บทที่ 238 เราภูมิใจในตัวเจ้า
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
เฉาพั่วเถียนเดี๋ยวนี้ปากเก่งขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินใบหน้าซีดขาว ตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่มุมปากมีเลือดไหลซิบ ภาพเหล่านี้ต่างก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอของผู้ที่กำลังรับชมการถ่ายทอดสดทั่วเมือง
บ่อนพนันเริ่มปรับอัตราต่อรองอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่ตัวเต็งอันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
เขาไม่ได้ติดอยู่ในตัวเต็ง 10 อันดับแรกด้วยซ้ำ
…
“การแข่งขันวิชาตัวเบาในส่วนที่สองจะเป็นบททดสอบเรื่องความคล่องตัว!”
หัวหน้ากรรมการเหมยซือหยวนเดินออกมายืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนและกล่าวเสียงดังชัดเจน “ทุกคนจงดูให้ดี…”
ชายชราชี้มือไปยังสะพานกระดาษที่ทอดข้ามหลุมงูพิษ
และแค่หนึ่งในคณะกรรมการหยิบขลุ่ยไม่ไผ่สีเขียวออกมาเป่าเท่านั้น สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น บรรดางูพิษจำนวนมากเหล่านั้นเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ย พวกมันก็พร้อมใจกันเลื้อยขึ้นมาจากหลุมเป็นฝูงใหญ่ และพากันหายไปในมุมหนึ่งของสถานศึกษากระบี่หลวง เหมือนขบวนนายทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี…
แค่เป่าขลุ่ยก็สามารถควบคุมงูได้แล้วใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที
เขาอยากจะเรียนรู้วิชานี้เอาไว้บ้าง
เพราะในอนาคตเมื่อได้กลับโลกมนุษย์แล้ว หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะเปิดฟาร์มงูและแสดงการเป่าขลุ่ยควบคุมฝูงงูพิษเพื่อเรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยว
เมื่อในหลุมไม่มีงูพิษหลงเหลืออยู่อีกต่อไป เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาหลายสิบคนก็กระโดดลงไปในหลุมและวางกลไกบางอย่างเข้ากับบริเวณผนังของหลุมดิน
ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย
“ทุกคนตั้งใจดูให้ดี”
เหมยซือหยวนส่งเสียงเตือนขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินไปยืนที่ขอบหลุม และโยนลูกบอลขนาดใหญ่ลงไปในหลุมลูกหนึ่ง
พวกเขาได้ยินเสียงลูกบอลกระเด้งอยู่บนพื้นดินก้นหลุม หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเหมือนกันว่ามันไปกระทบโดนกลไกอะไรเข้า ผนังทั้งสองฝั่งของหลุมดินจึงได้ยิงลูกศรออกมาพร้อมกันเป็นจำนวนมาก!
เมื่อลูกบอลกระเด้งกระดอนไปข้างหน้าเป็นระยะทางได้ประมาณ 10 วาเศษ มันก็มีลูกศรปักอยู่ทุกองศา มองดูแล้วเหมือนกับเม่นตัวใหญ่ไม่มีผิด
“กฎกติกาในการแข่งขันรอบนี้ง่ายมาก ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้วิชาตัวเบาหลบหลีกพายุลูกธนูที่พุ่งออกมาให้ได้มากที่สุด และพวกเจ้าจะต้องข้ามจากฝั่งหนึ่งของก้นหลุมไปสู่อีกฝั่งหนึ่งโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด ใครที่โดนลูกธนูปักร่างกายน้อยที่สุดและทำเวลาได้ดีที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันรอบนี้!” เหมยซือหยวนอธิบายกฎการแข่งขันรวดเดียวจบ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
ตอนแรกกระทรวงศึกษาก็คิดจับพวกเขาโยนลงไปในหลุมงูพิษ นั่นว่าอำมหิตพอแล้ว มาคราวนี้คิดจะให้พวกเขาฝ่าทะลวงพายุลูกธนูอีกอย่างนั้นหรือ?
ถ้าเกิดโดนลูกธนูปักหัวตายใครจะรับผิดชอบ?
ลูกธนูมันไม่มีดวงตาสักหน่อย
ใครเป็นคนคิดการแข่งขันบ้าๆ พวกนี้ขึ้นมาเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินก็พูดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน
ทำไมกระทรวงศึกษาถึงจัดการแข่งขันที่โหดร้ายขนาดนี้?
คนที่คิดการแข่งขันเหล่านี้ขึ้นมาได้ ต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองแผ่นป้ายหมายเลขประจำตัวที่ถืออยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินได้หมายเลข 36 ยังดีหน่อยที่ไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันกลุ่มแรกที่ต้องรับการทดสอบ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่ต้องกังวลอะไร
แต่เขาจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันบททดสอบนี้มีความสำคัญมาก
ตามแผนการที่หวังจงวางเอาไว้ พวกเขาจะสามารถทำเงินก้อนโตได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่บททดสอบนี้เท่านั้น
หลินเป่ยเฉินจะออมมือไม่ได้อีกต่อไป
มิเช่นนั้นแล้ว เงินก้อนใหญ่ก็คงต้องหลุดลอยออกไปจากมือ
อีกอย่าง เขาเดิมพันชีวิตไว้กับเฉาพั่วเถียน จากนี้ไปจึงต้องแข่งขันด้วยความจริงจังมากขึ้น
เฉาพั่วเถียนไม่เคยออมมือให้ผู้ใดทั้งสิ้น
และที่สำคัญก็คือบรรดานักเสี่ยงโชคกับบ่อนพนันต่างไม่โง่เขลา
เมื่อถูกหลอกมาแล้วหนึ่งครั้ง พวกเขาจะไม่มีทางถูกหลอกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด
เพราะฉะนั้น การแข่งขันทดสอบความคล่องตัวในครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินจะต้องทำเวลาให้ดีที่สุดให้ได้
ตำแหน่งผู้ที่ทำคะแนนอันดับหนึ่งจะต้องเป็นของเขา
ทันใดนั้น บททดสอบก็เริ่มขึ้น
นับว่าเยว่หงเซียงโชคร้ายเหลือเกิน
ตอนที่จับแผ่นป้ายเลือกหมายเลข ปรากฏว่านางได้หมายเลขหนึ่งอีกแล้ว
เด็กสาวเดินไปยืนอยู่ที่ปากหลุม ในมือของนางถือกระบี่ สีหน้าแสดงความวิตกกังวลชัดเจน
การไม่ผ่านบททดสอบข้ามสะพานกระดาษทำลายความมั่นใจของนางไปหมดสิ้น
เยว่หงเซียงรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้
ถ้าเกิดโดนลูกธนูยิงตายขึ้นมาจะทำอย่างไร?
นางจะสามารถนำพาตนเองไปสู่อีกฝั่งหนึ่งของก้นหลุมได้หรือไม่?
เด็กสาวได้แต่คิดอย่างเป็นกังวล
ถ้ารู้ตัวว่าอย่างไรก็ไม่ผ่านการทดสอบอยู่แล้ว ขอสละสิทธิ์ตอนนี้ยังทันหรือไม่?
ความคิดเหล่านั้นปั่นป่วนอยู่ในสมองของเยว่หงเซียง
แต่ทันใดนั้น เสียงตะโกนก็ดังขึ้นว่า
“เยว่หงเซียง เจ้าต้องมีสติเข้าไว้!”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ในกลุ่มคน ตะโกนออกไปสุดเสียงว่า “ลูกธนูแค่นี้ไม่น่ากลัวเท่ากับความสยองขวัญที่เจ้าเคยเจอในหุบเขาชายแดนเหนือหรอก ครั้งนั้นเจ้ายังผ่านมันมาได้ เจ้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว แค่มั่นใจในตัวเองก็พอ”
ระหว่างที่ส่งเสียงตะโกน เด็กหนุ่มก็กระอักเลือดออกมาตลอดเวลา
“ศิษย์พี่สู้ๆ”
“หงเซียง ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้”
ไป๋ชินหยุนและฮันปู้ฟู่ก็ไม่ลืมส่งเสียงให้กำลังใจเพื่อนร่วมสถาบันเช่นกัน
เยว่หงเซียงมองกลับมาหาทั้งสามคน
ในกลุ่มคนดูที่ยืนจ้องมองอยู่ในความเงียบ มีเพียงหลินเป่ยเฉิน ฮันปู้ฟู่ กับไป๋ชินหยุนที่กระโดดโบกไม้โบกมือให้กำลังใจนางอย่างอบอุ่น
จริงด้วยสิ
หลินเป่ยเฉินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว
ลูกธนูพวกนี้มันจะน่ากลัวมากไปกว่าการถูกไล่ล่าในหุบเขาชายแดนเหนือได้อย่างไร?
ครั้งนั้น นางต้องเอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียว มิหนำซ้ำ ยังต้องคอยดูแลหลินเป่ยเฉินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยที่จะปล่อยให้ตนเองถูกฝ่ายศัตรูจับตัวไปไม่ได้เด็ดขาด แน่นอนว่าสถานการณ์ในขณะนั้น เลวร้ายมากกว่าบททดสอบเหล่านี้หลายร้อยเท่า
ในค่ำคืนที่มืดมิดนั้น เยว่หงเซียงยังสามารถปกป้องขวัญกำลังใจของตนเองและรอคอยจนกระทั่งหลินเป่ยเฉินฟื้นสติขึ้นมาได้สำเร็จ
ในค่ำคืนที่มืดมิดนั้น นางหวาดกลัวแทบตาย แต่ก็ยังไม่คิดยอมแพ้
แล้วทำไมครั้งนี้นางถึงต้องยอมแพ้ด้วยเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้น กว่าที่จะผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ เยว่หงเซียงรู้ดีว่าตนเองได้รับความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้น ถ้านางไม่พยายามเพื่อตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องพยายามเพื่อไม่ให้หลินเป่ยเฉินเสียแรงเปล่า
คิดได้ดังนั้น เยว่หงเซียงก็รวบรวมพลังลมปราณและสงบจิตใจตั้งสมาธิ
“เตรียมตัว…ไปได้”
เสียงของหัวหน้ากรรมการดังขึ้นอีกครั้ง
เยว่หงเซียงกระโดดลงไปในหลุมดินโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่เด็กสาวเคลื่อนกายไปข้างหน้าได้เพียงไม่กี่หลาเท่านั้น กลไกที่ถูกติดตั้งอยู่ในหลุมดินก็ทำงานทันที
ฟ้าว!
พายุลูกธนูพุ่งออกมาจากทั้งสองฝั่ง
พื้นที่ในหลุมมีความยาว 25 วา
ลูกธนูพุ่งออกมาจากผนังของหลุมดินตลอดความยาวนั้น
เช้ง!
กระบี่ถูกชักออกจากฝัก
คมกระบี่สาดประกายเย็นเยียบ
เยว่หงเซียงใช้วิชาตัวเบาหลบหลีกลูกธนูในขณะที่มือก็ตวัดกระบี่ปัดป้องอีกทางหนึ่ง
นางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อีกประมาณ 3 วา พายุลูกธนูก็พุ่งเข้ามาหนาแน่นมากเกินไป ไม่มีทางที่เด็กสาวจะสามารถต้านทานได้อีกแล้ว
ฉึก! ฉึก!
ลูกธนูปักเข้าสู่ร่างกายของเยว่หงเซียง
หยดเลือดสาดกระจาย
แต่โชคดีที่ลูกธนูเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ปักค้างอยู่กับร่างกาย แต่มันลอยกระเด็นกลับออกไปเมื่อกระทบถูกเสื้อผ้าและผิวหนัง
ทว่า มันก็ทำให้ชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินของเยว่หงเซียงกลายเป็นสีแดงฉานในเวลาไม่กี่อึดใจ
นางกัดฟันกรอด ใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนกายไปข้างหน้า ราวกับว่าลูกธนูเหล่านี้ยิงเข้าใส่ร่างกายของผู้อื่น
เส้นผมสีดำของเด็กสาวปลิวไสวไปด้านหลัง
ใบหน้าที่โผล่พ้นหน้ากากออกมาครึ่งหนึ่งมีความเย็นชาและแน่วแน่
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่กำลังรับชมการทดสอบล้วนจ้องมองด้วยความตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าบททดสอบนี้จะเลือดสาดน่าอนาถใจตั้งแต่ผู้เข้าแข่งขันคนแรก
สุดท้ายแล้ว เยว่หงเซียงก็เลือกที่จะใช้กระบี่ปัดป้องจุดสำคัญของร่างกายเท่านั้น และปล่อยให้ส่วนอื่นๆ ของร่างกายถูกลูกธนูปักเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า แต่นางก็ยังคงพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งไม่ย่อท้อ!
ฟ้าว!
ลูกธนูพุ่งเข้ามาราวห่าฝน
เยว่หงเซียงมีสภาพไม่ต่างจากนกน้อยกำลังฝึกบินท่ามกลางพายุใหญ่ ยิ่งไปข้างหน้าได้มากเท่าไหร่ สถานการณ์ก็ยิ่งหมดหวังมากขึ้นเท่านั้น คล้ายกับว่าเด็กสาวพร้อมที่จะล้มลงไปขาดใจตายได้ทุกเมื่อ
แต่นางก็ทนรับความเจ็บปวดและไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้สำเร็จ
ใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบ 30 ลมหายใจ
เมื่อเยว่หงเซียงเดินโซเซไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของก้นหลุม พายุลูกธนูก็หยุดยั้งลงโดยทันที
เสื้อคลุมสีน้ำเงินของนางกลับกลายเป็นเสื้อคลุมสีแดงสด
บนไหล่ซ้ายและขาขวายังคงมีลูกธนูปักติดอยู่สองดอก
เด็กสาวปักกระบี่ลงบนพื้นดิน
เลือดสีแดงสดไหลย้อยจากแขนลงไปสู่ตัวกระบี่ ก่อนที่จะไหลรดลงไปบนพื้นดิน
เยว่หงเซียงใช้กระบี่ของตนเองเป็นหลักยึดพยุงร่างกาย และด้วยน้ำหนักตัวที่กดทับลงไป กระบี่ของนางจึงโค้งงอเล็กน้อย เกิดเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงตะวัน
“ข้า…ทำสำเร็จแล้ว…”
เด็กสาวยกมือเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้ากลับไปทัดไว้ที่หลังหู
สีหน้าของนางในขณะนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง และรอยยิ้มก็กลับมาประดับบนริมฝีปากอีกครั้ง
ไม่ต่างจากดักแด้น้อยที่กลายร่างเป็นผีเสื้อ
เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยากลำบากสักแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดที่เหมือนกับมีคมกระบี่นับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงร่างกายพลันจู่โจมขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เจ็บเหลือเกิน…” เยว่หงเซียงล้มคว่ำลงไปบนพื้นดิน
ผู้จัดการแข่งขันได้เตรียมหมอยารอรักษาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นางเป็นถึงนักบวชจากวิหารเทพกระบี่ที่มีลูกศิษย์ติดตามมาด้วยจำนวนหนึ่ง พวกนางกระโดดลงไปในหลุมดินและนำตัวเด็กสาวกลับขึ้นมาเริ่มต้นรักษาอาการบาดเจ็บโดยทันที
แม้แต่หัวหน้ากรรมการอย่างเหมยซือหยวน ก็ยังนึกชื่นชมในความมุ่งมั่นของเยว่หงเซียง
“เยว่หงเซียงใช้เวลาไป 27 ลมหายใจ ถูกลูกธนูยิงเข้าใส่ร่างกาย 41 ดอก สามารถไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของก้นหลุมได้สำเร็จ…มีความคล่องตัวในการใช้วิชาตัวเบาอยู่ระดับปานกะ…อยู่ระดับสูง”
หลังจากลังเลว่าควรจะให้เยว่หงเซียงอยู่ในระดับปานกลางหรือระดับสูงดี สุดท้ายเหมยซือหยวนก็ตัดสินใจมอบของขวัญเป็นการปัดคะแนนให้นางได้อยู่ในกลุ่มผู้มีคะแนนระดับสูง
หลินเป่ยเฉินและเพื่อนๆ อีกสองคนรีบรุดไปยังพื้นที่รักษาคนเจ็บ
เยว่หงเซียงนอนอยู่บนเตียงไม้ในกระโจมพยาบาลที่ตั้งอยู่ชั่วคราวข้างสนามหญ้า ใบหน้าของนางขาวซีดในขณะที่จ้องมองเพื่อนร่วมสถาบันทั้งสามคน แล้วกล่าวว่า “ขะ…ข้าไม่ได้ทำให้ทุกคนขายหน้าใช่ไหม”
ฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนยืนยันว่านางทำได้ดีมากแล้ว
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เราภูมิใจในตัวเจ้า”
“ภูมิใจอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะที่ขัดหูของเฉาพั่วเถียนพลันดังขึ้นจากทางเข้ากระโจม “ภูมิใจที่มีหนังหนามากกว่าคนทั่วไปหรือไง? โดนลูกธนูยิงเข้าไปถึง 41 ดอก ถ้าอยู่ในสนามรบจริงๆ ป่านนี้นางก็ตายไปแล้ว ยังจะมีอันใดให้ภูมิใจได้อีก?”