ท่านคิดหลายเท่า ท่านต้องไม่ลืมว่านี่คือการแข่งขันที่รวบรวมยอดอัจฉริยะจากทั่วเมือง นอกจากเฉาพั่วเถียนแล้ว ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่สามารถเป็นคู่แข่งของท่านได้ อย่างเช่น อย่างเช่น…”
พูดมาถึงตรงนี้ เยว่เว่ยหยางกลับก้มหน้าต่ำ สองแก้มแดงระเรื่อ
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เขาเข้าใจความหมายของเยว่เว่ยหยางแล้ว
นอกจากเฉาพั่วเถียน ก็ยังมีผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่เป็นคู่ต่อกรที่น่ากลัวของเขาได้ อย่างเช่นนางนี่เอง
นักบวชสาวยกหลินถิงซานขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพื่อจะเป็นการสื่อความหมายบอกเขาในตัวว่า ที่ผ่านมานางก็ยังไม่ได้เอาจริงเหมือนกันใช่หรือไม่?
เพียงแต่นางเลือกที่จะออมมือ เพราะเห็นแก่หน้าเขาอย่างนั้นหรือ?
การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองอาจมีความสำคัญกับใครหลายคนก็จริง
สำหรับกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในโลกใบนี้ นี่คงเป็นเสมือนบันไดมังกรที่ทอดนำพวกเขาขึ้นไปสู่สวรรค์
แต่สำหรับหลินเป่ยเฉิน มันแทบไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลย เขาแค่อยากจะหาวิธีกลับโลกมนุษย์ก็เท่านั้นเอง
เด็กหนุ่มไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าบิดากับพี่สาวของตนเองจะหายหัวไปไหน
ก็ทำไมเขาจะต้องไปห่วงใยคนที่ตนเองไม่เคยผูกพันในโลกนี้ด้วยเล่า?
ส่วนสาเหตุที่หลินเป่ยเฉินเดิมพันชีวิตกับเฉาพั่วเถียน ก็เป็นเพราะว่าเขาทนพฤติกรรมของเจ้าหนุ่มหัวทองคนนั้นไม่ไหวอีกแล้ว
มิเช่นนั้น เขาก็คงเลือกที่จะอยู่ในความสงบ และปล่อยให้คนอื่นแก่งแย่งแข่งขันกันไปตามสบาย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเยว่เว่ยหยางจะมองออกว่าเขาประมาทมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินเจตนาพ่ายแพ้เพื่อทำให้อัตราการต่อรองในบ่อนพนันเพิ่มสูงขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณนักบวชเยว่มากที่เป็นห่วง” หลินเป่ยเฉินไม่สนใจอธิบายอะไรเพิ่มเติม นอกจากยิ้มแย้มตอบกลับไปพอเป็นพิธี
เยว่เว่ยหยางรู้ดีเช่นกันว่าเด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของนางแล้ว จึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
หลังพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค นักบวชสาวก็ลุกขึ้น ยกถาดอาหารไปนั่งรับประทานคนเดียวเงียบๆ
หลินเป่ยเฉินรับประทานไปพลางนึกถึงคำพูดของเยว่เว่ยหยางไปพลาง
อะไรคือความหมายที่แท้จริงของการเข้าร่วมแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองกันแน่?
หลินเป่ยเฉินไม่เคยให้ความสนใจในเรื่องนี้มาก่อน
แม้แต่วิหารเทพกระบี่ที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ก็ยังส่งลูกศิษย์ของตนเองมาเข้าร่วมแข่งขัน
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็รู้สึกขนลุกมากขึ้นเท่านั้น โชคดีเหลือเกินที่เขาเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมา ไม่ใช่ผู้ที่จะอยู่ปักหลักแย่งชิงอำนาจในดินแดนแห่งนี้ตลอดไป
เมื่อรับประทานจนอิ่มหนำแล้ว หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกผิดปกติ เหมือนมีบางอย่างขาดหาย
ระหว่างที่เขาเดินกลับมาจากการนำถาดอาหารที่ว่างเปล่าไปคืนพ่อครัว เด็กหนุ่มก็เห็นหลิงเฉินกำลังยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามอยู่เพียงคนเดียวในสนามหญ้าทางทิศตะวันตก เส้นผมสีดำสนิทของนางปลิวไสวตามแรงลม แล้วในทันใดนั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
สิ่งที่ขาดหายไปอย่างนั้นหรือ?
แน่นอน สิ่งที่ขาดหายไปก็คือหลิงเฉิน
ปกติแล้วบุตรสาวของท่านผู้ว่าการเมืองจะตามติดเขาเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะทุกครั้งที่เยว่เว่ยหยางอยู่ใกล้ชิดหลินเป่ยเฉิน นางก็จะพุ่งเข้ามาเหมือนกับเสือดาวผู้ดุร้าย และยืนประจำการแสดงความเป็นเจ้าของเขาตลอดเวลา
แต่วันนี้ หลิงเฉินกลับไม่มาปรากฏตัว
หรือว่านางจะตัดใจจากเขาได้แล้วนะ?
ในที่สุด หลิงเฉินก็ยอมรับความจริงแล้วอย่างนั้นหรือ?
“ดีแล้วละ ทีนี้เราก็ไม่ต้องมีปัญหารบกวนใจอีกแล้ว” หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มด้วยความสบายใจ ก่อนจะเดินกลับไปหาฮันปู้ฟู่และเริ่มปรับเปลี่ยนระดับพลังลมปราณให้พร้อมสำหรับการแข่งขันต่อไป
แต่ไม่รู้ทำไม หลินเป่ยเฉินกลับเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล