บทที่ 240 ช่วงเวลานั้นได้มาถึงแล้ว
เมื่อเห็นเฉาพั่วเถียนยืนนิ่งไม่ตอบรับคำใด หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มแย้มเย็นชาและพูดว่า “ไม่ได้เรื่อง”
น้ำเสียงของเขาบอกชัดถึงความเหยียดหยามเต็มเปี่ยม
เฉาพั่วเถียนใบหน้าแดงก่ำอย่างโกรธจัดและคำรามว่า “ข้าสามารถทำได้อยู่แล้ว แต่ว่า…”
“ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี” หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปทันควันและหัวเราะเยาะ “ด้วยระดับพลังและความแข็งแรงของร่างกายเจ้า ต่อให้ถูกลูกธนูปักเข้าใส่เต็มตัวอย่างไรก็ไม่ถึงกับตาย เจ้าไม่มีความกล้าหาญเท่านางเลยแม้แต่น้อย…หึหึ เจ้ามันเป็นเพียงอันธพาลที่อาศัยความเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนเที่ยวรังแกคนไม่มีทางสู้ หาได้มีค่าในสายตาของข้าไม่”
เฉาพั่วเถียนเกือบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บใจอีกครั้ง
นี่คือครั้งแรกที่เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทักษะการใช้คำพูดแทงใจดำของหลินเป่ยเฉินมีความเลิศล้ำผิดมนุษย์
ต่อให้อยากจะโต้แย้งสักแค่ไหน แต่เฉาพั่วเถียนกลับพบว่าตนเองพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ข้าไม่ได้ปากเก่งเหมือนกับเจ้า” ในที่สุด เฉาพั่วเถียนก็กลืนเลือดลงคอและหมุนตัวเดินจากไป “ฝากไว้ก่อนเถอะ หลินเป่ยเฉิน อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก รอดูก็แล้วกันว่าสุดท้ายแล้ว ใครจะได้เป็นฝ่ายหัวเราะกันแน่”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก และไม่พูดอะไรอีก
…
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะอย่างนั้นหรือ?”
“เขาทำเวลาได้ห้าลมหายใจเนี่ยนะ?”
“ขนาดไม่ใช้กระบี่เป็นตัวช่วย เขายังทำเวลาได้ดีกว่าเฉาพั่วเถียนถึง 3 ลมหายใจ”
ทั่วทั้งเมืองหยุนเมิ่งก้องกังวานด้วยเสียงอุทานที่เหลือเชื่อ
ตามบ่อนพนันน้อยใหญ่ เสียงอุทานกลับกลายเป็นเสียงครวญครางร่ำไห้
“เฉาพั่วเถียน เจ้ามันเป็นลูกเต่าหดหัว…”
“ใช่แล้ว เขามันใช้การไม่ได้”
“สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็เป็นฝ่ายชนะ…เฮ้อ แล้วใครกันเป็นคนบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บ?”
นักพนันจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังร้องไห้ให้กับชะตาของตนเอง
ในการเดิมพันครั้งนี้ พวกเขาต้องเสียเงินไปแทบหมดตัว
ผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างจากการคาดเดาก่อนการทดสอบ
หลินเป่ยเฉินที่ได้รับบาดเจ็บกลับสามารถเอาชนะลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนได้อย่างขาดลอย
เขาสามารถทำเวลาได้ดีกว่าเฉาพั่วเถียน 3 ลมหายใจ เป็นช่องว่างที่ห่างกันราวฟ้ากับเหว
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าตัวบัดซบคนไหนกันที่ปล่อยข่าวว่าหลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บ?”
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความคับแค้นใจ
ทันใดนั้น ทุกคนก็นึกได้ว่าตอนที่กำลังลังเลว่าจะเลือกแทงพนันฝั่งใคร ก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งตะโกนบอกข้อมูลอาการบาดเจ็บของหลินเป่ยเฉิน แต่พวกเขาได้ยินเพียงเสียง ไม่เคยเห็นตัวคนพูดสักครั้ง
บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความแปลกประหลาด
“พวกเราใจเย็นก่อน ในบททดสอบครั้งนี้ยังมีหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยาง แล้วก็ซูเสี่ยวหยาน มี่หรู่หยาน คังซานเสว่…พวกนางอาจจะสามารถทำเวลาได้ดีกว่าหลินเป่ยเฉินก็ได้ เรายังมีทางถอนทุนคืนได้อยู่”
เริ่มมีเสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง
ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่พวกเขาก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว
พวกเขาเปรียบเสมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ ไม่ว่าเห็นอะไรลอยผ่านมา คว้าได้ก็ต้องคว้าไว้ก่อน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจหนักกว่าเดิม
เยว่เว่ยหยางใช้เคล็ดวิชาประจำวิหารเทพกระบี่ ทำให้มีปีกงอกออกมาจากแผ่นหลังอีกครั้ง นางสามารถบินหนีพายุลูกธนูและใช้เวลาไปทั้งหมด 7 ลมหายใจ ทำคะแนนขึ้นมาเป็นอันดับสองรองจากหลินเป่ยเฉิน
แต่สำหรับหลิงเฉิน นางกลับต้องใช้เวลาถึง 14 ลมหายใจและโดนลูกธนูปักเข้าใส่ร่างกาย 2 ดอก นับว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
หลิงเฉินทำคะแนนได้ย่ำแย่กว่ามี่หรู่หยาน คังซานเสว่และซูเสี่ยวหยาน
แม้แต่หลินอี้ หลิงเซวียนและยอดอัจฉริยะคนอื่นๆ ก็ทำเวลาได้ดีกว่านี้
ผลคะแนนที่ออกมา ยิ่งทำให้เสียงร้องไห้ในบ่อนพนันดังระงมด้วยความระทมมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะผู้ที่ฝากความหวังเงินก้อนสุดท้ายไว้กับความสำเร็จของหลิงเฉิน พวกเขาก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว
เมื่อจบการทดสอบ ก็ยังไม่มีใครสามารถทำเวลาได้ดีไปกว่าหลินเป่ยเฉิน
ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เขาจึงกลายเป็นม้านอกสายตาของนักพนัน และทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าอดีตเด็กหนุ่มจอมเสเพลประจำเมือง จะสามารถกลับมาผงาดคว้าตำแหน่งผู้ชนะการทดสอบได้อีกครั้ง
“ให้ตายสิ”
“หลินเป่ยเฉิน ที่ผ่านมาเจ้าแกล้งได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าเขาไม่ได้แกล้ง แล้วเขาได้รับการรักษาจากเทพเจ้าหรืออย่างไร?”
“พวกเราโดนหลอกกันหมด”
บรรดานักพนันส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา
ในเวลาเดียวกันนี้เอง
ณ ประตูทางเข้าสถานศึกษากระบี่ที่สาม
หวังจงกำลังแบ่งเงินที่ได้มาจากการแทงพนันร่วมกับกงกง
“เงินที่ได้จากเงินส่วนตัวของเจ้าจะเป็นของเจ้าทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ข้าจะให้เงินพิเศษเจ้าอีก 100 เหรียญทองคำ ถือเป็นค่าทำขวัญที่เจ้ายอมเจ็บตัวแสดงละครในวันนี้ แล้วนี่ก็ 300 เหรียญทองคำ ตามส่วนแบ่งที่เราคุยกันไว้ เจ้าจะเอาไปทำอันใดก็ตามสบายเถิด”
หวังจงยิ้มอย่างวางท่า และโยนถุงเงินให้กับชายหนุ่มเหมือนกับโยนขยะชิ้นหนึ่ง
กงกงเบิกตาโตด้วยความดีใจ “พี่ใหญ่นับว่าเป็นมิตรแท้ของข้าจริงๆ นับจากนี้ไป กงกงคนนี้สามารถตายแทนท่านได้แล้ว”
หวังจงพลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผิดแล้วน้องชาย เราเป็นเพียงพี่น้องร่วมสาบานกันเท่านั้น แต่คนที่เจ้าสามารถตายแทนได้คือนายน้อยหลินเป่ยเฉินต่างหาก ในอนาคต เจ้าอาจจะได้กลายเป็นคนรับใช้ในตระกูลหลินก็เป็นได้ เจ้าต้องหมั่นแสดงความดีความชอบแบบนี้เรื่อยๆ เข้าใจหรือไม่?”
กงกงตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่พูดว่าอะไรนะ? หมายความว่าอีกไม่นาน ข้าจะได้เป็นคนรับใช้ของนายน้อยหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
หวังจงพยักหน้า “นับว่าคราวนี้เจ้าทำผลงานได้ดี ข้าพอใจมากและข้าเชื่อว่านายน้อยจะต้องพอใจเช่นกัน เอาไว้เดี๋ยวข้าจะไปช่วยพูดกับนายน้อยให้ก็แล้วกันนะ ไม่แน่เผื่อนายน้อยอารมณ์ดี อาจจะยอมรับเจ้าเป็นคนรับใช้คนใหม่ก็ได้”
“เยี่ยมไปเลยขอรับพี่ใหญ่ คราวนี้พี่ใหญ่ต้องการอะไรบอกข้ามาได้เลย ไม่ว่าจะให้บุกน้ำลุยไฟไปที่แห่งหนใด กงกงคนนี้ก็พร้อมทำตามคำสั่งเสมอ” ชายหนุ่มผู้ไว้ผมจุกบนศีรษะกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
เขามองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าคุณชายหลินเป่ยเฉินสามารถสร้างประโยชน์ให้กับชีวิตได้มากมาย นอกจากเด็กหนุ่มจะมีพละกำลังมหาศาลแล้ว เขายังไร้ยางอายเกินขีดจำกัด และบุคคลชั่วร้ายชิงสุนัขเกิดเช่นนี้ จะต้องได้เป็นคนใหญ่คนโตในอนาคตแน่นอน !
เมื่อมีโอกาสได้เกาะแล้ว ก็ต้องเกาะเอาไว้ให้แน่นๆ
ในอนาคต เมื่อคุณชายหลินเป่ยเฉินกินเนื้อ กงกงรู้ตัวว่าตนเองอาจไม่ได้มีวาสนาถึงขั้นรับประทานน้ำซุป แต่ขอให้ได้เลียกระดูกบ้าง เขาก็พอใจแล้ว
สำหรับชาวบ้านธรรมดาอย่างกงกง ไม่มีช่องทางไหนจะสามารถยกระดับชีวิตของเขาได้ดีมากไปกว่าหนทางนี้
มันคือการเดิมพันครั้งสำคัญในชีวิต
ถ้าเขาสามารถเป็นคนรับใช้ของคุณชายหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ค่าเล่าเรียนของบุตรสาว ค่าใช้จ่ายสำหรับสมุนไพรเสริมสร้างพลังยุทธ์และอาวุธอีกมากมาย ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนเป็นพ่ออย่างเขาต้องเป็นห่วงอีกต่อไป
แต่ถ้าการเดิมพันครั้งนี้ล้มเหลว…
กงกงพยายามไม่คิดในแง่ร้าย เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
หวังจงหันมามองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง และพูดว่า “เจ้าอยากทำงานให้นายน้อยจริงๆ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงรู้แล้วว่านายน้อยกับเฉาพั่วเถียนเดิมพันชีวิตกันเอาไว้ ถ้านายน้อยแพ้…เจ้าจะรับผลที่ตามมาไหวหรือ?”
กงกงตอบกลับโดยทันทีว่า “ข้ารู้ดีพี่ใหญ่ ถ้าเกิดนายน้อยแพ้เดิมพัน ข้าก็แค่ต้องรับเคราะห์กรรมไปด้วยเท่านั้น ถือว่ามันเป็นโชคร้ายของข้าเอง”
หวังจงเบิกตาโตด้วยความไม่คาดคิด “ดีมาก เจ้าดูเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ใช้ได้ทีเดียว ถึงจะเจ้าเล่ห์และมีหน้าตาขี้โกงไปหน่อย แต่ก็มีความกล้าหาญพอสมควร…”
ชายชราเงียบไปอีกพักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาละ งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ตัวเอง รับเงิน 200 เหรียญทองคำนี้ไปเสีย แล้วจัดหาคนที่พร้อมจะมาเป็นลูกน้องเจ้าจำนวนหนึ่ง ใช้ให้พวกมันคอยเป็นหูตาสอดส่องข่าวคราวให้พวกเรา ไม่ว่ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับนายน้อย ให้พวกมันรายงานเราให้หมด ส่วนจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่อย่างไร เจ้าต้องเป็นคนคิดวิธีการทั้งหมดเอง เข้าใจไหม?”
กงกงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับถุงเงิน 200 เหรียญทองคำมาถือในมือ และตอบรับว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องสืบข่าวเช่นนี้ข้าถนัดนัก”
พูดจบแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินจากไป
หวังจงยิ้มกริ่ม และหอบเงินที่ยังเหลืออยู่อีก 18,000 เหรียญทองคำเดินกลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่
การเดิมพันครั้งนี้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปแล้วอย่างแท้จริง
…
ในเวลาเดียวกันนั้น
ณ สถานศึกษากระบี่หลวง
การทดสอบวิชาตัวเบาจบสิ้นลงแล้ว
ช่วงเวลาแห่งความสะเทือนขวัญมาถึงอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ เมื่อจบบททดสอบการสอบวัดความรู้ การทดสอบพละกำลังในร่างกาย และการทดสอบทักษะการใช้กระบี่ ก็ได้มีการประกาศผลผู้ที่ตกรอบออกมา ทำให้บัดนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 62 คน และจะต้องมีผู้เข้าแข่งขันอีก 10 คนที่ต้องเดินทางกลับบ้านในฐานะผู้ตกรอบชุดใหม่
ลำดับคะแนนของผู้เข้าแข่งขันจะถูกคำนวณจากผลรวมของการทดสอบทั้งสองส่วน
เมื่อเดินไปถึงอนุสรณ์กระบี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางสถานศึกษา รายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบก็ทยอยปรากฏขึ้นบนม่านพลัง
หลินเป่ยเฉินมองไปที่รายชื่อและก็ต้องถอนหายใจออกมา
ถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า แต่ช่วงเวลานั้นได้มาถึงแล้วสินะ