บทที่ 241 พวกเราเคยรับประทานแต่อาหารหมู
ชื่อของเยว่หงเซียงปรากฏเป็นอันดับแรกในรายชื่อผู้ตกรอบอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อรวบรวมผลคะแนนจากการทดสอบทั้งสองส่วนแล้วนั้น เยว่หงเซียงนับว่ามีคะแนนไม่ต่ำต้อย แต่เมื่อนำมาเทียบกับบรรดายอดอัจฉริยะคนอื่นๆ เด็กสาวก็ยังตามหลังพวกเขาอยู่อีกหลายขุม
โดยเฉพาะตอนที่ข้ามสะพานกระดาษล้มเหลว อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เยว่หงเซียงมีคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
เช่นเดียวกับตอนที่ใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนไหวผ่านพายุลูกธนู ที่เยว่หงเซียงก็ทำเวลาได้ต่ำกว่ามาตรฐานการแข่งขันหลายเท่า
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการที่เด็กสาวสามารถเข้ามาถึงรอบนี้ได้ ก็เป็นเพราะอาศัยความช่วยเหลือของหลินเป่ยเฉินมาตลอด
สุดท้าย เมื่อต้องแข่งขันกันอย่างเอาจริงเอาจัง เยว่หงเซียงจึงไม่สามารถเอาตัวรอดได้อีกต่อไป
ไป๋ชินหยุนก็ตกรอบไปพร้อมกับเยว่หงเซียงด้วยเช่นเดียวกัน
เด็กสาวอกภูเขาไฟผู้เป็นลูกศิษย์ปี 1 ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม เพิ่งจะเข้าร่วมการแข่งขันเป็นปีแรกเท่านั้น นางจึงมีความรู้เกี่ยวกับวิชายุทธ์อย่างจำกัด แต่ด้วยความที่มีพรสวรรค์และความสามารถเหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ไป๋ชินหยุนจึงสามารถผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้สำเร็จ และนางก็สามารถทำคะแนนโดยรวมได้ดีกว่าเยว่หงเซียง แต่สุดท้ายแล้ว เด็กสาวทั้งสองคนก็ต้องกอดคอตกรอบไปด้วยกันทั้งคู่
และถึงแม้ว่าฮันปู้ฟู่จะทำคะแนนอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย แต่เขาก็ยังสามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
เท่ากับว่า ณ บัดนี้ จะเหลือผู้เข้าแข่งขันในรอบต่อไปอีก 52 คน
ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน 10 คนที่ตกรอบ พวกเขาได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ บางคนยืนนิ่งเงียบ บางคนร้องไห้ครวญคราง ในขณะที่บางคนดวงตาแดงก่ำอย่างน่าหวาดกลัว…
แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น
ด้วยความรักและหลงใหลในวิทยายุทธ์ มันทำให้พวกเขาเลือกที่จะไล่ล่าทำตามความฝัน และเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันอันยิ่งใหญ่
ถ้าใจไม่รักพวกเขาคงไม่มาอยู่ที่นี่
ถ้าไม่มีความหลงใหลอย่างแท้จริง พวกเขาคงไม่มาอยู่ที่นี่
ทุกคนต่างก็หวังที่จะชนะการแข่งขัน เพื่อนำเกียรติยศกลับไปมอบให้สถาบันและครอบครัว
ทุกคนต่างมีเหตุผลที่จะต่อสู้
มีใครบ้างที่อยากจะถูกขับไล่ออกไปจากเส้นทางแห่งความฝัน?
สำหรับการเดินทางตามหาแสงสว่างของชีวิต มีใครบ้างที่อยากจะยอมรับว่าตนเองมีความต่ำต้อยมากกว่าผู้อื่น?
โชคร้ายที่นี่คือการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง
เมื่อมีคนเข้ารอบ
ก็ต้องมีคนตกรอบ
แม้จะมีความพยายามมากแค่ไหน แต่เมื่อมีฝีมือไม่เก่งกาจมากพอ พวกเขาก็ต้องยอมรับความเป็นจริงที่โหดร้าย
“เอาล่ะ ทุกคน ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้ว นำป้ายชื่อของพวกเจ้าไปรับอาหารได้ที่โรงอาหารของสถานศึกษากระบี่หลวง เมื่อรับประทานเสร็จ ก็ขอให้ทุกคนใช้เวลาพักผ่อน เพราะในช่วงบ่าย เราจะมาทำการทดสอบความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสมุนไพรและการควบคุมพลังลมปราณกันต่อ และผู้ที่สามารถผ่านเข้ารอบไปได้ในวันนี้ ก็จะได้เข้าสู่รอบการประลองกระบี่และรอบแบ่งกลุ่มชิงธงเป็นลำดับต่อไป ทุกอย่างก็มีเพียงเท่านี้ ขอให้แยกย้ายกันไปได้”
เหมยซือหยวนพูดเสียงดังกังวาน
แล้วกลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็แยกย้ายกันไปโดยเร็ว
เยว่หงเซียงกับไป๋ชินหยุนต่อให้อารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่พวกนางก็ยังเข้ามาแสดงความยินดีกับหลินเป่ยเฉินและฮันปู้ฟู่ แต่อันที่จริง พวกนางอยากมาแสดงความยินดีกับฮันปู้ฟู่แค่คนเดียวมากกว่า เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าอย่างไรเสีย หลินเป่ยเฉินก็ต้องได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปแน่นอน
แต่สำหรับกับฮันปู้ฟู่ เขามีสถานะเป็นลูกศิษย์อันดับ 1 ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม การที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ ย่อมแสดงให้เห็นว่าสถานศึกษาของพวกเขาก็มีดีไม่แพ้สถาบันอื่นๆ และไม่ใช่มีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เป็นจริง
หากเป็นในอดีต บัดนี้ชื่อเสียงของฮันปู้ฟู่คงโด่งดังไปทั่วเมืองแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เขาต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของหลินเป่ยเฉิน ความยอดเยี่ยมอย่างร้ายกาจของหลินเป่ยเฉิน ทำให้ความสำเร็จของฮันปู้ฟู่ดูราบเรียบธรรมดาไปทันที
ถึงกระนั้น ฮันปู้ฟู่ก็ยังมีค่ามากพอที่เพื่อนๆ จะมาร่วมแสดงความยินดี
“เส้นทางของพวกเราจบลงแล้ว”
เยว่หงเซียงพูดด้วยใบหน้ายิ้มเจื่อน “ศิษย์พี่ฮัน พี่หลิน หลังจากนี้สู้ให้เต็มที่เลยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้รับการรักษาทั้งจากเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษา นักบวชจากวิหารเทพกระบี่และวงแหวนวารีจากหลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงก็ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนมองไม่ออกอีกแล้วว่านางได้รับบาดเจ็บ
“ใครบอกว่าเส้นทางของพวกเจ้าจบลงแล้ว?” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและกล่าวต่อ “อย่าลืมสิว่ายังมีรอบแบ่งกลุ่มชิงธงอยู่อีก”
เยว่หงเซียงเลิกคิ้วขึ้นสูง
ไป๋ชินหยุนยกมือทาบอก อุทานออกมาว่า “หรือว่าเจ้าจะเลือกพวกเราเป็นสมาชิกร่วมกลุ่มชิงธง?”
หลินเป่ยเฉินสามารถทำคะแนนได้ดีมาโดยตลอด ต้องสามารถผ่านการประลองกระบี่ได้แน่นอน และน่าจะได้เป็นหัวหน้าผู้มีสิทธิ์เลือกสมาชิกที่จะเข้าร่วมกลุ่ม นั่นหมายความว่า เขาสามารถเลือกใครก็ได้ทั้งนั้น แม้แต่คนที่ตกรอบไปแล้วอย่างเช่นไป๋ชินหยุนกับเยว่หงเซียง
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ตอบว่า “บัดนี้ข้าก็ยังรับปากอะไรไม่ได้หรอกนะ มันก็แล้วแต่สถานการณ์ แต่ถ้ารอบหน้าข้ายังทำคะแนนได้ดีกว่าเฉาพั่วเถียน ข้าก็จะเลือกพวกเจ้ามาเป็นสมาชิกร่วมกลุ่ม และให้พวกเจ้าได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์รอบแบ่งกลุ่มชิงธง ประสบการณ์ครั้งนี้จะต้องช่วยทำให้พวกเจ้าพัฒนาความสามารถขึ้นไปได้อีกแน่นอน”
เยว่หงเซียงรีบกล่าวตอบกลับมาโดยเร็ว “ไม่ได้นะเจ้าคะ พี่หลินเดิมพันชีวิตเอาไว้กับเฉาพั่วเถียน จะต้องเลือกสมาชิกเข้าร่วมกลุ่มอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าข้าอยากมีส่วนร่วมในรอบแบ่งกลุ่มชิงธงมากแค่ไหน แต่ข้าก็อยากให้ท่านเป็นผู้ชนะการแข่งขันมากกว่า พี่หลินอยากเลือกใครก็ตามสบายเถิด อย่าให้เราต้องไปเป็นตัวถ่วงของพี่หลินเลยนะเจ้าคะ!”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร
เยว่หงเซียงยังคงเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ดีที่สุดเสมอ
นางเป็นคนที่ห่วงผู้อื่นมากกว่าตนเอง
เยว่หงเซียงเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน
และมักจะต้องเจ็บตัวเพราะความอ่อนโยนของตนเอง
ไป๋ชินหยุนเอียงหัวขบคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น หลินปะ…ศิษย์พี่หลิน ข้าขออวยพรให้ท่านทำคะแนนเอาชนะเฉาพั่วเถียนให้ได้ในรอบการประลองกระบี่ ข้ากับพี่หงเซียงคงไม่อาจช่วยเหลือท่านได้อีก หลังจากนี้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเท่านั้น”
เด็กสาวร่างเล็กก็เป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ไม่ซับซ้อนเช่นกัน
พวกเขาทั้งสี่คนยืนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไป
เนื่องจากว่าไป๋ชินหยุนกับเยว่หงเซียงมีสถานะเป็นผู้ตกรอบ พวกนางจึงไม่สามารถติดตามหลินเป่ยเฉินกับฮันปู้ฟู่มาที่โรงอาหารได้ ผู้ที่ตกรอบแล้วจะต้องออกไปรับประทานอาหารนอกสถานศึกษากระบี่หลวง และจะสามารถกลับเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อมาเพื่อรับชมการแข่งขันในรอบบ่ายเท่านั้น
…
ณ โรงอาหาร
มีอาหารมากมายให้เลือกสรร
หลินเป่ยเฉินกับฮันปู้ฟู่ช่วยกันเดินตักอาหารจนพูนถาด จากนั้นก็หาโต๊ะว่างมานั่งรับประทานด้วยกันสองคน
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าสถานศึกษากระบี่หลวงเป็นสถาบันที่ดีที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง โรงอาหารของพวกเขามีระดับมากกว่าโรงอาหารของสถานศึกษากระบี่ที่สามไม่รู้กี่เท่า นอกจากจะมีขนาดใหญ่โตและมีความสว่างสดใสมากกว่ากันแล้ว อาหารทุกชนิดยังอร่อยเกินอธิบาย เพียงรับประทานไปได้คำเดียว ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข เมื่อได้รับประทานอาหารของที่นี่แล้ว พวกเขาก็จะรู้สึกว่าอาหารในสถานศึกษากระบี่ที่สามมีรสชาติไม่ต่างจากเศษขยะในท่อระบายน้ำทันที
“เทียบกับอาหารของที่นี่แล้ว ของกินในสถาบันพวกเรานี่มันอาหารหมูชัดๆ เลยนะ ศิษย์พี่ฮัน”
หลินเป่ยเฉินพูดก่อนที่จะเริ่มต้นรับประทานอาหารเหมือนคนตายอดตายอยากมาสามชาติเศษ
ฮันปู้ฟู่พยักหน้าตอบรับ ไม่พูดอะไร
เขาเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
โดยเฉพาะในขณะนี้ สมาธิของเด็กหนุ่มจากชั้นปีที่สามกำลังจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า
พวกเขารับประทานอย่างหยุดยั้งไม่ได้
นอกจากมีรสชาติอร่อยแล้ว ยังให้คุณค่าทางสารอาหารเปี่ยมล้น
อย่างเช่น อาหารที่ชื่อว่า ‘ผัดเผ็ดนกเพลิง’ มันเป็นเมนูอาหารที่นอกจากจะมีเนื้อนกป่าแล้ว พ่อครัวก็ยังใส่ดีหมีผสมหญ้าหัวใจมังกร ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพลังลมปราณในร่างกาย นับเป็นอาหารที่สามารถหารับประทานได้ในโรงเตี๊ยมระดับสูงเท่านั้น แต่ลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่หลวงสามารถรับประทานพวกมันได้โดยไม่เสียเงิน เพียงแต่มีจำนวนจำกัดเท่านั้น
ฮันปู้ฟู่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย พลัน เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับเยว่เว่ยหยางกำลังส่งยิ้มหวานมาให้ ในมือของนางถือถาดอาหารมาด้วยถาดหนึ่ง
ต่อให้เป็นคนที่มีสติปัญญาโง่เขลาที่สุดในโลก ฮันปู้ฟู่ก็รู้ดีว่านักบวชสาวเดินมาที่โต๊ะของพวกเขาเพื่ออะไร
ฮันปู้ฟู่ยกถาดอาหารของตนเองขึ้นและกล่าวว่า “นักบวชเยว่คงมาหาศิษย์น้องหลินกระมัง เชิญนั่งได้ตามสบาย เดี๋ยวข้าไปนั่งที่โต๊ะอื่นเอง”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หมุนตัวเดินหนีไป โดยที่หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำเดียว
“ขอบคุณคุณชายฮันมากเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางก้มศีรษะขอบคุณฮันปู้ฟู่ ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงด้านตรงข้ามหลินเป่ยเฉินและวางถาดอาหารลงเคียงข้างถาดของเขา
“มีอะไรหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามโดยไม่เงยหน้ามอง เพราะกำลังพยายามฉีกอุ้งตีนหมีดำทอดกรอบอย่างเอาจริงเอาจัง
เยว่เว่ยหยางส่งเสียงรับคำในลำคอดังอืม และถามว่า “พี่หลินมีความมั่นใจในการแข่งขันรอบบ่ายมากขนาดไหนเจ้าคะ?”