บทที่ 233 หนีหน้ากันไม่พ้น

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 233 หนีหน้ากันไม่พ้น
เมื่อมีเนื้อ อวิ๋นหลัวฉวนก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป หลังจากกินไปเยอะจนอิ่มนางก็ลุกขึ้นขอตัวออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นกินไปพักหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นและออกไปเดินเล่นกับอวิ๋นหลัวฉวน

อ๋องตวนรอจนพวกนางออกไปแล้วจึงเอ่ยว่า “อ๋องเย่ เจ้ากับข้าแต่งงานพร้อมกัน ตอนนี้ข้ามีสนมรองแล้ว ข้าว่าเจ้าก็ควรหาเหมือนกันนะ”

หนานกงเย่ชะงักมือที่จับตะเกียบเอาไว้และวางเนื้อลงในถ้วยใส่ข้าว

ช่างโชคร้ายเสียจริง!

“เหตุใดอยู่ๆ พี่รองถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา” หนานกงเย่กินเนื้อโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ

“ข้าเห็นว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาแต่งงานกันมานาน แต่ก็ยังไม่มีข่าวดีเสียที” หนานกงเหยี่ยนมองไม่เห็นท่าทางที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของฉีเฟยอวิ๋น

หนานกงเย่กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รบกวนพี่รองดีกว่า รออีกระยะหนึ่งถ้าอวิ๋นอวิ๋นยังไม่มีข่าวคราวใด ข้าจะลองหาดู”

“อืม เช่นนั้นก็ได้ ถ้าเจ้าหาไม่ได้ ข้าพอจะช่วยเจ้าได้ หรือถ้าข้าช่วยไม่ได้ เสด็จแม่จะต้องช่วยเจ้าได้แน่” อ๋องตวนคิดหาหนทางเพราะอยากจะจัดการหาพระสนมรองให้หนานกงเย่

หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร กินเสร็จก็ออกไปส่งหนานกงเหยี่ยนที่ประตู สีหน้าฉายแววไม่สบายใจ

ฉีเฟยอวิ๋นปลีกตัวมาจากอวิ๋นหลัวฉวนแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าพรุ่งนี้อวิ๋นหลัวฉวนจะไปเที่ยวที่ทะเลสาบกับอ๋องตวน และไม่ใช่ว่าอ๋องตวนมาเพื่อรับนางกลับ

“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นไปหาหนานกงเย่ หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาจุมพิต

รอบๆ ไม่มีใครอยู่แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ได้ดึงมือกลับ

เมื่อทั้งสองกลับไป ฉีเฟยอวิ๋นก็พูดถึงเรื่องของอวิ๋นหลัวฉวน หนานกงเย่จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลก พรุ่งนี้จงชินอ๋องจะออกจากคุกแล้ว ด้วยนิสัยของพระสนมรองอวิ๋น นางจะต้องไปรับเขาอย่างแน่นอน”

“หมายความว่าอ๋องตวนมาเพื่อขัดขวาง?”

“ใช่” หนานกงเย่กล่าวเรียบๆ ฉีเฟยอวิ๋นฟังออกว่าเขาไม่สบายใจ

“มีอะไรหรือท่านอ๋อง”

“ไม่มีอะไร นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะต้องกลับไปจัดการกิจทางราชสำนักต่อ ข้าละไม่ชอบเลย”

หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไรและฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย

หลังจากกลับมาพักผ่อนที่เรือนตลอดทั้งคืน ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปที่จวนเสนาบดีตั้งแต่เช้า ในขณะที่หนานกงเย่ไปเข้าเฝ้าช่วงเช้าที่ราชสำนัก

ฉีเฟยอวิ๋นตรวจร่างกายของฮูหยินเสนาบดี “ไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแค่พักฟื้นไปเรื่อยๆ อาการก็จะดีขึ้นเอง”

ฉีเฟยอวิ๋นให้น้ำเกลือฮูหยินเสนาบดี แต่เนื่องจากอุปกรณ์ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ ฉีเฟยอวิ๋นจึงปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ต้องคอยเฝ้าอยู่ในห้อง

เฉินอวิ๋นเจี๋ยคอยอยู่เป็นเพื่อน

เมื่อคืนฮูหยินเสนาบดีเจ็บปวดตลอดทั้งคืน วันนี้ฝังเข็มแล้วจึงพักผ่อนได้และผล็อยหลับไปอีกครั้ง

“ลำบากท่านแล้ว” เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าว

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะเคลิ้มหลับ นางกะพริบตาปริบๆ และลืมตาขึ้นมองเฉินอวิ๋นเจี๋ย

“ท่านแม่ทัพน้อยเกรงใจเกินไปแล้ว”

“ท่านมีทักษะการแพทย์เช่นนี้ได้อย่างไรรึ” เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่อยากจะเชื่อสายตา คนผู้นี้ไม่ใช่ฉีเฟยอวิ๋น

“อาจารย์ข้าเป็นคนสอน”

“แต่เรารู้จักกันมานานหลายปี เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินว่าท่านทำได้ ปกติท่านทำได้แค่ลอยชายไปเรื่อย!”

ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก เขาหมายความว่าอย่างไร

อะไรคือลอยชายไปเรื่อย

ถึงแม้จะเป็นความจริงแต่ก็พูดต่อหน้าไม่ได้

เวลานี้นางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฮูหยินเสนาบดี นี่หรือคือสิ่งที่คนเป็นลูกชายพูดออกมา?

“ท่านแม่ทัพน้อยก็ช่างพูดล้อเล่น” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะคุยกับเขา

“เราฉลองกันอย่างมีความสุข” เฉินอวิ๋นเจี๋ยย้ำเตือนและสังเกตสีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นอย่างเอาใจใส่

“ข้าไม่ได้จำ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมรับความรู้สึกเหล่านี้

เจ้าของเดิมคือเจ้าของเดิม นางก็คือนาง

เฉินอวิ๋นเจี๋ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากนั่งอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ลุกไปที่ประตูเพราะอยากจะออกไปสูดอากาศ

ประตูเปิดออกมาและเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เฉินอวิ๋นเจี๋ยรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์รีบอธิบายทันที “ข้ามาเยี่ยมท่านแม่ กำลังจะเคาะประตูท่านก็ออกมาพอดี”

“เจ้ามาแอบฟังงั้นสิ” เห็นได้ชัดว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยอยากจะลงไม้ลงมือกับใครสักคนและก้าวเข้าไปหาเฉินอวิ๋นเอ๋อร์

แม้ว่าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์และเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะมีแม่คนเดียวกัน แต่นางกลับไม่ถูกกับเฉินอวิ๋นเจี๋ยและกลัวเฉินอวิ๋นเจี๋ยมาก

นางอยากจะวิ่งหนี แต่เฉินอวิ๋นเจี๋ยกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าได้ยินอะไร”

“ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ท่านอย่าเข้ามานะ” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ตกใจกลัวจนแทบจะร้องไห้

เฉินอวิ๋นเจี๋ยพกกระบี่และชักกระบี่ออกมาจากฝัก

“ท่านจะฆ่าข้ารึ” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ มองกระบี่ที่ยื่นออกมาตรงหน้า

“ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินอะไร ถ้าเจ้าพูดออกไป นี่จะเป็นจุดจบของเจ้า” เฉินอวิ๋นเจี๋ยตวัดดาบลง เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กรีดร้องด้วยความตกใจ

ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากทางด้านนอกจึงลุกขึ้นหันไปมอง

เส้นผมของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ลอยลงมาจากอากาศ นางตกใจจนทั้งร่างสั่นสะท้าน เฉินอวิ๋นเจี๋ยชักกระบี่กลับและเดินจากไป

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ตกใจกลัวจนร่างกายสั่นสะท้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ที่หน้าประตูและทั้งคู่ก็สบตากันเข้าพอดี

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์โกรธจนใบหน้าบึ้งตึง “ฉีเฟยอวิ๋น ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

พูดจบเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็หันหลังวิ่งจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นมองแผ่นหลังของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ที่วิ่งจากไปอย่างหมดหนทาง นางเป็นเพียงแค่หมอที่มารักษาโรค นางไปก่อกวนใครที่ไหนกัน?

เมื่อออกมาจากจวนเสนาบดี ฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมจะกลับไป อาอวี่กับลี่ว์หลิ่วกลับไปพร้อมกับฉีเฟยอวิ๋นด้วย พวกเขาคิดจะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ แต่ไม่คิดว่าจะพบกับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์และมู่เหมียนจวิ้นจู่โดยบังเอิญ

ฉีเฟยอวิ๋นท้อใจมากเมื่อเห็นพวกนาง โลกช่างกว้างแต่ยังหนีหน้ากันไม่พ้น

“ฉีเฟยอวิ๋น?” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เคยเห็นฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในสายตา เมื่อไม่มีใครนางมักจะเรียกว่าฉีเฟยอวิ๋นเฉยๆ เช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกท้อแท้ เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ยังดูห่างเหินนักเมื่อเทียบกับท่านพี่ของนาง

“คุณหนูเฉิน” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงสุภาพ นางหันไปมองมู่เหมียนจวิ้นจู่และเอ่ยทักทาย “จวิ้นจู่”

“ได้ยินมาว่าท่านกับท่านแม่ทัพน้อยเคยมีอดีตร่วมกัน ไม่รู้ว่าท่านพี่รู้หรือเปล่า” แม้ว่ามู่เหมียนจวิ้นจู่จะไม่ได้อยากทำแบบนี้กับฉีเฟยอวิ๋น แต่นางก็ทนเห็นฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ ที่ผ่านมาทั้งสองคนยังคงเกลียดชังกัน เรื่องเช่นนี้นางไม่ยอมพลาดแน่นอน

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเฉินอวิ๋นเอ๋อร์นิดหนึ่งและเอ่ยเรียบๆ ว่า “อาจจะมีอะไรมาบ้างก่อนจะแต่งงานกับท่านพี่ของท่าน แต่ใครบ้างที่ไม่มีอดีต ถ้าท่านพี่ของท่านเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ จะหย่ากับข้าก็ย่อมได้ เรื่องอื่นๆ ข้าไม่อยากรู้อะไรแล้ว”

พูดจบฉีเฟยอวิ๋นก็เดินอ้อมผ่านทั้งสองคนไป เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กับมู่เหมียนจวิ้นจู่หันกลับไปมองฉีเฟยอวิ๋น เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ยอมแพ้ “ข้าทนนางไม่ไหวแล้วนะ”

“ท่านอิจฉา ทนดูไม่ได้งั้นเหรอ” มู่เหมียนจวิ้นจู่ดึงมือออกจากมือของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์และหันหลังจากไป

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์มองแล้วยิ้มเยาะ มีดีอะไรนักเชียว

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครต้องการเหมือนกันหรอกเหรอ

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กลับมาถึงจวนเสนาบดีด้วยความขุ่นเคืองเคียดแค้น ยิ่งมองเข้าไปในกระจกก็ยิ่งโกรธ ผมของนางถูกตัดไปแล้ว

“ฉีเฟยอวิ๋น ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”

ฉีเฟยอวิ๋นมาเข้าเฝ้าที่วังหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ช่วงหลายวันมานี้พระเกียรติของจักรพรรดิอวี้ตี้เปลี่ยนไป สีพระพักตร์ก็ดูผ่องใสขึ้นกว่าเดิมมาก

ฉีเฟยอวิ๋นยังพบอีกว่าจักรพรรดิอวี้ตี้ทรงแตกต่างไปแล้วจริงๆ

หนานกงเย่อยู่พูดคุยกับจักรพรรดิอวี้ตี้ที่พระตำหนักบำรุงฤทัย ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปทำความเคารพพระพันปีก่อนแล้วจึงไปตรวจชีพจรที่ทั้งสองตำหนัก

ฉีเฟยอวิ๋นจับชีพจรของจักรพรรดิอวี้ตี้ก่อนที่นางจะกลับออกไป นางแปลกใจเล็กน้อย เพราะแม้ว่าพระอาการจะไม่ดีกว่าเดิมแต่พิษก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น

ทว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่านี่ไม่เกี่ยวกับเลือดของนาง

แต่เหตุใดคนวางพิษผู้นั้นจึงเดี๋ยววางยาเดี๋ยวไม่วางยา?

“เป็นอย่างไร” จักรพรรดิอวี้ตี้ให้คนพาตัวหนานกงเย่ออกไปและอยู่กับฉีเฟยอวิ๋นเพียงลำพัง ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยพระหัตถ์จักรพรรดิอวี้ตี้และรีบลุกขึ้นกราบทูล

“กราบทูลฝ่าบาท พิษไม่ได้เพิ่มขึ้นอีก แปลกมากเพคะ!”

จักรพรรดิอวี้ตี้ผงกพระเศียรเล็กน้อย “แปลกจริงๆ ข้าก็สังเกตเหมือนกัน”

ฉีเฟยอวิ๋นลังเลนิดหนึ่ง “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องขอตัวก่อนเพคะ มีเรื่องพิษที่ยังต้องค้นคว้าต่อไปอีก”

จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้นางกลับไป