บทที่ 239 กระบวนท่าหลบหลีกขั้นสุด
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”
ฮันปู้ฟู่หันขวับกลับมาด้วยความโกรธแค้น สายตาที่เขาจ้องมองเฉาพั่วเถียนดุดันเสียดแทงยิ่งกว่าคมกระบี่
ไป๋ชินหยุนหายใจฟืดฟาดจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ นางตะโกนเสียงดังออกมาเช่นกันว่า “คนแซ่เฉา หากเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ”
เยว่หงเซียงยังคงนอนอยู่บนเตียงคนเจ็บ นางรีบยื่นแขนออกมาดึงชายเสื้อเพื่อนร่วมสถาบันทั้งสองคน และส่ายหน้าบอกไม่ให้พวกเขาเอาเรื่องเอาราวกับเด็กหนุ่มผมทอง
ทว่า เฉาพั่วเถียนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
สำหรับเขาแล้ว ฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนเปรียบเสมือนมดปลวกริมถนน ไม่มีค่ามากพอให้เสวนาด้วย
เฉาพั่วเถียนมองหน้าหลินเป่ยเฉิน มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้ม และพูดว่า “หลินเป่ยเฉิน แทนที่เจ้าจะเอาเวลามาห่วงใยผู้อื่น เจ้าควรใช้เวลานี้คิดหาทางรอดให้ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเล็กน้อย “สำหรับเรื่องนั้น ข้าให้เจ้าเสียเวลาคิดไปคนเดียวดีกว่า”
เฉาพั่วเถียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน
“จริงหรือ? งั้นเจ้าจงเบิกตาดูให้ดีว่าข้าจะผ่านการทดสอบนี้ด้วยคะแนนระดับไหน”
พูดจบ เด็กหนุ่มผมทองก็หมุนตัวเดินจากไป
“อาจารย์เหมย ข้าขอเข้ารับการทดสอบเลยได้หรือไม่”
เฉาพั่วเถียนเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเหมยซือหยวน พูดออกมาเสียงดังกังวาน
ในการแข่งขันใช้วิชาตัวเบาข้ามสะพานกระดาษก่อนหน้านี้ เฉาพั่วเถียนทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่ง เขาจึงมีสิทธิพิเศษสามารถขอแข่งขันในตอนไหนก็ได้ และเขาก็เลือกที่จะใช้สิทธิ์นั้นในขณะนี้
เหมยซือหยวนพยักหน้าตกลง
เฉาพั่วเถียนเดินไปหยุดยืนอยู่ที่ปากหลุม
“คอยดูให้ดีก็แล้วกัน” เขาหันหน้ากลับมาแสยะยิ้มให้พวกของหลินเป่ยเฉินที่เดินออกมาจากกระโจมคนเจ็บ
“เตรียมตัว…ไปได้…”
เมื่อสิ้นเสียงของหัวหน้ากรรมการ เฉาพั่วเถียนก็กระโดดไปข้างหน้าพร้อมกับที่มีพายุลูกธนูพุ่งออกมาจากทั้งสองฝั่ง
ฟ้าว!
เสียงลูกธนูพุ่งแหวกอากาศดังระคายหู
เฉาพั่วเถียนหมุนตัวเพียงเล็กน้อย ตำแหน่งร่างกายก็เคลื่อนย้ายไปจากเดิม และเขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป
เช้ง!
กระบี่ถูกชักออกมาจากฝัก
คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงโลหะกระทบโลหะดังขึ้น
แล้วสิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือรอบกายของเฉาพั่วเถียนมีประกายกระบี่ห่อหุ้ม ลูกธนูที่พุ่งเข้ามากว่า 90 ส่วนถูกกระบี่ของเขาสามารถปัดป้องออกไปได้
มีเพียงลูกธนู 10 ส่วนเท่านั้นที่หลุดรอดคมกระบี่ แต่ก็ยังพลาดเป้าพุ่งเข้ามาไม่ถูกร่างกายเขาอยู่ดี
เฉาพั่วเถียนใช้วิชาตัวเบาพลิ้วกายไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสง่างามและเยือกเย็น
พลิ้วไหวดุจดั่งปุยเมฆในสายลม
การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของเขาดูเนิบนาบเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงนั้น ตอนที่เฉาพั่วเถียนสามารถทิ้งตัวกลับลงไปยืนอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของหลุมดินได้สำเร็จ เขาก็ใช้เวลาไปไม่ถึงสิบลมหายใจด้วยซ้ำ
เช้ง!
กระบี่ถูกสอดคืนเข้าไปในฝัก
เฉาพั่วเถียนค่อยๆ หันหน้ากลับมาส่งยิ้มให้ทุกคน
เสื้อคลุมสีทองของเขาพลิ้วไสว ยิ่งขับเน้นใบหน้าให้ดูหล่อเหลามากขึ้น
เด็กหนุ่มจากเมืองไป๋หยุนรู้สึกภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
ผู้เข้าแข่งขันที่รวมตัวกันอยู่ข้างหลุมดินต่างก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เฉาพั่วเถียนมีความเยือกเย็นจนน่าขนลุก
เหมยซือหยวนยิ้มแย้มออกมาด้วยความพอใจในขณะที่ประกาศผลคะแนน “เฉาพั่วเถียน ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 8 ลมหายใจ ไม่ถูกลูกดอกปักร่างเลยสักดอกเดียว มีความคล่องตัวในการใช้วิชาตัวเบาระดับสูง!”
นี่คือผลคะแนนที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
นี่คือผลคะแนนที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจใฝ่ฝันถึง
“หึหึ ข้าทดสอบจบเรียบร้อยแล้ว” เฉาพั่วเถียนกระโดดกลับขึ้นมาจากหลุมดินและเดินมายืนจ้องหน้าหลินเป่ยเฉิน “เจ้ารับชมแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “ข้ารับชมแล้วรู้สึกว่า เจ้าทำได้ธรรมดาเหลือเกิน”
เฉาพั่วเถียนกระตุกยิ้มเหยียดหยาม “อย่างนั้นหรือ? ถ้าวิชาตัวเบาของข้าธรรมดา แล้วไม่ทราบว่าคนที่มีพละกำลังมหาศาลอย่างเจ้า…จะมีปัญญาทำคะแนนชนะข้าได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบรับคำใด
แต่เขาเดินออกไปยืนอยู่ตรงหน้าเหมยซือหยวน
“อาจารย์เหมย ข้าขอเข้ารับการทดสอบเลยได้ไหมขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะในการแข่งขันสอบวัดความรู้ 3 วิชา และเขาก็เป็นผู้ชนะแข่งขันยกกระถางทองคำ รวมถึงยังเป็นผู้ชนะการแข่งขันหั่นแตงโม โดยรวมแล้ว เขาเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้มาแล้วถึง 5 รอบ นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มสามารถใช้สิทธิพิเศษขออะไรจากกรรมการก็ได้เป็นจำนวน 5 ครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาเคยขอไปแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินจึงยังเหลือสิทธิ์อยู่อีก 4 ครั้ง
เหมยซือหยวนพยักหน้าตอบตกลง
หลินเป่ยเฉินเดินไปหยุดยืนอยู่ที่ปากหลุม
คราวนี้ เขาไม่ได้โฆษณาสินค้าอีกแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้ทำตัวตลกโปกฮาอีกเช่นกัน
เขาแค่ยืนนิ่งๆ ทำสมาธิ
ไม่รู้มีสายลมโชยพัดมาจากไหนทำให้เส้นผมสีดำของเขาปลิวไสว
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเยือกเย็นที่รอรับการมาถึงของพายุใหญ่
“เตรียมตัว…” เหมยซือหยวนพลันตะโกนออกมาเสียงดัง “ไปได้”
หลินเป่ยเฉินกระโดดลงไปในหลุมดินและร่างกายของเขาก็พุ่งเป็นลำแสงออกไปข้างหน้า
“เปิดใช้การจู่โจมขั้นสูงสุด!”
เด็กหนุ่มออกคำสั่งอยู่ในใจ
แล้ววิชาซัดอาวุธลับที่ชื่อว่าอินทรีถลานางแอ่นเหินลมก็ถูกปรับระดับขึ้นไปสู่การทำงานขั้นสูงสุด
นั่นทำให้พลังการโจมตีด้วยอาวุธลับของเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น 2 เท่า
เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด ม่านอาวุธลับที่ถูกซัดออกไปจึงสามารถรับการปะทะจากพายุลูกธนูที่พุ่งเข้ามาได้เป็นอย่างดี เมื่อรวมเข้ากับกระบวนท่าหลบหลีกอันคล่องแคล่วของหลินเป่ยเฉินจากวิชามัจฉาไร้เงาแยกร่าง เมื่อลองคำนวณดูแล้ว มันก็น่าจะทำให้เขาสามารถไปถึงจุดหมายโดยใช้เวลาไม่เกิน 6 ลมหายใจเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินตกใจไม่น้อยกับประสิทธิภาพของวิชาตัวเบาระดับ 2 ดาวจากเฒ่าทะเล
มันมีความเหมาะสมกับระดับพลังของเขาจริงๆ
สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือร่างของหลินเป่ยเฉินหายวับไปกลางอากาศ
และเขาก็ไปปรากฏขึ้นที่ตรงกลางหลุมดินในพริบตาเดียว
โดยทิ้งเงาร่างลวงตาให้ยืนอยู่ที่เดิม
ฟ้าว!
ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาถาโถมเข้าไปหาเงาร่างที่เป็นเพียงอากาศธาตุ
ทุกครั้งที่หลินเป่ยเฉินหายตัวไปและปรากฏขึ้นมาใหม่ ร่างของเขาจะเคลื่อนไหวออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเป่ยเฉินสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ในองศาที่น่าเหลือเชื่อ กล่าวได้ว่าความชำนาญในการใช้วิชาตัวเบาของเขา อยู่ในระดับที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมือกระบี่รุ่นเดียวกัน
ลูกธนูจากทั้งสองฝั่งของหลุมดินยังคงระดมยิงใส่เงาร่างที่เป็นภาพลวงตา และไม่เคยยิงมาทางร่างจริงๆ ของเขาสักครั้ง
ทุกคนจ้องมองด้วยความตกตะลึง
“5 ลมหายใจ” เสียงที่เหลือเชื่ออุทานออกมาดังกังวานทั่วสนามหญ้า
หลินเป่ยเฉินทิ้งตัวลงไปยืนอย่างมั่นคงที่อีกด้านหนึ่งของหลุมดินได้สำเร็จ
แล้วเงาร่างลวงตาของเขาก็สลายกลายเป็นหมอกควันเลือนรางจางหายขึ้นไปกลางอากาศอย่างแช่มช้า
ทุกชีวิตสะดุ้งโหยงเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน
นี่เขา…จบการทดสอบแล้วหรือ?
ทำไมถึงได้รวดเร็วอย่างนี้?
ทุกสายตาหันไปจ้องมองเหมยซือหยวน ผู้เป็นหัวหน้ากรรมการ
เหมยซือหยวนก้มศีรษะ มีสีหน้าที่แปลกประหลาดเล็กน้อย
แต่สุดท้าย เขาก็ยังคงประกาศผลคะแนนด้วยเสียงดังฟังชัด “หลินเป่ยเฉิน ใช้เวลา 5 ลมหายใจ ไม่ถูกลูกธนูยิงใส่ร่างกายเลยแม้แต่ดอกเดียว มีความคล่องตัวในการใช้วิชาตัวเบาระดับสูง”
เสียงของชายชราก้องกังวานไปทั่วทั้งสนามหญ้า
บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้ง
กลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขันล้วนตกตะลึง
คณะอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ พูดอะไรไม่ออก
แม้แต่หลิวฉีไห่ ฉู่เหิน พานเว่ยหมินและเฒ่าทะเลก็ยังอดหันมองหน้ากันไม่ได้
ถึงพวกเขาจะฝากความหวังเอาไว้ที่หลินเป่ยเฉินตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่มีใครกล้าคิดว่าเด็กหนุ่มจะทำได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้
ในการทดสอบความคล่องตัวของการใช้วิชาตัวเบา หลินเป่ยเฉินสามารถทำเวลาได้ดีกว่าเฉาพั่วเถียนถึง 3 ลมหายใจ นับเป็นช่องว่างที่มากมายเหลือเกิน
ไม่เคยมีใครสามารถทำเวลาได้รวดเร็วเท่าหลินเป่ยเฉิน
มิหนำซ้ำ เด็กหนุ่มยังไม่ใช้กระบี่ในการปกป้องคุ้มครองตัวเอง
นี่หมายความว่าอย่างไร?
มันหมายความว่าหลินเป่ยเฉินสามารถหลบหลีกพายุลูกธนูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาไม่จำเป็นต้องป้องกันตนเอง
นี่แหละคือความน่ากลัวของวิชาตัวเบาที่แท้จริง
“เจ้าเห็นหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ก้นหลุมดินและเงยหน้ามองขึ้นมาที่เฉาพั่วเถียน
เจ้าแกะดำหล่อเหลาราวกับเทพบุตรจากสวรรค์
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเฉาพั่วเถียนกระตุกตลอดเวลา ใบหน้าที่เคยหล่อเหลากลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น และกำลังบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
“เจ้า…เจ้าไม่ได้บาดเจ็บ!”
เด็กหนุ่มผมทองคำรามออกมาด้วยความเจ็บใจ
“สรุปว่า” หลินเป่ยเฉินหัวเราะเหยียดหยาม “เจ้าเข้าใจว่าข้ากำลังได้รับบาดเจ็บ จึงคิดฉวยโอกาสนี้เอาชนะข้างั้นหรือ? ช่างน่าสมเพชจริงๆ เลยเชียว”
“ข้า…”
เฉาพั่วเถียนพูดออกไปโดยไม่ทันคิด ทำให้เจตนาที่แท้จริงถูกเปิดเผยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความอับอาย
“เป็นอะไรไปเล่า?” หลินเป่ยเฉินกระโดดกลับขึ้นมาจากหลุมดิน “เมื่อสักครู่ ข้าดูการทดสอบของเจ้า บัดนี้ถึงคราวที่ข้าต้องถามเจ้าบ้างว่า เจ้าเห็นฝีมือของข้าแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร?”
ขณะนี้ ใบหน้าของเฉาพั่วเถียนมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างน่ากลัว “ข้าเห็นแล้วจะทำไม? ฮ่าฮ่า ข้าก็แค่ประมาทเกินไปหน่อยเท่านั้น ข้า…”
“ยังมีข้อแก้ตัวอีกหรือ? เฮ้อ คุยกับคนขี้ขลาดเช่นเจ้านี่น่าเบื่อเหลือเกิน” หลินเป่ยเฉินพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยันและเหยียดหยาม “เฉาพั่วเถียน เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ? เจ้าไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้น เจ้าจึงชอบที่จะข่มเหงรังแกผู้ที่มีความอ่อนแอมากกว่าตนเอง แต่เวลาที่เจ้าเผชิญหน้ากับคนที่มีฝีมือสูงส่งกว่า เจ้ากลับทำตัวหดหัวเหมือนเต่าที่หลบซ่อนอยู่ในกระดอง…”
“สามหาว หยุดพูดจาเหลวไหลเดี๋ยวนี้!” เฉาพั่วเถียนตวาด ร่างกายสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ถ้าเจ้าหาว่าข้าพูดเหลวไหล งั้นเอาเป็นว่าเจ้ากล้าที่จะลดระดับพลังของตนเองให้อยู่ในระดับเดียวกับเยว่หงเซียง แล้วกระโดดลงไปในหลุมดินอีกครั้ง เพื่อรับการทดสอบอย่างที่นางต้องเจอไหมเล่า? ข้าอยากจะรู้นักว่า เจ้าจะสามารถไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ โดยไม่ถูกลูกธนูยิงใส่ 42 ดอกหรือไม่?”
“ข้าต้องทำได้อยู่แล้ว…”
เฉาพั่วเถียนกำลังจะตอบรับคำท้าทาย
แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของคนจำนวนมากที่กำลังจ้องมองมายังตนเอง ทันใดนั้น เฉาพั่วเถียนก็รู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมันก็ทำให้เขาไม่กล้ารับคำท้าอีกต่อไป